สหรัฐอเมริกาและยุโรปเป็นประเทศต้นแบบทุนนิยมสามานย์ ที่ได้มีการพัฒนาระบบตลาดหุ้นที่เรียกว่าทันสมัยมากที่สุด ตลาดหุ้นยิ่งมีการพัฒนามากเท่าใด ยิ่งทำให้เกิดการทำลายและเกิดความเสื่อมมากที่สุด
การนำหุ้นที่มีมูลค่าตลาดหุ้นสูงประมาณ 3-4 ตัว รวมเข้าไปในการคำนวณ NASDAQ Index ในปี 1999 ทำให้ดัชนีมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานสูงขึ้น ทำให้ดัชนีอ่อนแอลง ทำให้ Hedge Fund สวมรอยลากดัชนีให้ขึ้นไปสูงสุดในปี 2000 แล้วถล่มทุบลงมาอย่างรุนแรง ดัชนีได้ตกไปต่ำสุดในปี 2002 ตกลงไปถึง 72 เปอร์เซ็นต์
ตลาดหุ้นประเทศใดตกหนักจะเป็นต้นเหตุให้ค่าเงินประเทศนั้นพังทลายตามมาด้วย
ค่าเงินเหรียญสหรัฐก็พังทลายตามมา ค่าเงินเหรียญสหรัฐตกลงรุนแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ตกลงไปต่ำสุดในปี 2008 ตกไป 48 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับเงินยูโรก่อนที่จะมีการฟื้นตัวขึ้นมาระดับหนึ่งในปัจจุบัน เงินไหลออกจากประเทศสหรัฐอเมริกาแทบเกลี้ยงสหรัฐฯ แก้ปัญหาด้วยการพิมพ์เงินออกมาใช้ (QE) ระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่มสลายลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เงินที่ไหลออกจากประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ค่าเงินประเทศต่างๆ สูงขึ้น ตลาดหุ้นสูงขึ้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมัน สูงขึ้น ทำให้เงินเฟ้อโลกพุ่งขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
กลุ่มยูโรโซนก็ได้รับผลดีจากที่เงินไหลออกจากประเทศสหรัฐอเมริกา ค่าเงินยูโรสูงขึ้น ตลาดหุ้นประเทศต่างๆ ในกลุ่มสูงขึ้น แล้วเศรษฐกิจของทั้งโลกรวมทั้งยุโรปก็พังทลายลงในปี 2008 ที่เรียกว่า Hamburger Crisis
ตลาดอนุพันธ์เป็นตัวเสริมให้ตลาดทุนและตลาดเงินขึ้นและตกแรงมากกว่าปกติ ที่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรปอย่างมากมาแล้วสวมรอยทำให้ตลาดทุนตลาดเงินขึ้นเท่าใดก็ทำให้มีกำไรมากเท่านั้น และในทางตรงกันข้าม หากสวมรอยทำให้ตลาดทุนและตลาดเงินตกมากเท่าใดก็มีกำไรมากเท่านั้นเช่นกัน ขึ้นก็ได้กำไร ตกก็ได้กำไร กำไรทั้งขึ้นและล่อง นอกจากผู้ที่ไม่มีความรู้เข้าไปเล่น จะตกเป็นเหยื่อ จะทำให้ขาดทุนทั้งขึ้นและทั้งล่องเช่นเดียวกัน
ระบบเศรษฐกิจประเทศสหรัฐอเมริกาเริ่มเสียหายในปี 1999-2000 ระบบเศรษฐกิจกลุ่มยูโรโซนเริ่มเสียหายในปี 2007-2008 โดยมีตลาดอนุพันธ์เป็นองค์ประกอบ ทำเกิดความเสียหายแบบรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ตลาดหุ้นกลายเป็นแหล่งอบายมุขที่ใหญ่ที่สุดในโลก
อธิบายคำว่าอบายมุข
อบายมุขคือธุรกรรมที่ไม่ทำให้เกิดผลผลิตต่อระบบ เป็นเพียงใช้เงินต่อเงิน
สมมติว่าคนทั้งโลกมี 10 คน ลองพิจารณาจาก 2 ตัวอย่างนี้
ตัวอย่างที่ 1 คน 10 คนดำนา ก็จะทำให้มีต้นข้าวเกิดขึ้น ได้ข้าวเปลือกตามมา มีข้าวสารเกิดขึ้น ทำให้เกิดผลผลิตให้แก่ระบบได้ ทำให้มีข้าวกิน
ยกตัวอย่างที่ 2 คน 10 คนเช่นกัน เล่นการพนัน สมมติว่าเล่นไพ่กัน การเล่นไพ่ไม่ทำให้เกิดผลผลิตใดให้แก่ระบบ มีเงินก็ไม่สามารถหาซื้อข้าวกินได้ ไม่มีข้าวให้ซื้อ เพราะไม่มีคนปลูกข้าว เป็นธุรกรรมเพียงนำเงินมาต่อเงิน มีคนได้ มีคนเสีย และไม่สามารถกินเงินแทนข้าวได้ อย่างที่โบราณว่าไว้ “เงินทองของมายา ข้าวปลาสิของจริง”
อธิบาย อบายมุข 6
อบายมุข 6 คือช่องทางของความเสื่อม ทางแห่งความพินาศ เหตุย่อยยับแห่งโภคทรัพย์ ได้แก่ ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน เที่ยวดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร และเกียจคร้านการทำงาน อบายมุขทั้งหมดนี้หากประพฤติเข้าแล้วก็เป็นเหตุให้เกิดความฉิบหาย ให้เกิดความเสื่อมเสียแก่ชีวิตร่างกายได้เหมือนกันทุกข้อ
พิจารณาอบายมุขทางด้านเศรษฐกิจ กิจกรรมหรือธุรกรรมที่เกิดจากอบายมุขทั้ง 6 ไม่ก่อให้เกิด “ผลผลิต” แก่ระบบแต่อย่างใด ไม่ว่าการดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน เที่ยวดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร และเกียจคร้านการทำงาน
อบายมุข 6 สามารถแยกได้เป็น 2 ส่วน
ส่วนที่ 1 เป็นพฤติกรรมที่ไม่ใช้ทรัพย์สินเงินทองมาทำธุรกรรมโดยตรง มีค่าใช้จ่ายตามธรรมดา เช่น การดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน เที่ยวดูการเล่น คบคนชั่วเป็นมิตร และเกียจคร้านการทำงาน
ส่วนที่ 2 เป็นส่วนที่ใช้ทรัพย์สินเงินทองมาทำธุรกรรม นำมาเล่นการพนันโดยตรง
คนเกียจคร้านการทำงาน ไม่ทำให้เกิดผลผลิตต่อระบบ พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นอบายมุข
ทุกวันนี้ เที่ยวกลางคืนเที่ยวดูการละเล่น ไม่ต้องออกนอกบ้านแล้ว ดูผ่านอินเทอร์เน็ตได้ ไม่ว่าละคร การแสดงต่างๆ ฟุตบอลหรือการละเล่นอื่นๆ
เรื่องเหล่านี้ถ้าให้มีการดูชมพอประมาณก็จะดี แต่ถ้ามากเกินไปก็จะทำให้เกิดความเสื่อมแก่ระบบ เอารัดเอาเปรียบระบบจะทำให้คุณภาพชีวิตและการทำงานลดลง เสื่อมทั้งร่างกายตน เสื่อมทั้งสุขภาพสังคมโดยรวม ไม่มีผลผลิตเกิดกับระบบ
ตลาดหุ้น น่าจะจัดอยู่ในกลุ่มการพนันเนื่องจากมีการนำทรัพย์สินเงินทองมาทำธุรกรรม
ตลาดหุ้นตามธรรมดาก็เป็นการเอารัดเอาเปรียบระบบอยู่แล้ว ยิ่งมีอนุพันธ์เพิ่มขึ้นมาอีก ยิ่งเป็นการเอารัดเอาเปรียบระบบมาขึ้นไปอีก ตลาดหุ้นไทยเคยทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยพังทลายลงจนต้องเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มาแล้วถึง 2 ครั้ง
ประเทศสิงคโปร์ไม่มี Gold Futures แต่ประเทศไทยมี Gold Futures ถ้าไม่มี Gold Futures กำไร-ขาดทุนจากการซื้อขายของคำเป็นไปตามปกติ แต่ Gold Future ทำกำไร-ขาดทุนจากการซื้อขายมากกว่าปกติ 10 เท่า สิงคโปร์รู้จักดูแลคนของประเทศตัวเอง แต่ประเทศไทยทำมาหากินโดยไม่ดูแลคนของประเทศตัวเอง เอาคนในประเทศมาเป็นเหยื่อ ให้ต่างชาติกอบโกยกำไรไปจากประเทศไทย
ราคาทองคำโลกและราคาทองคำในประเทศไทยขึ้นไปสูงสุดปี 2554 (2011)ขึ้นไปสูงสุดที่ 1,900 US$/Ounce จากนั้นราคาทองคำก็ตกลงมาโดยตลอด ราคาทองตกต่ำช่วงที่ผ่านมา คนไทยที่ซื้อขายทองจริง และกระดาษทอง (Gold Futures) ขาดทุนกันถ้วนหน้าเป็นส่วนใหญ่ แต่ Hedge Fund มีกำไรจากการค้า Gold Futures
Gold Futures ตกก็มีกำไร โดยขายตัวเลข Gold Futures ที่ราคาสูงไปก่อน และซื้อคืนที่ราคาต่ำ ก็ทำให้มีกำไรมากกว่าปกติ 10 เท่าจากเงินประกัน
ราคาทองคำในอดีต
ปี 1979 ราคาทองคำเคยขึ้นไปสูงสุดที่ 750 เหรียญต่อออนซ์ ราคาทองคำตกลงต่อเนื่องเป็นเวลา 20 ปี โดยตกไปต่ำสุดที่ 250 เหรียญต่อออนซ์ในปี 1999 ราคาตกลง 67เปอร์เซ็นต์
Dollar Futures
Dollar Futures จะเพิ่มอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจไทยมากขึ้น เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรปมาแล้ว ในอดีตค่าเงินบาทเคยเสียหายรุนแรงมาแล้วถึง 2 ครั้ง ส่งผลให้มีการลดค่าเงินบาท 1 ครั้ง และลอยค่าเงินบาท 1 ครั้ง
ในอดีต เมื่อเกิดความเสียหายกับค่าเงินบาท ผู้คนก็ไม่ถือเงินบาท เอาเงินบาทมาแลกเงินตราต่างประเทศที่ธนาคารแห่งประเทศไทย จนทุนสำรองของประเทศลดลงรุนแรง ส่งผลให้สภาพคล่องของระบบเสียหาย จนต้องลดและลอยค่าเงินบาท และเข้าโครงการ IMF ในที่สุด
Dollar Futures ที่ประเทศไทยใช้ “เงินบาท” ในการซื้อขาย Dollar Futures ไม่ใช่เป็นการซื้อขายดอลลาร์โดยตรง แต่เป็นการซื้อขายตัวเลขอ้างอิงค่าเงินดอลลาร์ ใช้เงินประกัน 1 ส่วน สามารถซื้อขายตัวเลขดอลลาร์ได้ 10 ส่วน กำไร-ขาดทุนจากการซื้อขาย Dollar Futures จะมากกว่าการซื้อขายดอลลาร์ตามธรรมดาถึง 10 เท่า
ประเทศไทยเปิดตลาดอนุพันธ์ครั้งแรกในปี 2549 (2006) ตัวแรกที่เปิดการซื้อขายคือตัวเลขดัชนี SET50 Index Futures ซึ่งเป็นตัวที่ได้รับความนิยมมากในหมู่นักเก็งกำไรทั่วไป รวมทั้ง Hedge Fund เนื่องจากเป็นตัวเลขที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องแปลงค่าเงินเหมือนการซื้อขาย Gold Futures หลังจากนั้นก็มีเปิดขายผลิตภัณฑ์ตัวเลขต่างๆ ตามมา (ดูตามชาร์ต) เป็นต้นเหตุให้เงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้าประเทศไทยท่วมท้น
ผลิตภัณฑ์ในตลาดทุนมีมากกว่านี้ และยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจ บางผลิตภัณฑ์เป็นการพิมพ์กระดาษ มาจ่ายในรูปปันผลหรือโบนัส ให้นำมาแลกเป็นเงินได้ในตลาดหุ้น
อยากจะนำอะไรมาขายก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากมันไม่เป็นผลิตภัณฑ์จริง ไม่ต้องมีขบวนการผลิตผลิตภัณฑ์จริง ไม่ต้องมีโกดังเก็บผลิตภัณฑ์จริง ไม่ต้องมีการขนส่งผลิตภัณฑ์จริงเป็นเพียงการซื้อขายตัวเลขอ้างอิง
ดูแล้วไม่ต่างกับการพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้ในรูปแบบหนึ่ง อยากได้เงินใช้ ก็เพียงพิมพ์กระดาษออกมาขาย ก็มีเงินใช้แล้ว
มีข่าวออกมาในหมู่นักเก็งกำไรโลก ว่าประเทศไทยจะเปิดตลาดอนุพันธ์ในปี 2549 (2006) ทำให้เงินทุนไหลเข้าประเทศไทยทันทีไหลเข้าก่อนเวลาที่จะมีการเปิดตลาดอนุพันธ์จริงเสียอีก
เงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศจะเป็นแบบคู่ขนาน คือจะไหลเข้าพร้อมกันในตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้ เมื่อเวลาจะไหลออก ก็จะไหลออกพร้อมกัน คือไหลออกจากตลาดทุน และไหลออกจากตราสารหนี้ ส่งผลให้ค่าเงินบาทเปลี่ยนแปลงแบบรุนแรงได้
การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาท เป็นเรื่องที่สามารถทราบถึงต้นเหตุได้ ทำไมค่าเงินบาทบางช่วงจึงเพิ่มสูงขึ้น ทำไมบางช่วงจึงตกต่ำลง
การพังทลายของค่าเงินบาทครั้งหลังสุดเกิดขึ้นเมื่อมีการนำระบบ Maintenance Margin & Force Sell มาใช้ในตลาดหุ้นปลายปี 1993 (2536) ทำให้ตลาดหุ้นพังทลายลงในต้นปี 1994 (2537) ทำให้ค่าเงินบาทเสียหายตามมา มีการพยุงค่าเงินบาทไว้ จนกระทั่งพยุงไว้ไม่ไหว ต้องลอยค่าเงินบาทกลางปี 1997 (2540)
ปี 2000 ตลาดหุ้น NASDAQ พังทลายลง ส่งผลให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลายลงมา เงินไหลออกจากประเทศสหรัฐอเมริกา มาเปลี่ยนเป็นสกุลเงินอื่น ส่งผลให้ค่าเงินของประเทศต่างๆ สูงขึ้น ค่าเงินบาทของไทยก็สูงขึ้น ตามแนวเส้น AB ในภาพ ปี 2006 มีการเปิดตลาดอนุพันธ์ ส่งผลให้เงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้าอย่างท่วมท้น ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ในภาพแสดงตามแนวเส้น CD ช่วงระยะเวลาแค่ปีครึ่ง เงินบาทแข็งค่าขึ้นจากระดับ 41 เป็น 29 บาทต่อเหรียญสหรัฐ หรือแข็งค่าขึ้น 12 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
กลางปี 2012 มีการเปิดซื้อขาย Dollar Futures ค่าเงินบาทได้โอกาสพุ่งขึ้นอีกรอบ (ดูจากภาพ)
การเปิดตลาดอนุพันธ์ เงินทุนไหลเข้าประเทศรุนแรงนอกจากทำให้เงินบาทแข็งค่าแล้วก็ทำให้ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสูงขึ้น เห็นได้จากภาพนี้
ปี 2006 (2549) มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นหลายอย่าง ทั้งการเปิดตลาดอนุพันธ์ รัฐประหาร และการออกมาตรการกันสำรอง 30% เงินทุนไหลเข้า
รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แทนที่จะทำให้บาทออ่อนค่า แต่บาทกลับแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง จนอีก 3 เดือนต่อมา คือวันที่ 19 ธันวาคม 2549 ทางการต้องออกมาตรการกันสำรอง 30 เปอร์เซ็นต์เงินทุนไหลเข้า ออกมาตรการได้วันเดียว ดัชนีตลาดหุ้นตกในชั่วโมงซื้อขายในวันเดียว 140 จุด ต้องยกเลิกมาตรการดังกล่าวในวันรุ่งขึ้น
วันที่ออกมาตรการกันสำรอง 30 เปอร์เซ็นต์เงินทุนไหลเข้า ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศอยู่ที่ระดับ 74 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทุกวันนี้ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสุทธิสูงกว่า 200 พันล้านเหรียญสหรัฐ
อนุพันธ์ตลาดทุนของทุกประเทศเป็นสวรรค์ของบรรดา Hedge Fund แต่จะกลายเป็นนรกของระบบเศรษฐกิจของประเทศนั้น
10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เปรียบดุลการค้า 190,000 ล้านบาท หรือประมาณ หรือประมาณ 65 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตัวเลขนี้ไม่ได้เป็นต้นเหตุให้ทุนสำรองสูงมากขนาดนี้
แสดงว่าเงินทุนไหลเข้า ที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสูงขึ้น ไม่ได้เกิดจากภาคการค้าขายจริง (Rea Trade) เช่น การได้ดุลการค้า การได้ดุลการท่องเที่ยว การได้ดุลการลงทุนทางตรง การได้ดุลจากการบริจาค แต่เกิดจากการเข้ามาเก็งกำไรในตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้นั่นเอง (Paper Trade)
ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ท่านมีตำแหน่งใหญ่โตในหลายรัฐบาล เคยผ่านเหตุการณ์เข้า IMF มาแล้วถึง 2 ครั้ง ในครั้งแรกท่านเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีในรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประเทศไทยต้องลดค่าเงินบาทและเข้าโครงการ IMF เป็นครั้งแรกต่อมา เป็นรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ประเทศไทยต้องลอยค่าเงินบาท และเข้าโครงการ IMF อีกเป็นครั้งที่ 2
ท่านมีประสบการณ์จากประเทศไทยเข้า IMF ครั้งแรกมาแล้ว คงเป็นประสบการณ์ที่ไม่มีคุณภาพแต่อย่างใด จึงทำให้ประเทศไทยต้องเข้า IMF อีกเป็นครั้งที่ 2
ต่อมาเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจในรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่มาของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจหลายแห่งเป็นที่มาของตลาดอนุพันธ์ ที่เป็นต้นเหตุเงินทุนไหลเข้าท่วมประเทศไทยทุกวันนี้
ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานธนาคารแห่งประเทศไทย
ประสาร ไตรรัตน์วรกุล เมื่อทำงานอยู่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นที่มาของระบบ Maintenance Margin & Force Sell ในตลาดหุ้น ที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นสูงขึ้นถึง 1,750 จุด และพังทลายในเวลาต่อมา ทำให้ค่าเงินบาทเสียหายตามมา มีการลอยค่าเงินบาท และเข้าโครงการ IMF (ครั้งที่ 2) ในเวลาต่อมา ปัจจุบันเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยทุกวันนี้ผ่านไปเกือบ 20 ปีแล้ว ดัชนีก็ยังไม่สามารถกลับสู่จุดเดิมได้
กิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีดร.วีรพงษ์ รามางกูรเป็นที่ปรึกษา เป็นช่วงที่มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจมากที่สุด บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) 6/12/2001 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) 13/3/2004 บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) 26/10/2004 บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) (MCOT)17/11/2001 รวมทั้งการเกิดขึ้นของตลาดอนุพันธ์ที่เป็นต้นเหตุเงินทุนไหลเข้าท่วมประเทศทุกวันนี้
ปัจจุบันเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เกี่ยวข้องกับโครงการเงินกู้กระเทือนแผ่นดิน โครงการกู้แก้ปัญหาน้ำท่วม 3.5 แสนล้านบาท โครงการจำนำข้าว โครงการกู้เงินใช้ในการก่อสร้างสาธารณูปโภค 2 ล้านล้าน
มีการพูดคุยกันว่า ประเทศไทยจะแก้ปัญหาต่างๆ ได้ ต้องรอให้คนรุ่นเก่าตายไป แล้วมีคนรุ่นใหม่เข้ามาแทน แต่ความเป็นจริงคนรุ่นเก่าก็ยังอยู่ คนรุ่นใหม่ที่เข้ามากลับร้ายกว่าเดิมอีก แล้วจะว่าอย่างไร
คนไทยที่เกิดในประเทศไทยก็ต้องรักประเทศไทยด้วย ทรัพย์สินของประเทศไทยก็ควรเป็นของคนไทย ไม่ใช่ทำให้ตกเป็นของต่างชาติ แต่นับวันทรัพย์สินของคนไทยตกเป็นของต่างชาติมากขึ้น
นักการเมืองนอกจากจะขายทรัพย์สินของตัวเองให้ต่างชาติแล้ว ยังเอาทรัพย์สินของรัฐไปขายให้ต่างชาติอีก (แปรรูปรัฐวิสาหกิจ)
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ผ่านมาก็ไม่รู้ว่าเป็นของใคร ไม่รู้ว่าเป็นของรัฐหรือของเอกชน ไม่ทราบว่าเป็นองค์กรแบบไหน ทั้งๆ ที่มีรายได้มหาศาล ถ้าเป็นของรัฐ ก็น่าจะมีรายได้ส่งคลังบ้าง แต่ปรากฏว่าไม่มีการส่งรายได้เข้ากระทรวงการคลัง 38 ปีของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ผ่านมา ไม่รู้รายได้ของตลาดหลักทรัพย์ฯ หายไปไหนหมด
รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ได้เตรียมการแปรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ ไว้แล้ว ทุกวันนี้รัฐมนตรีกระทรวงการคลังไม่ได้เป็นประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว ตามแต่ใจว่าจะเอาใครก็ได้มานั่งเป็นประธาน ก.ล.ต.ต่อไปหากมีการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ ก็จะทำการแปรรูปสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ แปรรูปธนาคารแห่งประเทศไทยได้ ไม่รู้จะคิดขายสมบัติชาติไปถึงไหน
ดูการกู้เงินของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์แล้ว ดูเหมือนจงใจจะให้เกิดการย่อยยับกับประเทศ ที่อาจจะทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจตามมาได้ หากว่าเกิดวิกฤตเศรษฐกิจจริง ก็จะทำให้มีการแปรรูปง่ายขึ้น โดยอ้างว่าแปรรูปเพื่อใช้หนี้ IMF อาจจะเป็นความคิดของคนที่ไม่รักประเทศไทยวางแผนเอาไว้แล้วก็ได้
ประเทศไทยจะหวังพึ่งนักการเมืองก็ยากยิ่ง จะหวังพึ่งเทคโนแครต ก็เห็นแล้วว่ายาก เขาก็โยนปัญหากันไปมา หรือทำงานเพื่อรับใช้ประโยชน์นักการเมือง หรือเพื่อประโยชน์ตนน่าคิดที่จะรักชาติบ้าง คิดเองไม่ได้ เครื่องมือทางเศรษฐกิจบางอย่างของประเทศทางตะวันตก ทำให้ระบบเศรษฐกิจเขาพังทลายมาแล้ว ก็ยังไปลอกเลียนเขามา จะหวังพึ่งสื่อก็ยากอีก เพราะเขาทำมาหากินด้วยกันมา ถ้าพึ่งได้ประเทศไทยคงไม่เป็นเช่นนี้แน่
http://twitter.com/indexthai2
indexthai2@gmail.com