ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ผ่านไปกว่า 3 อาทิตย์ที่ยังคงคั่งค้าใจ กับปมคนร้ายอุ้มฆ่า “เอกยุทธ อัญชันบุตร” เจ้าของเว็บไซด์ไทยอินไซเดอร์และเจ้าพ่อวงการหุ้นและนักลงทุนชื่อดัง ซึ่งเปิดหน้าชกกับ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” เผยข้อมูลทุจริตในโครงการต่างๆของ“รัฐบาลยิ่งลักษณ์” รวมทั้งแฉปมความลับ “ว.5 โฟร์ซีซั่นส์ -น้ำแตกที่ มัลดีฟส์”
แม้วันนี้การสืบสวนคลี่คลายคดียุค “บิ๊กอู๋-แจ๊ด” เร่งสรุปให้คดีการอุ้มฆ่าครั้งนี้เป็นเรื่องของการชิงทรัพย์ แต่สังคมก็ยังไม่คลายสงสัย เนื่องเพราะถ้าจะว่าไปแล้วตำรวจก็ยังไม่สามารถคลายปมทั้ง 13 ปมที่นายสุวัตร อภัยภักดิ์ทนายความของนายเอกยุทธตั้งไว้ให้ครบถ้วนกระบวนความ
แต่การณ์กลับกลายเป็นว่าคดีนี้ตำรวจ “ยุคแจ๊ด” สรุปสำนวนและพยายามเร่งปิดคดี ใน 1 เดือน ก่อนส่งฟ้องว่า เป็นเรื่องฆ่าชิงทรัพย์ เหมือนกับตีบทไว้เพียงล่วงหน้าว่าตัวละครคดีนี้มีเพียง 2 คนคือนายสันติภาพ หรือบอล เพ็งด้วง อายุ 25 ปี คนขับรถและนายสุทธิพงศ์ พิมพิสาร หรือเบิ้ม ฆ่ากันเพียงลำพัง หวังชิงเงิน5 ล้านบาท โดยไม่เกี่ยวข้องกับทางการเมือง ซึ่งขัดกับความเคลือบแคลงสงสัยของประชาชน รวมทั้งญาติและทีมทนายความของนายเอกยุทธ
สอดรับกับแม่ทัพใหญ่สีกานครบาล พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เพียง 2 วัน หลังจับกุมผู้ต้องหาที่ สารภาพเหมือนกับถูกเขียนบทละครว่า "ฆ่านายเอกยุทธเพื่อชิงทรัพย์เท่านั้น" แต่เบื้องหลังคำให้การก็พบข้อพิรุธและข้อสงสัยมากมาย เช่น นายสันติภาพ คนขับรถได้ให้การกลับไปกลับมาหลายครั้ง ตั้งแต่ครั้งแรกที่ถูกควบคุมตัวได้ ในชั้นแรกเจ้าตัวระบุว่านายเอกยุทธได้ให้ตนเองไปส่งที่ จ.เพชรบุรี เพื่อเปลี่ยนรถไปพม่า ก่อนที่จะกลับคำให้การในวันเดียวกันหลังถูกตำรวจสอบเค้นอย่างหนัก นอกจากนี้ในคำให้การเกี่ยวกับพฤติการณ์การฆ่า รวมถึงผู้ที่ลงมือฆ่าก็ยังมีการให้การที่สับสน และยังไม่น่าจะเชื่อถือได้
อีกทั้งปมประเด็นการสังหารที่ผู้ต้องหาให้การกับตำรวจก็ดูจะไม่น่าเชื่อถือ เพราะอย่างที่ทราบในเมื่อประสงค์ต่อทรัพย์ แต่ทีมอุ้มกลับไม่แตะต้องทรัพย์สินอื่นๆ ภายในบ้านพักของนายเอกยุทธ มิหนำซ้ำยังให้การว่าได้เอาทรัพย์สินของนายเอกยุทธที่ติดตัวมา เช่น นาฬิกาโรเล็กซ์ สร้อยคอทองคำพร้อมพระสมเด็จเกศไชโยองค์ละ 20 ล้านบาท ไปโยนทิ้งน้ำ ยิ่งทำให้ฟังดูแปร่งๆ เช่นเดียวกับ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ให้ทัศนะผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เรื่อง “ชิงทรัพย์หรือฆาตกรรมอำพราง?”ไว้อย่างน่าสนใจ
โดยอ้างอิงว่าได้รับรู้มาจาก อดีตนายตำรวจใหญ่ ซึ่งเกษียณไปแล้วและเป็น “ปรมาจารย์สืบสวนสอบสวน” แล้วฟันธงว่า เรื่องเอกยุทธ ไม่ใช่เรื่อง “การชิงทรัพย์” หรือ “เรียกค่าไถ่” แต่เป็นการ “ฆาตกรรมโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยมีเหตุผลสนับสนุนเพราะว่า "คนร้ายไม่ได้ประสงค์ต่อทรัพย์ แม้กระทั่งเข้าไปในบ้าน ก็ไม่ได้รื้อค้นทรัพย์สิน ส่วนทรัพย์ที่ได้มา ก็เอาไปโยนทิ้งน้ำ แต่ดันไปเอาเซิร์ฟเวอร์ซึ่งจริงๆอาจไม่ได้ต้องการข้อมูลในกล้องอย่างเดียวเท่านั้น แต่มีข้อมูลสำคัญอื่นๆอยู่ด้วย ถ้าชิงทรัพย์จริงต้องเอาทรัพย์สินที่บ้านไปด้วย และที่ว่าไม่ใช่เป็นการเรียกค่าไถ่ เพราะบังคับให้เขียนเช็คได้เงินแล้ว ก็ยังไม่ยอมปล่อยตัว แสดงว่าประสงค์ต่อชีวิตมากกว่าทรัพย์"
คำให้การของทีมอุ้มจึงสวนทางกับปมสังหารที่ “บิ๊กตำรวจ” ไล่ตั้งแต่ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. , พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. ออกมาฟันธงในวันแรกๆ ที่จับตัวทีมอุ้มได้ว่าคดีนี้คนร้ายเพียงประสงค์ต่อทรัพย์เท่านั้นไม่มีประเด็นอื่น และไม่มีการเมืองอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน สอดรับกับ “บิ๊กเหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ที่ออกมาฟันธงราวกับตาเห็นว่า นายเอกยุทธ ถูกคนร้ายฆ่าชิงทรัพย์ ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่จนถึงขณะนี้คดีจึงไม่เดินหน้าไปไกลจากวันแรกๆ จนทำให้นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความเอกยุทธ ได้ตั้งข้อสงสัย 13 ประเด็น
ล่าสุด พล.ต.ท.คำรณวิทย์ พร้อมชุดคลี่คลายคดีอุ้มฆ่า “เอกยุทธ” สรุปว่าการเสียชีวิตของนายเอกยุทธว่า ประเด็นมูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุของผู้ต้องหา เมื่อวิเคราะห์จากห่วงโซ่พยานหลักฐานต่างๆ ที่พนักงานสอบสวนได้รวบรวมมา ทั้งพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ และพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ปรากฏชัดขึ้นมาตามลำดับ โดยลักษณะของนายสันติภาพ เพ็งด้วง ผู้กระทำผิดนั้น พบว่าในช่วงวัยรุ่นเมื่ออายุ 18 ปี เป็น เด็กแว้น มีพฤติกรรมก้าวร้าว เคยก่อเหตุอาชญากรรมทั้งวิ่งราวทรัพย์ และกรรโชกทรัพย์ เข้ามาสู่วงจรโดยการเป็นคนขับรถในหลายบริษัท และจากข้อมูลของแหล่งข่าวระบุว่าเคยก่อเหตุที่มุ่งประสงค์ต่อทรัพย์มาหลายครั้ง ซึ่งตรงนี้มีการสอบปากคำผู้บริหารในหลายบริษัท ขณะเดียวกันพบว่านายสันติภาพมีลักษณะนิสัยที่ก้าวร้าว ติดการพนัน และใช้เงินเป็นจำนวนมากในการเล่นการพนัน และผู้ต้องหารายนี้มีการเตรียมการที่จะก่อเหตุ โดยพบวัตถุพยานหลายอย่างที่บอกถึงการเตรียมการ มีพยานยืนยันตรงนี้ สอดรับกับห้วงเวลาที่ลงมือ ตลอดจนภาพที่ปรากฏในซีซีทีวีทั้งหมดที่เป็นพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในคดีนี้
ด้าน พล.ต.ต.พรชัย ผู้บังคับการสถาบันนิติเวชวิทยา ชี้แจง การตั้งข้อสังเกตเรื่องลูกอัณฑะของนายเอกยุทธ ที่มีอาการบวมว่า ลูกอัณฑะที่บวมน่าจะเกิดจากการเน่า ถ้าหากเป็นการบวมช้ำจากการถูกทำร้ายจะพบการคั่งจากภายใน ซึ่งศพนายเอกยุทธผ่านมา 5 วันแล้ว จึงเกิดสภาพเช่นนี้ ส่วนบาดแผลบริเวณใบหน้าที่มีการสงสัย แพทย์ไม่พบบาดแผลที่อื่น พบเพียงบาดแผลถลอกบริเวณปลายจมูกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งก็ไม่น่าจะเกิดจากการถูกทำร้าย
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของประเด็นอื่นๆ ที่ไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะเป็นรายละเอียดในสำนวนการสอบสวน แต่ยืนยันว่าตำรวจสามารถตอบข้อซักถามได้ทั้งหมด โดยหลังจากนี้จะมีการเชิญนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความของนายเอกยุทธ มาฟังคำตอบด้วยตนเอง ขณะเดียวกันหากมีประเด็นที่ติดใจสงสัย หรือมีข้อสังเกตเพิ่มเติม ตำรวจก็ยินดีรับฟังและจะทำการสืบสวนสอบสวนทุกประเด็น ส่วนความคืบหน้าของคดีขณะนี้มีการสอบปากคำพยานไปแล้ว 51 ปาก ขณะที่การติดตามทรัพย์สินของนายเอกยุทธ ตำรวจก็เร่งดำเนินการอยู่ โดยก่อนหน้านี้ได้ส่งนักประดาน้ำไปงมหาในจุดที่ผู้ต้องหาให้การว่านำทรัพย์สินไปโยนทิ้งน้ำแต่ก็ไม่พบ ส่วนพระสมเด็จเกศไชโย ตนก็ได้นำตำหนิรูปพรรณพระไปตรวจสอบในตลาดพระอีกทางหนึ่งด้วย
ทว่า หลังทีมทนายนายสุวัตรอภัยภักดิ์ ได้เข้าพบกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.ก็ยังคงมีข้อข้องใจเหตุแห่งการเสียชีวิตอยู่เหมือนเดิม เช่น มูลเหตุจูงใจ ผู้ต้องหาให้การว่าประสงค์ต่อทรัพย์ แต่กลับนำทรัพย์สินมีค่าของนายเอกยุทธไปโยนทิ้ง ทั้งนาฬิกาโลเร็กซ์ เรือนละเป็นล้าน สร้อยคอทองคำ พระสมเด็จเลี่ยมทองเกตุไชโย องค์ละ10-20 ล้านบาท ทำให้ปักใจเชื่อไม่ได้
ส่วนประเด็นเรื่องฮาร์ดดิสก์กล้องวงจรปิดที่บ้านของนายเอกยุทธ ผู้ต้องหาก็ให้การว่าเอาไปทุบจนแหละละเอียดและนำซากไปโปรยทิ้ง ประเด็นนี้ก็ทำใจให้เชื่อไม่ได้ เช่นเดียวกับเสื้อผ้าก็ให้การว่าฉีกเป็นชิ้นๆ และนำไปโปรยทิ้ง และกระเป๋าหลุยส์วิตตองของนายเอกยุทธ ซึ่งผู้ต้องหาก็บอกว่านำไปหั่นเป็นชิ้นๆ แล้วเอาไปทำลาย
“ผใไม่เห็นด้วยกับคำรับสารภาพของนายบอล เชื่อว่ายังโกหกอีกหลายประเด็น สิ่งเดียวที่หวังก็คือคณะพนักงานสอบสวนชุดนี้และกองบังคับการปราบปราม ซึ่งถ้าบช.น.กับกองปราบทำงานร่วมกันแล้วได้แค่ไหนก็คือแค่นั้น แต่ต้องตอบสังคมให้ได้ ทุกอย่างต้องชัดเจน ไม่เช่นนั้นศาลจะยกฟ้องได้ มีหลายคดีที่มีเพียงแค่คำรับสารภาพอย่างเดียว ซึ่งสุดท้ายศาลก็ยกฟ้อง" นายสุวัตรให้ความเห็น
ดังนั้น จึงต้องตั้งคำถามถึงผู้มีอำนาจสูงสุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติคือพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้วว่า พอใจกับสิ่งที่บิ๊กแจ๊ดสรุปคดีหรือไม่ หรือลูกน้องว่าอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น เพราะบิ๊กอู๋รู้อยู่แก่อกว่า บิ๊กแจ๊ดมีวันนี้เพราะพี่ให้