ยังคงอยู่ในความสนใจของประชาชนอย่างต่อเนื่องกับคดีอุ้มฆ่า “เอกยุทธ อัญชันบุตร” นักธุรกิจการเงินและเจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ แม้คดีนี้หลังเกิดเหตุตำรวจสามารถจับกุมตัวทีมสังหารได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คนขับรถของนายเอกยุทธที่อ้างว่าได้ร่วมกับเพื่อนอีก 3 คนวางแผนอุ้มเจ้านายตัวเอง โดยมูลเหตุจูงใจเพียงอย่างเดียวคือต้องการเงินหรือทรัพย์สินเท่านั้น
ทว่า จากคำให้การของผู้ต้องหายังมีพิรุธหลายจุด เพราะอย่างที่ทราบ นายสันติภาพ หรือบอล เพ็งด้วง อายุ 25 ปี คนขับรถได้ให้การกลับไปกลับมาหลายครั้ง ตั้งแต่ครั้งแรกที่ถูกควบคุมตัวได้ ในชั้นแรกเจ้าตัวระบุว่านายเอกยุทธได้ให้ตนเองไปส่งที่ จ.เพชรบุรี เพื่อเปลี่ยนรถไปพม่า ก่อนที่จะกลับคำให้การในวันเดียวกันหลังถูกตำรวจสอบเค้นอย่างหนัก นอกจากนี้ในคำให้การเกี่ยวกับพฤติการณ์การฆ่า รวมถึงผู้ที่ลงมือฆ่าก็ยังมีการให้การที่สับสน และยังไม่น่าจะเชื่อถือได้
นอกจากนี้ เรื่องประเด็นการสังหารที่ผู้ต้องหาให้การกับตำรวจก็ดูจะไม่น่าเชื่อถือ เพราะอย่างที่ทราบในเมื่อประสงค์ต่อทรัพย์ แต่ทำไมทีมอุ้มกลับไม่แตะต้องทรัพย์สินอื่นของนายเอกยุทธ ทั้งๆ ที่รู้ว่านายเอกยุทธมีทั้งเงินสดและทรัพย์สินอื่นมากมาย มิหนำซ้ำยังให้การว่าได้เอาทรัพย์สินของนายเอกยุทธที่ติดตัวมา เช่น นาฬิกาโรเล็กซ์ สร้อยคอทองคำพร้อมพระสมเด็จเกศไชโยองค์ละ 20 ล้านบาท ไปโยนทิ้งน้ำ ยิ่งทำให้ฟังดูแปร่งๆ
คำให้การของทีมอุ้มจึงสวนทางกับปมสังหารที่บิ๊กตำรวจไล่ตั้งแต่ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. ออกมาฟันธงในวันแรกๆ ที่จับตัวทีมอุ้มได้ว่าคดีนี้คนร้ายเพียงประสงค์ต่อทรัพย์เท่านั้นไม่มีประเด็นอื่น และไม่มีการเมืองอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน สอดรับกับ “บิ๊กเหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ที่ออกมาฟันธงราวกับตาเห็นก่อนหน้านี้ ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่จนถึงขณะนี้คดีจึงไม่เดินหน้าไปไกลจากวันแรกๆ
ท่ามกลางความเคลือบแคลงของญาติและบุคคลใกล้ชิดนายเอกยุทธ รวมทั้งประชาชนที่ติดตามข่าวสารว่าคดีนี้ต้องมี “ไอ้โม่ง” ผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่านายเอกยุทธเป็นคนที่กล้าประกาศตัวว่ายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับระบอบทักษิณ รวมทั้งรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่สำคัญเจ้าตัวออกโรงแฉข้อมูลที่เป็นด้านลบของผู้นำประเทศทั้งกรณี “ว.5 โฟร์ซีซั่นส์-น้ำแตกที่มัลดีฟส์” จนสร้างความขุ่นเคืองใจให้นายกฯ นกแก้ว และคนใกล้ชิด
ขณะที่ตำรวจที่ทำคดีนี้ล้วนแล้วแต่เป็นนายตำรวจที่รับใช้ระบอบทักษิณ ไล่ตั้งแต่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ที่ประกาศอย่างชัดเจนว่า “มีวันนี้เพราะพี่ให้” ขณะที่ พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ หรือ “ชัดชัย” เลี่ยมสงวน หัวหน้าทีมสืบสวนคดีนี้ ก็เป็นตำรวจที่เคยพัวพันคดีการอุ้มนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความมุสลิม ในสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณเรืองอำนาจ
แม้จะมองในแง่ดีว่ากรณีนี้ตำรวจเองย่อมต้องมีจิตวิญญาณของการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ต้องทำคดีอย่างตรงไปตรงมา และต้องลากคอคนที่กระทำผิดมาลงโทษตามกระบิลเมืองให้ได้ ถึงแม้คดีนี้ผู้เสียชีวิตจะประกาศตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบทักษิณ หรือแม้แต่รัฐบาลก็ตาม แต่หากมองในแง่ลบคดีนี้ตำรวจที่ทำคดีเคยประกาศตัวอย่างชัดเจนว่าว่ายืนอยู่ข้าง พ.ต.ท.ทักษิณ หลายคนก็คงอดคิดไม่ได้ ว่าหากคนที่อยู่เบื้องหลังคดีนี้ เป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับรัฐบาล หรือเป็นคนระบอบทักษิณ มีหรือที่ตำรวจจะสืบสวนหรือสาวไปถึงตัว คดีนี้จึงต้องวัดใจ วัดฝีมือและสปิริตกัน
นอกจากนี้ หากวิเคราะห์จากพฤติการณ์ของผู้ที่ลงมือก่อเหตุเชื่อได้ว่าคดีนี้มีการวางแผนอย่างเป็นขั้นตอน ทั้งการลงมืออุ้ม การลงมือฆ่า รวมถึงกระบวนการซ่อนเร้นอำพรางศพที่มีถอดเสื้อผ้าของนายเอกยุทธออกทั้งหมด ก่อนนำร่างไร้วิญญาณไปฝัง เพื่อทำลายหลักฐาน ทั้งหมดดูจะผิดวิสัยของคนขับรถอย่างนายสันติภาพที่จะคิดได้ แม้จากการตรวจสอบประวัติพบว่าเจ้าตัวเองก็ มีประวัติอาชญากรรมเกี่ยวกับการชิงทรัพย์และกรรโชกทรัพย์มาก่อนก็ตาม
ขณะที่นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความนายเอกยุทธ ก็ยังคงเดินหน้าทวงหาความเป็นธรรม โดยเดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง ผบช.น.ให้สืบสวน 13 ประเด็นต้องสงสัยในคดีการฆาตกรรมนายเอกยุทธ ประกอบไปด้วย
1. มูลเหตุจูงใจ หากผู้ต้องหาประสงค์ต่อทรัพย์จริง เหตุใดจึงนำทรัพย์สินไปทิ้งน้ำ
2. การลงมืออุ้มนายเอกยุทธ ก่อเหตุเพียงผู้ต้องหา 2 คนหรือไม่ ทำไมนายเอกยุทธไม่ต่อสู้ขัดขืนหรือหลบหนี
3. ให้ติดตามหาโทรศัพท์มือถือของนายสันติภาพที่คุยระหว่างอยู่ที่ร้านอาหารตามภาพวงจรปิด โดยตรวจสอบว่านายสันติภาพพูดคุยกับใคร
4. ให้ติดตามนายเปี๊ยก ตามที่นายสันติภาพกล่าวอ้างว่าเป็นผู้นำกุญแจมือและโทรศัพท์มาให้
5. การตามหาฮาร์ดดิสก์กล้องวงจรปิดที่หายไป และให้ผู้เชี่ยวชาญกู้คืนข้อมูล
6. คำให้การของผู้ต้องหายังมีความขัดแย้ง เช่น มีการแวะพักที่บ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช ต้องตรวจสอบว่าเป็นบ้านของใคร และแวะทำอะไร
7. หาหลักฐานกล้องวงจรปิดจุดที่นายเอกยุทธถูกฆ่าตาย และตามหาพยาน รวมถึงคนขับรถสิบล้อที่นายเอกยุทธวิ่งไปขอความช่วยเหลือ
8. ให้ตรวจสอบว่าใบหน้าของนายเอกยุทธถูกทำร้ายหรือไม่
9. บุคคลใดนำกระเป๋าใส่เอกสารของนายเอกยุทธไป
10. ประเด็นลูกอัณฑะของนายเอกยุทธถูกทำร้าย
11. ประเด็นพบผู้ต้องสงสัยบริเวณปากซอยประดิพัทธ์ 17
12. ขอให้ตำรวจตรวจสอบรถโฟล์คตู้ของกลางอีกครั้ง เพื่อหาลายนิ้วมือแฝง และดีเอ็นเอของบุคคลอื่น
13. หาเสื้อผ้านายเอกยุทธ เพราะอาจทิ้งหลักฐานดีเอ็นเอ เพราะอาจมีเลือดของผู้ร่วมกระทำผิดติดอยู่
นั่นคือข้อพิรุธข้อสงสัยในคดี ที่ทนายความรวมถึงญาติผู้เสียชีวิตยังคงค้างคาใจ และยังติดใจสงสัย อยากให้ทีมสืบสวนเร่งตรวจสอบ อันจะนำมาสู่การทำความจริงให้ปรากฏ
ขณะที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ระบุว่า เห็นด้วยกับประเด็นข้อสงสัยของนายสุวัตรที่นำมามอบให้ และยอมรับว่ามีบางข้อที่ตำรวจก็สงสัยเช่นกันใน 13 ประเด็น เพียงแต่ในบางเรื่องตำรวจก็ต้องรอคอยผลการตรวจพิสูจน์จากทางแพทย์ ทางวิทยาศาสตร์ พร้อมระบุว่า ถือเป็นเรื่องดีที่จะได้ตั้งประเด็นสอบแพทย์เพิ่มเติม ทั้งนี้ จะทำเรื่องขอตัวผู้ต้องหาออกมาเพื่อสอบปากคำเพิ่มให้ครบตามประเด็น ประเด็นไหนที่สอบเสร็จแล้ว หรือมีความคืบหน้า จะรีบแจ้งให้ทางทนายความของนายเอกยุทธทราบทันที
“13 ประเด็นที่สงสัย คาดว่าจะใช้เวลาตรวจสอบไม่เกิน 1 สัปดาห์จะมีความคืบหน้า และหากมีประเด็นใดที่ได้คำตอบก็จะรีบแจ้งทนายให้ทราบทันที เพื่อให้จบไปเร็วๆ ขอให้ญาติสบายใจได้ ส่วนตัวก็ไม่มีการปิดบังอะไร ทำงานร่วมกันโดยตลอด ทั้งให้เข้าร่วมรับฟังการสอบปากคำผู้ต้องหา หรือพาไปขุดศพด้วย ดังนั้นไม่มีการปิดบังอะไรแน่นอน เรายินดีรับข้อมูลจากทนายนายเอกยุทธตลอด เพราะรู้เบื้องหลังและประวัติของนายเอกยุทธดีกว่าตำรวจ ดังนี้ คดีนี้เชื่อว่าจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี” ผบช.น.ระบุ
สอดคล้องกับ ผบ.ตร.ที่ยืนยันว่าคดีนี้ตำรวจเองไม่ได้เร่งปิดคดี แต่ทำงานอย่างบูรณาการ ในการหาพยานหลักฐานอื่นๆ เพิ่มเติม ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถตอบคำถามสังคมได้ และจะทำหนังสือเชิญ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันทน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม มาร่วมตรวจสอบในคดีเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ขณะเดียวกันได้สั่งการให้ บก.ป. ตรวจสอบเรื่องแรงจูงใจ และหาข้อมูลในประเด็นต่างๆ เพื่อหาสาเหตุการลงมือ นอกจากนี้ยังได้สั่งตั้งศูนย์อำนวยการสืบสวนสอบสวนคดีนายเอกยุทธ อัญชันบุตร โดยมี พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบช.น.เป็นหัวหน้า สถานที่ตั้งอยู่ที่ สน.วังทองหลาง เพื่อให้ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแส ยืนยันตำรวจพร้อมเปิดรับข้อมูลทุกด้าน
ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.อดุลย์ได้กำชับไปยัง ผบช.น.ในที่ประชุมบริหาร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา หลังได้รับรายงานกรณีที่ทีมทนายความของนายเอกยุทธ ได้เรียกร้องให้ตำรวจตรวจสอบประเด็นเพิ่มอีก 13 ประเด็น ซึ่ง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ยืนยันว่า ในหลายประเด็นก็ได้มีการดำเนินการไปแล้ว และหลายประเด็นก็ต้องดำเนินการ ซึ่งทาง ผบ.ตร.ก็ได้สั่งให้ทำคดีอย่างรอบคอบ โดยมอบหมายให้ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต ช่วยดูแล ขณะเดียวกันทางกองพิสูจน์หลักฐาน ได้เข้ามายืนยันหลักฐานต่างๆ ทั้งวัตถุพยานที่ตรวจพบ และยืนยันตัวบุคคลที่เป็นไปตามของ บช.น.
จะเห็นได้ว่าผ่านมากว่า 10 วัน หลังจากพบศพนายเอกยุทธ คดีนี้ยังคงมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในการทำงานสืบสวนสอบสวนของตำรวจ การตรวจสอบของภาคส่วนอื่นๆ อาทิ คณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ที่ได้เชิญนายตำรวจที่คดีไปชี้แจง และเชื่อว่าตราบที่คดียังคงเป็นที่สนใจของประชาชน ตำรวจเองก็คงจะไม่สามารถเป่าคดี หรือเกียร์ว่างได้ ส่วนจะสามารถสาวลึกถึงตัวผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลัง (กรณีถ้ามี) หรือจะหยุดเพียงเท่านี้หรือไม่ต้องติดตาม...!