ผู้เขียนได้ติดตามการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นประเทศต่างๆ ค่าเงินประเทศต่างๆ การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ เช่น ราคาทองคำ ราคาน้ำมัน ได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาต่างๆ มีความสัมพันธ์ต่อกัน การเกิดวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ของภูมิภาคต่างๆ และของทั้งโลก เกี่ยวข้องกันทั้งหมดมีต้นเหตุมาจากเรื่องเดียวกัน
จุดเริ่มต้นความเสื่อมทางเศรษฐกิจของโลก เริ่มขึ้นในปี 2000 เริ่มต้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จากการพังทลายของตลาด NASDAQ ในปี 2000
กลไกนี้ เป็นเรื่องที่น่าจะทำความใจ และจดจำไว้ เมื่อตลาดหุ้นประเทศใดพังทลาย จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นพังทลายด้วย ค่าเงินไม่ได้รับความเชื่อมั่น จะละทิ้งเงินสกุลนั้น ไปถือเงินสกุลอื่น หรือสินทรัพย์ในรูปสกุลอื่น ทำให้สภาพคล่องระบบของประเทศนั้นเสียหาย ทำให้เอกชนล้มลง ทำให้หนี้เสียเพิ่มขึ้น ทำให้อัตราส่วนการว่างงานสูงขึ้น ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น จะเกิดกับประเทศไหน ก็เป็นแบบเดียวกันทุกประการ
แต่เมื่อมันมาเกิดกับประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก กับสกุลเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเสมือนเป็นสกุลเงินของโลกด้วย มันจึงส่งผลกระทบกระเทือนไปทั้งโลก
ผู้อ่านสามารถกลับไปศึกษาย้อนหลัง การพังทลายของตลาด NASDAQ และค่าเงินเหรียญสหรัฐจากบทความที่ผ่านมาของผู้เขียนได้ จะได้ทราบว่าเหตุการณ์พังทลายของตลาดหุ้น และค่าเงินของประเทศสหรัฐเมริกาเกิดอย่างไร เกิดเมื่อใด เสียหายอย่างไร เสียหายเท่าใด และส่งผลกระทบต่อโลกอย่างไรบ้าง
การพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐ ผู้คนไม่ทราบว่าต้นเหตุอะไรที่ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลาย พังทลายแบบไหน อย่างไร และเท่าใด เงินยูโรเป็นสกุลที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสกุลเงินเหรียญสหรัฐ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน จึงมีนัยสำคัญ จากภาพจะเห็นว่าค่าเงินเหรียญสหรัฐเริ่มพังทลายตั้งแต่ปี 2000 ซึ่งเกิดขึ้นหลังพังทลายของตลาด NASDAQ นั่นเอง เงินเหรียญสหรัฐพังทลายลงถึง 48 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับเงินยูโร
จะมีใครสงสัยบ้าง สกุลเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ของประเทศที่เป็นหัวขบวนทุนนิยมอันดับ 1 ของโลก ตกลงถึง 48 เปอร์เซ็นต์ เป็นไปได้อย่างไร ทำไมค่าเงินจึงตกแรงเช่นนี้ ปล่อยให้ค่าเงินตัวเองถูกโจมตีได้อย่างไร ศักดิ์ศรีของประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ตรงไหน ประเทศสหรัฐอเมริกาอาจจะยิ่งใหญ่ในสายตาของคนโลก แต่แท้ที่จริงเป็นแค่เพียงตัวตลกของผู้ที่ทุบ NASDAQ และทุบเงินดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น เพราะไม่ทราบเรื่องจึงไม่อาย หากทราบถึงต้นเหตุการณ์พังทลายของ NASDAQ และ USD แล้ว ไปถึงไหนก็ต้องอายไปถึงนั่น คนทุบอเมริกาก็คือคนอเมริกันนั่นเอง Hedge Funds ของอเมริกาทุบอเมริกา แม้ศาสตร์อื่นอเมริกาจะเก่งที่สุดในโลก แต่เรื่องนี้ประเทศสหรัฐอเมริกาโง่อย่างเดียว
13 ปีผ่านไปแล้ว ประเทศสหรัฐอเมริกายังงมโข่ง แก้ปัญหาที่ปลายเหตุอยู่เหมือนเดิม ความเสียหายทางเศรษฐกิจของอเมริกา ส่งผลกระทบกระเทือนเดือดร้อนไปทั่วโลก
ผลกระทบจากการพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐ
เงินทุนไหลออกจากประเทศสหรัฐอเมริกา ไปแลกเป็นเงิน EURO ส่งผลให้ระหว่างปี 2000 - 2008 เงิน EURO แข็งค่าขึ้น 93 เปอร์เซ็นต์ (เงินเหรียญสหรัฐตกลง 48 เปอร์เซ็นต์)
แล้วก็ไปไล่ซื้อสินทรัพย์ในรูปเงินสกุล EURO เช่นตลาดหุ้นยูโรโซน 39 ประเทศ ส่งผลให้ตลาดหุ้นยุโรประหว่างปี 2001- 2007 สูงขึ้น 356 เปอร์เซ็นต์ แล้วจึงพังทลายลงรุนแรงในปี 2008 (Hamburger crisis) ตกลงถึง 71 เปอร์เซ็นต์ทำให้ประเทศทั่วทั้งยุโรปประสบวิกฤตเศรษฐกิจ หลายประเทศต้องเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
แต่แท้ที่จริงแล้ว เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับประเทศในยูโรโซนเท่านั้น แต่เกิดขึ้นกับทั้งโลก เงินทุนที่ไหลออกจากประเทศสหรัฐอเมริกาไหลออกมาท่วมโลก ส่งผลให้สกุลเงินต่างทั่วโลกสูงขึ้น ตลาดหุ้นทั่วโลกสูงขึ้น (G91 index) แล้วก็พังทลายลงระหว่างปลายปี 2007 – ต้นปี 2009 (Hamburger crisis)
ยางเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ทางการเกษตรการพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐในปี 2000 หรือเงินเหรียญสหรัฐมีค่าเล็กลง ซึ่งจะต้องใช้เงินเหรียญสหรัฐมากขึ้นในการซื้อยางแผ่นดิบที่มีปริมาณเท่าเดิม จึงทำให้เห็นว่าราคายางสูงขึ้น เงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่ามากเท่าใด ราคายางก็สูงขึ้นมากเท่านั้น จะเห็นว่าราคายงเริ่มขึ้นในปี 2001จากการพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐจากราคาประมาณ 20 บาทต่อกิโลกรัม ขึ้นไปสูงสุดในปี 2011 ที่ราคาเกือบ 180 บาทต่อกิโลกรัม หรือราคาสูงขึ้นประมาณ 800 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นราคายางก็พังทลายลง
รูปแบบการสูงขึ้นของราคายางเป็นไปในทิศทางเดียวกันแบบเดียวกันกับการขึ้นและตกลงของราคาทองคำ นั่นคือ ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินเหรียญสหรัฐแบบเดียวกัน
น้ำมันเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ด้านพลังงาน การพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐในปี 2000 หรือดอลลาร์มีค่าเล็กลง ซึ่งจะต้องใช้เงินเหรียญสหรัฐมากขึ้นในการซื้อน้ำมันที่มีปริมาณเท่าเดิม จึงทำให้เห็นว่าราคาน้ำมันสูงขึ้น เงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่ามากเท่าใด ราคาน้ำมันก็สูงขึ้นมากเท่านั้น จะเห็นว่าราคาน้ำมันเริ่มขึ้นในปี 2000 จากราคา 16.97เหรียญต่อบาร์เรล ขึ้นไปสูงสุดในปี 2008 ที่ราคาประมาณ 145.6 เหรียญต่อบาร์เรล หรือราคาสูงขึ้น 768 เปอร์เซ็นต์จากนั้นก็พังทลายลงรุนแรงตั้งแต่กลางปีถึงปลายปี 2008 (Hamburger crisis)
ปี 2008 ราคาน้ำมันตกพร้อมๆ กับการตกลงของตลาดเงิน ตลาดทุนทั่วโลก (G91 index) Hamburger crisis
ทองคำเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ด้านโลหะ การพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐในปี 2000 หรือดอลลาร์มีค่าเล็กลง ซึ่งจะต้องใช้เงินเหรียญสหรัฐมากขึ้นในการซื้อทองคำที่น้ำหนักเท่าเดิม จึงทำให้เห็นว่าราคาทองคำสูงขึ้น เงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่ามากเท่าใด ราคาทองคำก็สูงขึ้นมากเท่านั้น จะเห็นว่าราคาทองคำเริ่มขึ้นในปี 2000 จากราคา 256 เหรียญต่อออนซ์ ขึ้นไปสูงสุดในปี 2011 ที่ราคาประมาณ 1,900 เหรียญต่อออนซ์ หรือราคาสูงขึ้น 642 เปอร์เซ็นต์
จากข้อมูลที่นำเสนอข้างต้น บอกว่าค่าเงินเหรียญสหรัฐเริ่มแข็งค่าขึ้นในปี 2008 ราคาทองคำก็ควรจะเริ่มตกลงในปี 2008 แต่ปรากฏว่าราคาทองยังขึ้นต่อเนื่องไปอีก แต่ที่ปี 2008 – 2012 ค่าเงินเหรียญสหรัฐก็ยังขึ้นอย่างจริงจังไม่ได้ เมื่อมีการพิมพ์เงินออกมาใช้ (QE) ก็ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐตกลงเป็นช่วงๆ ทำให้ราคาทองคำยังตกลงไม่ได้ ที่สำคัญที่คนทั่วไปไม่ทราบ คือมีการทำราคาของบรรดา Hedge Funds ให้เป็นไปตามที่เขาต้องการได้
ไม่ว่าราคาหุ้น ราคาน้ำมัน ราคาทองคำจะถูก Hedge Funds สวมรอยปั่นตลอดเวลา ภาษาในตลาดหุ้นเรียกว่า ลากขึ้นไปเชือด เขารู้แล้วว่าค่าเงินเหรียญสหรัฐเริ่มแข็งค่าขึ้นในปี 2008 เขาก็ลากขึ้นไปให้สูงที่สุด จากนั้นทิ้งราคาลงมา จากปี 2011 มาถึงกลางปี 2013 ราคาทองคำตกลงแล้ว 37 เปอร์เซ็นต์
การที่ราคาทองคำขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลายาวนานเป็นเวลากว่า 10 ปีและมีผู้สวมรอยทำให้ราคามันสูงขึ้นด้วยกระตุ้นให้คนทั่วโลกหันมาสนใจทองคำ ทำให้เกิดการหวังผลและการเก็งกำไรกัน คนไทยก็เข้าไปซื้อทองคำที่ราคาสูงๆ ในปี 2011 -2012 โดยที่ราคาทองทำในรูปดอลลาร์อยู่ระหว่าง 1,600-1,900 เหรียญต่อออนซ์ หลังจากซื้อได้แล้ว ราคาก็ตกลงมาอย่างเดียว
ตามสถิติระหว่างปี 1976-1979 ราคาทองคำขึ้นจาก 50 เหรียญต่อออนซ์ ไปที่ 750 เหรียญต่อออนซ์ ราคาเพิ่มขึ้นมา 1,400 เปอร์เซ็นต์ ราคาขึ้นมาแรงและเร็ว จากนั้นใช้เวลาตก 21 ปี จากปี 1979 ถึงปี 2000 ราคาตกลงจาก 750 มาเป็น 256 เหรียญต่อออนซ์ หรือตกลง 66 เปอร์เซ็นต์
ครั้งหลังนี้ ราคาทองคำขึ้นจาก 256 ในปี 2001 มาสูงสุดที่ราคา 1,900 เหรียญต่อออนซ์ในปี 2011 หรือราคาเพิ่มขึ้นมา 642 เปอร์เซ็นต์
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมทั้งราคาทองไต่ระดับขึ้นมาประมาณ 10 ปีติดต่อกัน เนื่องจากค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลายระหว่างปี 2000 - 2008 จากนั้นค่าเงินเหรียญสหรัฐกำลังแข็งค่าขึ้น จึงส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมทั้งราคาทองคำก็ตกลง
ทองคำที่แท้จริงแล้ว ไม่ใช่สินค้าเพื่อการบริโภคทั้งหมด ส่วนหนึ่งถูกเก็บไว้เป็นทุนสำรองของประเทศต่างๆ ต่างจากน้ำมันที่ใช้เพื่อการบริโภคทั้งหมด
ถามว่า ครั้งหลังนี้ราคาทองคำจะตกลงไปที่เท่าใด ถ้าอ้างอิงสถิติในอดีตที่ตกลง 66 เปอร์เซ็นต์ จากราคา 1,900 เหรียญต่อออนซ์ ราคาทองคำก็จะตกไปที่ 646 เหรียญต่อออนซ์
ถามว่า ครั้งหลังนี้ราคาทองคำจะสูงขึ้นเมื่อใด ตอบ สูงขึ้นเมื่อค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลายลงอีกครั้ง คงบอกได้ยากว่าค่าเงินเหรียญจะเสียหายอีกเมื่อใด
ที่จั่วหัวเรื่องว่า ความลับ : ทำไมราคาทองคำจึงขึ้นและตกและเมื่อใดจึงจะขึ้นอีก แท้จริงไม่ใช่ความลับอะไร เพียงแต่ต้องการกระตุ้นให้ผู้ที่สนใจและเข้าใจถึง “ต้นเหตุ” การขึ้นและตกของราคาทองคำอย่างจริงจังเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ทราบได้ หาใช่ความลับแต่อย่างใดไม่ อย่างที่ผู้เขียนนำเสนอถึงความสัมพันธ์การตกและขึ้นของค่าเงินเหรียญสหรัฐ ว่ามีความสัมพันธ์ต่อการขึ้นและตกของตลาดหุ้นโลก ค่าเงินสกุลต่างๆ ของโลก รวมทั้งการขึ้นและตกของราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลก เช่น ยาง น้ำมัน และทองคำ มีเหตุมีผลที่เข้าใจได้เมื่อเข้าใจแล้ว จะสามารถนำไปบริหารจัดการการลงทุนในทองคำ น้ำมัน ยาง ฯลฯ รวมทั้งการลงทุนสกุลเงินตราต่างๆ และตลาดหุ้นประเทศต่างๆ ได้ด้วย
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนทั่วไปจะเข้าใจถึงความสัมพันธ์การเปลี่ยนแปลงของตลาดเงินตลาดทุน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และก็ไม่ทราบว่าจะไปหาข้อมูลเรื่องเหล่านี้ได้แบบไหน อย่างไร โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน ที่เป็นเรื่องยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจและที่สำคัญจะต้องติดตามดูข้อมูลแบบต่อเนื่องยาวนานด้วย
จากข้อมูลที่นำเสนอ แสดงให้เห็นถึงการแกว่งตัวที่รุนแรงของตลาดทุนโลก ตลาดเงินตราโลก และราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลก เป็นความเสียหายมากกว่าจะเป็นความเจริญ โลกอยู่ในภาวะของความเสื่อมและความเสียหายมีมาตั้งแต่มีการพังทลายของตลาด NASDAQ และค่าเงินเหรียญสหรัฐในปี 2000 เงินเฟ้อสูงขึ้นรุนแรงตลอดเวลา ทำให้มีคนเดินขบวนประท้วงไปทั่วโลก เงินเฟ้ออาจจะดีขึ้นบางช่วง เมื่อค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่า แต่เมื่อเงินเหรียญสหรัฐพังทลายอีก เงินเฟ้อโลกก็จะสูงขึ้นอีก ความผิดพลาดในการบริหารระบบเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ก็จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นเสียหาย เงินเฟ้อก็จะสูงขึ้นการซื้อขายกระดาษ (Paper trade) คือต้นเหตุความเสียหายหลักรอดูว่าจะมีประเทศใดที่สามารถเอาตัวเองออกจากขุมนรกทุนสามานย์ของโลกนี้ได้
http://twitter.com/indexthai
indexthai2@gmail.com