xs
xsm
sm
md
lg

คำว่า เงินทุนไหลออก

เผยแพร่:   โดย: สุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์

ถ้าเงินทุนไหลเข้ากับเงินทุนไหลออกมีปริมาณเท่ากัน จะมีสมดุล คือเงินทุนไม่เข้า-ออกพอๆ กัน แต่หากมีเงินทุนไหลเข้ามากกว่าเงินทุนไหลออก เราก็เรียกว่าเงินทุนไหลเข้า ในทางตรงกันข้ามหากมีเงินทุนไหลเข้าน้อยกว่าเงินทุนไหลออก เราก็เรียกว่าเงินทุนไหลออก

เงินทุนไหลเข้า หรือไหลออก ประเทศใด สามารถดูได้จาก 1) ค่าเงินของประเทศนั้น 2) ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของประเทศนั้น ถ้าเงินทุนไหลเข้าประเทศใดมาก ก็จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นแข็งค่าขึ้น และทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของประเทศนั้นมีปริมาณสูงขึ้น และถ้าเงินทุนไหลออกจากประเทศใดมาก ก็จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นอ่อนค่าลง และทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของประเทศนั้นมีปริมาณลดลง

ถ้าเป็นไปตามปกติของการบริหารจัดการเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ เงินไหลเข้าและเงินทุนไหลออกจะไม่รุนแรง เงินทุนไหลเข้าไหลออกที่รุนแรง เกิดจากสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในระบบ

สาเหตุของเงินทุนไหลเข้าและเงินทุนไหลออก

การค้าจริง (Real Trade) คือความเป็นไปของระบบเศรษฐกิจที่ปกติ ได้แก่การผลิต การพาณิชย์ การนำเข้า การส่งออก การท่องเที่ยว การลงทุนทางตรง การบริจาค ตัวเลขใหญ่ที่มีผลต่อเงินทุนไหลเข้า-ออก ได้แก่ การนำเข้า การส่งออก การท่องเที่ยว การลงทุนทางตรง

ถ้าการนำเข้ามีน้อย การส่งออกมีมากกว่า เรียกว่าได้ดุลการค้า จะทำให้ประเทศได้เงินตราต่างประเทศมากเพิ่ม เรียกว่าเงินทุนไหลเข้า หากเป็นไปในทางตรงกันข้ามเรียกว่าเงินทุนไหลออก

ถ้าคนในประเทศไปเที่ยวไปศึกษาต่างประเทศน้อยกว่าที่ต่างชาติเข้ามาเที่ยวมาศึกษาในประเทศ เรียกว่าได้ดุลการท่องเที่ยว จะทำให้ประเทศได้เงินตราต่างประเทศเพิ่มเรียกว่าเงินทุนไหลเข้า หากเป็นไปในทางตรงกันข้ามเรียกว่าเงินทุนไหลออก

การลงทุนทางตรง ก็อธิบายได้ในลักษณะเดียวกัน

ปกติแล้ว Real trade จะไม่ทำให้เงินทุนไหลเข้า-ออกที่รุนแรง ยกตัวอย่างเช่นการส่งออก ก็ถูกสมดุลด้วยการนำเข้า หักกลบลบกันแล้วก็มีส่วนต่างไม่มากนัก การท่องเที่ยวก็เช่นกัน ก็มีการหักกลบลบกันระหว่างต่างชาติมาเที่ยวในประเทศและคนในประเทศไปเที่ยวต่างชาติ สมดุลแล้ว มีส่วนต่างกันไม่มาก

การค้ากระดาษ (Paper Trade) คือการลงทุนทางอ้อม ลงทุนในตราสารทางการเงิน ลงทุนในตราสารทุน ลงทุนในตัวเลขอนุพันธ์ เช่นตัวเลขอ้างอิงอนุพันธ์ตลาดทุน ตัวเลขอ้างอิงอนุพันธ์ตลาดเงิน ตัวเลขอ้างอิงอนุพันธ์สินค้าโภคภัณฑ์ (ประเทศไทยมีอนุพันธ์ครบทุกชนิด) ผู้ลงทุนกระดาษมีทุกประเภท มีทั้งสถาบัน (Institutional Investors) ได้แก่ Sovereign Wealth Funds (กองทุนมั่งคั่ง) อยู่ประมาณ 50 กองทุนทั่วโลกมีเงินลงทุนรวมกัน 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ Hedge Fund คือกองทุนประเภทหนึ่ง ปัจจุบันมีประมาณ 8,000 ราย มีเงินลงทุนรวมกัน 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (Provident funds) กองทุนรวม (Mutual funds) การลงทุนบุคคลท้องถิ่นทั่วไปบุคคลฐานะดี (Sophisticated and Wealthy Investors)

ขอใช้คำรวมของสถาบันที่เก็งกำไรในการค้ากระดาษ (Paper trade) ว่า Hedge Funds ใช้คำว่า “นักเก็งกำไร” ความหมายจะตรงกับความเป็นจริงที่เป็นอยู่มากว่าคำว่า“นักลงทุน” Hedge Funds มีอยู่ทุกภูมิภาค ทุกประเทศทั่วโลก ไม่ว่าในอเมริกา ในยุโรป ในเอเชีย และในแอฟริกา มีทั้ง Hedge Funds หัวดำและ Hedge Funds หัวแดง

ประเทศไทยนักลงทุนท้องถิ่น เป็นกลุ่มที่มีมูลค่าการซื้อขายหุ้นสูงเป็นอันดับ 1 มีส่วนแบ่งการซื้อขายประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์ของตลาด ที่เหลือแบ่งเป็นของสถาบันในประเทศ บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศ และนักลงทุนต่างชาติ รวมกัน 55 เปอร์เซ็นต์ (ไม่รวมการซื้อขายตราสารหนี้) เชื่อว่าส่วนแบ่งการลงทุนในประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่จะมีสัดส่วนคล้ายกันนี้

กองทุนต่างๆ มีทั้งกองทุนระยะสั้นและระยะยาว กองทุนที่โง่ และกองทุนที่ฉลาด กองทุนที่ไม่ฉลาดก็จะขาดทุนและล่มสลายลง ในปี 1998 Long Term Capital Management ของอเมริกาซึ่งเป็น Hedge Fund ใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนั้นเกือบล้มลง แต่กองทุนที่ฉลาดก็จะมั่งคั่งอย่างเหลือเชื่อ

เครื่องมือช่วยบริหารความเสี่ยง ในตลาดทุน ตลาดตราสารหนี้ และตลาดเงินตราของประเทศตะวันตกได้พัฒนาไปอย่างมาก ได้สร้างเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงออกมาในรูปแบบต่างๆ เป็นเครื่องมือที่เอื้อประโยชน์ให้บรรดากองทุนและนักลงทุนที่ชาญฉลาดเป็นอย่างดี เช่น Futures (Derivatives) Options Futures หรือ Forward การทำ Short Selling Arbitrage หรือการกู้ยืมเงินมาเพื่อลงทุน (Maintenance Margin และ Force Sell)

กำไร-ขาดทุนขึ้นอยู่กับความโง่ ความฉลาดของบรรดากองทุนและนักลงทุนทั่วไป ถ้าไม่ฉลาดจะเจ็บตัว แต่หากฉลาด ทราบถึงกลไกของตลาด ทราบถึงความเป็นไปของตลาด โดยเฉพาะ Hedge Funds ที่สามารถกำหนดทิศทางของตลาดได้ (ปั่น) จะทราบว่า ไม่มีธุรกรรมใด ที่ง่าย และทำเงินได้มหาศาลเหมือนในตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้

ประเทศไทยเคยมี Mutual funds อยู่ช่วงหนึ่ง ประมาณปี 2538 (1995) มีกองทุนเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ประมาณ 70-80 กองทุนมีเงินลงทุนในหุ้นประมาณ 200,000 ล้านบาทโดยหมายมั่นว่าจะทำให้ตลาดทุนไทยมีเสถียรภาพ กำหนดให้กองทุนมีสภาพคล่องแต่ละเดือนไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ (ถือเงินสดไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์) ที่เหลือให้เป็นการถือครองหุ้น 95 เปอร์เซ็นต์ตอนนั้นเป็นช่วงที่ Hedge Funds ปั่นหุ้นไทยลงพอดี การถือครองหุ้นในสัดส่วนที่สูงมากเท่าใด ก็ยิ่งขาดทุนมากเท่านั้น SET ตกลงจากระดับ 1,750 จุดในปี 2537 (1994) ลงไปต่ำสุดที่ 207 จุดในปี 2541 (1998) กองทุนล้มลงกันทั่วหน้า เป็นที่มาของลุงช่วย เอาอุจจาระราดตัวเอง เข้าไปทวงเงินลงทุน ที่เก็บออมมาตลอดชีวิตประมาณ 5 แสนบาท ที่ลงทุนผ่านกองทุนออมสิน ของธนาคารออมสินลุงช่วยคนเดียวเป็นตัวแทนของนักลงทุนผ่านกองทุนต่างๆ นับแสนคนที่ขาดทุนและหมดตัวจากตลาดหุ้น

การออกกฎระเบียบของตลาดทุน ตลาดเงินและตลาดเงินตราของไทย กลายเป็นเชือกมัดมือมัดเท้าคนไทยด้วยกันเอง ถ่วงน้ำตัวเอง แต่เอื้อประโยชน์ให้นักลงทุนต่างชาติกอบโกยกำไรไปจากประเทศไทยแต่ฝ่ายเดียว

การเกิดวิกฤตเศรษฐกิจระหว่างปี 1993 -1988 เฉพาะการปกป้องค่าเงินบาท ทำให้ต่างชาติมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่ต่ำกว่า 8 แสนล้านบาทไม่รวมกำไรจากตลาดหุ้น ซึ่งคำนวณไม่ถูกว่ามากแค่ไหน

Paper Trade คือ “ต้นเหตุสำคัญ” ที่ทำให้เงินทุนไหลเข้า-ออก ระหว่างภูมิภาคต่างๆ ของโลก

ผู้เขียนเห็นด้วยกับวลีที่ว่า “Hedge Funds มีอิทธิพลเหนือกลไกตลาดจริง”

เมื่อเขามีอิทธิพลเหนือกลไกตลาด สามารถกำหนดทิศทางตลาดได้ (ปั่น) ประโยชน์จะเป็นของเขาโดยตรง เป็นเรื่องที่อันตรายต่อระบบเศรษฐกิจโลกโดยตรง ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่อยู่ตามธนาคารกลางประเทศต่างๆ ไม่ใช่เป็นสมบัติของประเทศนั้นแล้ว แต่เป็นของ Hedge Funds ที่เขานำมาฝากไว้เป็นการชั่วคราว ซึ่งพร้อมที่จะเคลื่อนไหวไปแหล่งใดๆ ในโลกได้ง่ายดาย ปี 2000 ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่อยู่ตามธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ทั้งโลกมีรวมกันประมาณ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ทุกวันนี้มีรวมกันมากกว่า 10 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เงินท่วมโลกแต่โลกยากจนลง Hedge Funds คือกลุ่มสถาบันที่มีความมั่งคั่งแต่ฝ่ายเดียว ชาวโลกจนลง เงินเฟ้อสูงขึ้นแบบรุนแรง

Paper Trade รวมทั้งเครื่องมือช่วยบริหารความเสี่ยงฯ จึงเป็นประโยชน์มหาศาลต่อการลงทุนที่ชาญฉลาด แต่เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ของภูมิภาค และของโลกก่อให้เกิดการเบี่ยงเบนตลาดได้ง่าย เป็นที่มาของเงินของเงินทุนไหลเข้า ไหลออกระหว่างภูมิภาคต่างๆ ของโลกที่รุนแรงเคราะห์ดีเป็นของ Hedge Funds เคราะห์ร้ายเป็นของชาวโลก

เมื่อก่อนมีตลาดหุ้นอย่างเดียว กองทุนสามารถทำกำไรได้เฉพาะขาขึ้น หรือปั่นขึ้นไปขายเท่านั้น แต่ทุกวันนี้มีตลาดอนุพันธ์ (Derivatives or Futures) ตลาดขาขึ้นก็สามารถทำกำไรได้ ตลาดขาลงก็สามารถทำกำไรได้เช่นกัน มีปัจจัยสนับสนุนให้เกิดการปั่น ปั่นให้ขึ้นไปสูงขึ้นเท่าใดก็กำไรมากเท่านั้น ปั่นให้ตกลงมามากเท่าใดก็กำไรมากเท่านั้น กำไรทั้งขาขึ้นและขาล่อง

การปั่นตลาดลงแรงๆ จะทำให้ค่าเงินและสภาพคล่องของระบบเสียหาย เป็นที่มาของความย่อยยับของระบบ (Systemic run) ทำให้เอกชนล้มลง และคนตกงาน

โลกเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อมโดยที่คนทั่วไปไม่ทราบ เมื่อก่อนโลกมี Real Trade อย่างเดียว (การผลิต อุตสาหกรรม เกษตรกรรม การพาณิชย์กรรม การนำเข้า-ส่งออก การท่องเที่ยว) แต่ทุกวันนี้มี Paper Trade เพิ่มขึ้น (ตลาดหุ้น)

Real Trade ไม่เคยทำให้โลกย่อยยับน้อย Paper Trade ทำให้โลกย่อยยับมากขึ้นๆ และบ่อยครั้งขึ้น

จะเห็นว่าตลาดหุ้นของภูมิภาคต่างๆ ผันผวนรุนแรงมาก และมีความถี่ในการผันผวนสั้นลง ดังเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 1999-2000 และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับภูมิภาคยูโรโซนในปี 2007-2008

ระหว่างปี 1999- 2013 ตลาด ตกแรง 2 ครั้ง คือในกรอบสี่เหลี่ยม A ตกลงถึง 78 เปอร์เซ็นต์และกรอบสี่เหลี่ยม B ตกลง 56 เปอร์เซ็นต์

ดัชนีในตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีนับร้อย แต่ S&P500 Index Dow Jones Index และ NASDAQ Index เป็นดัชนีที่ถูกอ้างอิงมากที่สุด ทำไมจึงมาเพ่งเล็งที่ NASDAQ อย่างเดียว ทำไมจึงไม่กล่าวถึง S&P500 และ Dow Jones ด้วย

NASDAQ Index ในกรอบ A ตกลง 78 เปอร์เซ็นต์ ในกรอบ B ตกลง 58 เปอร์เซ็นต์

S&P500 Index ในกรอบ A ตกลง 49 เปอร์เซ็นต์ ในกรอบ B ตกลง 57 เปอร์เซ็นต์ (ไม่ได้เสนอภาพไว้)

Dow Jones Index ในกรอบ A ตกลง 38 เปอร์เซ็นต์ ในกรอบ B ตกลง 54 เปอร์เซ็นต์ (ไม่ได้เสนอภาพไว้)

จะเห็นว่าดีกรีการตกของดัชนี S&P500 และ Dow Jones ตกน้อยกว่าการตกของ NASDAQ โดยเฉพาะในกรอบ A

เปรียบเทียบด้วยภาพ ในช่วงเวลาเดียวกัน ปรับฐานดัชนีให้เป็น 100 เท่ากัน เห็นชัดเจนว่า NASDAQ ถูกโจมตีจริง NADAQ ขึ้นและตกแรงกว่า Dow Jones

การเก็งกำไรในหุ้นไม่ใช่การทำบุญไม่มีตลาดหุ้นใดไม่ถูกปั่นอยู่ที่ปั่นแบบไหนและอย่างไรเท่านั้นปี 1999NASDAQ มีการเพิ่มตัวหุ้นตัวใหญ่ 3-4 ตัวเข้าไปสูตรของการคำนวณดัชนี NASDAQ Index เป็นดัชนีมูลค่าตลาด (Market Capitalization Weighted Index) เมื่อนำหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูงเข้าไปรวมในการคำนวณดัชนี จะทำให้ดัชนีมีความเบี่ยงเบนมาตรฐานสูงทันที ดัชนีที่มีความเบี่ยงเบนสูง จะอ่อนแอสูง จะถูกควบคุมหรือถูกปั่นได้ง่าย บุญหล่นทับ Hedge Funds ง่ายดายพวกเขาใช้เวลาเพียงปีเศษ ทำการลากดัชนีจากระดับจากระดับ 1,500 - 2,000 ขึ้นไปที่ระดับสูงกว่า 5,000 จุด แล้วจากนั้นก็ถล่มทุบลงมา NASDAQ index ตกลง 78 เปอร์เซ็นต์ในอีก 3 ปีต่อมา มันเป็นความผิดของ Hedge Funds หรือมันเป็นความรับผิดชอบของ Hedge Fund หรือไม่ใช่เลย คนกำกับดูแลและบริหารตลาดการซื้อขายกระดาษ (Paper Trade) โง่เองต่างหาก หายนะมาเยือนประเทศสหรัฐอเมริกาและโลกตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สกุลเงินเหรียญสหรัฐเป็นสกุลเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก เงินไหลออกจากประเทศสหรัฐอเมริกา สภาพคล่องของประเทศสหรัฐอเมริกาเหือดแห้ง เงินไหลเข้าไปท่วมโลก สภาพคล่องท่วมโลก แล้วโลกก็พังทลายลงในปี 2008 (Hamburger crisis) Hedge Funds มั่งคั่งกันฝ่ายเดียว เคราะห์ร้ายเป็นของชาวโลก

เรื่องทำนองนี้เคยเกิดประเทศไทยมาก่อน จุดเริ่มต้นอยู่ที่ตลาดหุ้น

ปลายปี 2536 ได้มีการนำระบบกู้ยืมเงินมาใช้ในการซื้อขายหุ้น ที่เรียก Maintenance Margin & Force ส้มหล่นใส่เท้า Hedge Funds แบบไม่น่าเชื่อ เขารู้แล้วว่าจะต้องจัดการอย่างไร เขาลาก SET Index จากระดับ 1,000 จุดขึ้นไปสูงสุดที่ 1,750 จุด ในต้นปี 2,537 โดยใช้เวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้น SET ขึ้นมา 75 เปอร์เซ็นต์จากนั้นก็ถล่มทุบ SET ให้ตกต่ำลงมาอย่างรุนแรง ทำให้เกิดการบังคับขายหุ้นนักลงทุนท้องถิ่นอย่างทารุณ ผู้อยู่ในวงการเศรษฐกิจที่มีความรู้และประสบการณ์จะต้องทราบ หุ้นตกทำให้ค่าเงินตกด้วย แต่ทางการกลับไปผูกค่าเงินเอาไว้ ยิ่งทำให้ค่าเงินแข็งกว่าความเป็นจริงมากขึ้นไปอีก เป็นโชค 2 ชั้นของ Hedge Funds พวกเขายิ่งพากันขายหุ้นออกมามากยิ่งขึ้น เพื่อให้ได้บาท เพื่อจะได้เอาบาทนั้นไปซื้อเงินตราต่างประเทศที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (เงินทุนไหลออกจากประเทศไทย) ประกอบกับมีการบังคับขายหุ้นนักลงทุน ยิ่งซ้ำเติมให้ตลาดหุ้นและค่าเงินบาทตกหนักลงไปอีก สุดท้ายประเทศไทยพ่ายแพ้ ยอมยกธงขาว เลิกผูกค่าเงิน ค่าเงินตกจากระดับ 26 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ลงมาที่ 56 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ประเทศไทยต้องเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจาก IMF เป็นครั้งที่ 2

ค่าเงินเสียหาย เงินทุนไหลออก ทำให้สภาพคล่องของระบบเสียหาย ทำให้เอกชนล้มลงเป็นแถบๆ ภาคการผลิตจริงล้มลง ภาคบริการล้มลง แม้ธนาคารเอกชนขนาดใหญ่เช่นธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ก็ตกเป็นของต่างชาติ หุ้น MGR ก็ล้ม เนื่องจากสภาพคล่องของระบบเสียหาย เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ความผิดของเอกชนแต่อย่างใด

ตลาดหุ้นคงทำบุญมาดี แม้จะเป็นต้นเหตุให้ประเทศไทยเกิดวิกฤตจนต้องเข้า IMF มาแล้วถึง 2 ครั้ง ก็ไม่มีการพูดถึง แต่กลับไปกล่าวโทษตลาดเงินว่าเพราะการเปิด BIBF (Bangkok International Banking Facillities) ซึ่งไม่เกี่ยวกัน โมเมกันไปเอง แล้วกล่าวโทษจอร์จ โซรอสว่าเป็นผู้โจมตีค่าเงินบาท ถ้าบาทไม่เสียหายไม่อ่อนค่าแล้วพวกเขาจะมาโจมตีได้อย่างไร

เมื่อประเทศไม่รู้ถึงองค์กรต้นเหตุที่ก่อกรรมทำเข็ญแก่ประเทศ เขามีเครื่องมือตัวใหม่ออกมาต่อเนื่อง “เครื่องช่วยบริหารความเสี่ยง” ตอนนี้ประเทศไทยมีเครื่องมือตัวนี้สมบูรณ์แบบที่สุดในอาเซียน เครื่องมือชุดนี้ได้เพิ่มศักยภาพการทำลายล้างระบบเศรษฐกิจของอเมริกาและยูโรโซนมาแล้ว แล้วเราก็ไปลอกเลียนแบบของตะวันตกมาทั้งหมด (อ่านอนุพันธ์ตลาดทุนอันตรายตัวใหม่ในระบบเศรษฐกิจ)

เครื่องมือช่วยบริหารความเสี่ยงที่ระบบสร้างขึ้นมา เสริมสร้างให้ Hedge Funds ที่ทำให้ตลาดค้ากระดาษขึ้นและลงแรงอย่างผิดปกติ สามารถทำกำไรได้ทั้ง 2 ทางสามารถฟันกำไรได้อย่างเหลือเชื่อ ทำให้ขึ้นมากเท่าใดก็จะกำไรมากเท่านั้น ทำให้ตกมากเท่าใดก็กำไรมากเท่านั้นเช่นกัน แต่มันจะเป็นตัวทำร้ายและทำลายระบบที่รุนแรงมาก

ผู้เขียนเชื่อว่า Hedge Funds เริ่มควบคุมระบบเศรษฐกิจของโลกได้โดยสมบูรณ์ตั้งแต่ปี 2000 ตอนนี้ระบบเศรษฐกิจของโลกอยู่ในกำมือของ Hedge Funds แล้ว เขาจะทำอย่างไรก็ได้ นี่คือชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 3

ตลาดหุ้นพังทลาย ทำให้ค่าเงินพังทลายด้วย

เรื่องของค่าเงินมีการพูดกันบ่อยว่า ตลาดเกิดความไม่เชื่อมั่น ทำให้ค่าเงินไม่ได้รับการเชื่อถือ ทำให้คนไม่ถือเงินนั้น เปลี่ยนไปถือเงินสกุลอื่น นั่นคือเงินทุนไหลออก อยากจะถามว่าต้นเหตุอะไรที่ทำให้ไม่มีความเชื่อมั่น การแจกแท็บเล็ตการจำนำข้าวขาดทุนมโหฬาร การฉ้อฉลคอร์รัปชันในโครงการกู้เงินเรื่องน้ำ 3.5 แสนล้านบาท การกู้ 2 ล้านล้านบาทก็มีส่วนทำให้ขาดความเชื่อมั่น แต่การพังทลายของตลาดหุ้นเป็นตัวทำลายความเชื่อมั่นต่อค่าเงินโดยตรง

เงินทุนไหลออกจากอเมริกา สกุลเงินยูโรเป็นสกุลเงินที่ใหญ่เป็นลำดับที่ 2 รองจากสกุลเงินเหรียญสหรัฐ ให้สังเกตว่า เงินเหรียญสหรัฐตกลงรุนแรงเมื่อเทียบกับเงินยูโรเงินเหรียญสหรัฐเริ่มตกตั้งแต่ปลายปี 2000 ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับการพังทลายของตลาด NASDAQ ตลาดหุ้นพังทลายทำให้ค่าเงินพังทลาย ค่าเงินเหรียญสหรัฐตกลงไป 48 เปอร์เซ็นต์ในช่วงกลางปี 2008 เมื่อเทียบกับเงินยูโร ซึ่งเป็นช่วงที่ตกต่ำที่สุดจากนั้นก็ฟื้นตัวขึ้นมา สังเกตว่าจุด PQRS ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาไม่เกิดจุดต่ำสุดใหม่ เป็นไปได้ว่าค่าเงินเหรียญสหรัฐกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นแล้ว

เงินทุนจากประเทศสหรัฐอเมริกาไหลเข้าประเทศต่างๆ และภูมิภาคต่างๆ เงินเหรียญสหรัฐเป็นสกุลเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อเกิดความเสียหายผู้คนก็ไม่ถือเงินดอลลาร์ ทิ้งสกุลเงินดอลลาร์ไปถือเงินสกุลอื่น ไปซื้อสินทรัพย์ในรูปสกุลเงินอื่น ทำให้ค่าเงินสกุลต่างๆ ของโลกแข็งขึ้น ทำให้ทุนสำรองของประเทศต่างๆ สูงขึ้น ทำสภาพคล่องของประเทต่างๆ ดีขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นประเทศต่างๆ สูงขึ้น ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ เช่น ทองคำและน้ำมันราคาสูงขึ้น เงินเฟ้อท่วมโลก

ราคาทองคำระหว่างปี 2000-2011 สูงขึ้น 642 เปอร์เซ็นต์

ราคาน้ำมันระหว่างปี 2000-208 สูงขึ้น 758 เปอร์เซ็นต์

เงินทุนไหลเข้ายูโรโซนพิจารณาจากภาพ US Dollar คือเงินเหรียญสหรัฐตกลง 48 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับเงินยูโร และจากภาพเดียวกัน กรณีเดียวกัน เป็นภาพเงินยูโรเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ เงินยูโรแข็งขึ้น 93 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ

เงินทุนไหลเข้ามาเลเซียประเทศมาเลเซีย เคยประสบปัญหาสภาพคล่องเช่นเดียวกับประเทศไทย ระหว่างปี 2439-2441 เคยยกเลิกการผูกค่าเงินไป แต่ก็กลับมาผูกค่าเงินไว้อีกครั้ง มาเจอการพังทลายของตลาด NASDAQ และค่าเงินเหรียญสหรัฐในปี 2000 ทำให้เงินไหลเข้ามาเลเซียแรง

การผูกค่าเงิน RINGGIT ไว้ ทำให้ค่าเงิน RINGGIT แข็งกว่าความเป็นจริง เมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ ทำให้ Hedge Funds มีความมุ่งมั่นที่จะมาซื้อหรือมาแลกเงิน RINGGIT เต็มที่ เขาใช้เวลาซื้อเงินราคาถูกไม่น้อยกว่า 4 ปีครึ่งคือระหว่างปี 2001 - กลางปี 2005 จนกระทั่งทางการมาเลเซียทนไม่ไหว ต้องลอยค่าเงิน RINGGIT เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2005 แต่เป็นการลอยค่าขึ้น เนื่องจากเงินทุนไหลเข้า จึงไม่ต้องขอความช่วยเหลือจาก IMF แต่อย่างใด ไม่เหมือนประเทศไทยในปี 1997 ลอยค่าเงินบาท ลอยลง เพราะเงินไหลออก ประเทศไทยต้องเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจาก IMF เป็นครั้งที่ 2

นี่คือตัวอย่างการบริหารจัดการตลาดเงินตราแบบไม่เข้าใจ Hedge Funds มีกำไรจากการเข้าไปซื้อ RINGGIT ที่ราคาถูกๆ มาเลเซียไม่สามารถผูกค่าเงินไว้ต่อไปได้ ต้องลอยค่าเงิน RINNGIT ในที่สุด

เงินทุนไหลเข้าประเทศจีน ประเทศจีนมีการผูกค่าเงิน YUAN เอาไว้แต่แรก มาเจอการพังทลายของตลาด NASDAQ และค่าเงินเหรียญสหรัฐในปี 2000 ทำให้ค่าเงิน YUAN แข็งกว่าความเป็นจริงทันที ทำให้เงินทุนไหลบ่าเข้าจีนท่วมท้นแบบเดียวกับที่ไหลเข้าประเทศมาเลเซีย

ใช้เวลาซื้อเงินหยวนราคาถูกไม่น้อยกว่า 4 ปีครึ่ง คือระหว่างปี 2001 - กลางปี 2005 จนกระทั่งทางการจีนไม่ไหว ต้องลอยค่าเงิน YUAN เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2005 ก่อนประเทศมาเลเซีย 5 วัน เป็นการลอยค่าขึ้น เนื่องจากเงินทุนไหลเข้า จึงไม่ต้องขอความช่วยเหลือจาก IMF แต่อย่างใด

นี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างที่เกิดความผิดพลาดกับการบริหารจัดการค่าเงิน Hedge Funds มีกำไรจากการเข้าไปซื้อ YUAN ราคาถูกในอดีตที่ 8.3 YUAN/USD ตอนนี้ขึ้นมาเป็น 6.2 YUAN/USD แล้ว

ทุกวันนี้ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสูงที่สุดในโลก

มีสภาพคล่อง มีเงิน ความเจริญก็ตามมา อยากจะสร้างอะไรก็สามารถทำได้ทุกอย่าง จะเห็นว่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา จีดีพีของประเทศจีนโตขึ้นประมาณปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ ดูแล้วใหญ่และทันสมัยกว่าอเมริกาเสียอีก โตขึ้นและทันสมัยขึ้นด้วยสภาพคล่อง (เงิน) ของ Hedge Funds ก็อาจจะจบลงด้วยสภาพคล่องของ Hedge Funds เช่นกัน

ตัวเลขอนุพันธ์อ้างอิง เป็นเครื่องมือช่วยบริหารความเสี่ยงตัวเลขอนุพันธ์อ้างอิง ของตลาดทุนไทยมีความสมบูรณ์ที่สุด ครบครอบคลุมทั้งตลาดทุน ตลาดเงิน และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ที่เห็นนี้เป็นตัวที่เข้าใจได้ง่าย ที่จริงมีเครื่องมือที่มากกว่านี้ ซึ่งยากที่คนคนไทยจะเข้าใจ เป็นที่นิยมของบรรดา Hedge Funds เพราะสามารถทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและตลาดขาลง

เปิดตัวครั้งแรก ตัวแรกด้วย SET50 Index Futures ในปี 2006 (2549)

เป็นต้นเหตุให้เงินทุนไหลเข้าประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญในปี 2006-2007


เงินทุนไหลเข้าประเทศไทย ประเทศไทยได้ยุติการผูกค่าเงินตั้งแต่ปี 1997 แล้ว การพังทลายของตลาด NASDAQ และค่าเงินเหรียญสหรัฐในปี 2000 ทำให้เงินไหลเข้าประเทศไทยปกติธรรมดาเหมือนหลายประเทศ ซึ่งไม่ดุเดือดเหมือนเงินทุนไหลเข้าประเทศมาเลเซียและประเทศจีน

แต่การเปิดตลาดอนุพันธ์ในปี 2006 ทำเงินทุนไหลเข้ามารุนแรง ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างมาก (AB) ช่วงระยะเวลาประมาณปีครึ่ง ค่าเงินบาทแข็งจากระดับ 40 เป็น 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐ หรือแข็งค่าขึ้น 10 บาทต่อเหรียญสหรัฐ

เมื่อเก็งกำไรว่า ตลาดหุ้นจะขึ้น ค่าเงินบาทจะขึ้น เงินทุนก็จะไหลไหลเข้า จะเข้ามาทั้งตลาดตราสารหนี้ และตลาดทุน การไหลเข้ามาในตลาดตราสารหนี้จะมีปริมาณที่สูงกว่าไหลเข้ามาในตลาดทุน และเมื่อไหลออก มันก็จะไหลออกจาก 2 ตลาดพร้อมกัน ไม่มีตลาดหุ้นและตลาดเงินตราใดไม่ถูกปั่นมีการสวมรอยปั่นทั้งขาขึ้นและขาลง

ปี 2006 มีเหตุการณ์ที่สำคัญเกิดขึ้นกับประเทศไทย 2 อย่าง อย่างแรก คือวันที่ 19 กันยายน 2006 เกิดรัฐประหาร แต่เงินทุนก็ยังไหลเข้าประเทศไทยอย่างรุนแรง อีก 3 เดือนต่อมา คือวันที่ 19 ธันวาคม 2006 มีการออกมาตรการกันสำรอง 30 เปอร์เซ็นต์เงินทุนไหลเข้า ก็แสดงว่าเงินทุนไหลเข้าไทยรุนแรงจริง จึงต้องการออกมาตรการดังกล่าวมา หากเงินทุนไม่ไหลเข้าอย่างรุนแรง จะออกมาตรการดังกล่าวมาทำไม แต่ออกมาตรการดังกล่าวได้วันเดียวตลาดหุ้นตกลงในชั่วโมงซื้อขายถึง 140 จุด ต้องยุติมาตรการดังกล่าวในวันรุ่งขึ้น

วันที่ออกมาตรการดังกล่าว ทุนสำรองสุทธิอยู่ที่ระดับ 74 พันล้านเหรียญสหรัฐ ปี 2011 ทุนสำรองสุทธิเพิ่มขึ้นสูงกว่า 200 พันล้านเหรียญสหรัฐทำให้สภาพคล่องของระบบเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าตัว

การไหลของเงินทุน มีทั้งเงินทุนไหลเข้าและเงินทุนไหลออก สิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องทราบคือ ต้นเหตุอะไรที่ทำให้เงินทุนไหลเข้าและต้นเหตุอะไรที่ทำให้เงินทุนไหลออกเป้าหมายทางเศรษฐกิจของระบบไม่ใช่อยู่ที่การเร่งความเจริญเติบโต แต่อยู่ที่จะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจเกิดความมั่นคงมากกว่า ทางการบอกให้แต่ชาวบ้านพอเพียง คนก็งงพอสมควร กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาทพอเพียงตรงไหน สามารถกล่าวได้ว่า ตลาดเงินเป็นเรื่องเกินความพอเพียงได้ แต่เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ แต่ตลาดทุนมันยิ่งเกินความพอเพียงมากขึ้นไปอีก Real Trade ทำให้เกิดความมั่นคงได้ แต่ Paper Trade ทำให้ล้มลงได้ และเคยทำให้ระบบเศรษฐกิจไทยล้มลงมาแล้วถึง 2 ครั้ง

http://twitter.com/indexthai2

indexthai2@gmail.com
กำลังโหลดความคิดเห็น