xs
xsm
sm
md
lg

ทนาย “สุวัตร” สอบไอ้เบิ้ม ชี้ข้องใจหลายประเด็น ยันญาติให้สู้คดีต่อ

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


ทนายของเอกยุทธ สอบปากคำไอ้เบิ้มเพิ่ม ชี้ข้องใจหลายประเด็น ไม่ฟันธงทหารมีเอี่ยวคดีนี้ ขณะที่ตำรวจคุมตัว "ไอ้เบิ้ม" ทำแผนประกอบคำรับสารภาพ


วันนี้ (15 มิ.ย.) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร พร้อมด้วยนายนิติธร ล้ำเหลือ และทีมทนายความรวม 5 คน เดินทางเข้าพบ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผบช.น. พล.ต.ต.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบก.น.4 และพ.ต.อ.สรรค์หกิจ บำรุงสุขสวัสติ ผกก.สน.วังทองหลาง เพื่อสอบถามความเกี่ยวกับคดีที่จับกุมคนร้ายอุ้มฆ่านายเอกยุทธ เนื่องจากทีมทนายไม่ปักใจเชื่อว่าถูกอุ้มฆ่าเพื่อต้องการฆ่าชิงทรัพย์ และคดีน่าจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง

ต่อมาโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.วังทองหลาง ได้ควบคุมตัวนายสุทธิพงศ์ หรือเบิ้ม พิมพิสาร อายุ 27 ปี ผู้ต้องหาหนึ่งในทีมอุ้มฆ่านายเอกยุทธ มาที่ห้องทำงานผบช.น. เพื่อเปิดโอกาสให้ทีมทนายความซักถามนายสุทธิพงศ์ ซึ่งนายสุทธิพงศ์ มีสีหน้าเรียบเฉยไม่มีอาการอิดโรย หรือมีทีท่าสะทกสะท้าน เมื่อพบหน้ากันแบบนั่งประจันหน้ากับทีมทนายความของนายเอกยุทธ โดยในวันนี้ไม่มีญาติของนายเอกยุทธ เข้าร่วมรับฟังแต่อย่างใด โดยทีมทนายได้ใช้เวลาในการซักถามนานถึงประมาณ 2 ชั่วโมง

จากนั้น พล.ต.ต.อนุชัย ได้นำตัวนายสุทธิพงศ์ ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ตามที่ทีมทนายความตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์บนรถตู้โฟล์ค โดยจำลองเหตุการณ์ขณะที่นายสุทธิพงศ์หลบซ่อนตัวอยู่ภายในรถ โดยมีนายสุวัตร อภัยภักดิ์ และทีมทนายความคอยร่วมสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด

จุดแรกเป็นจุดที่นายสุทธิพงศ์ ขึ้นมาอยู่บนรถตู้ โดยหลบมุดซุกซ่อนตัวอยู่ที่บริเวณเบาะหน้า ด้านข้างคนขับ และแอบอย่างมิดชิดเพื่อไม่ให้นายเอกยุทธมองเห็น จากนั้นนายเอกยุทธก็ได้ขึ้นมาบนรถตู้โดย โดยนั่งอยู่ที่บริเวณเบาะนั่งผู้โดยสารแถวแรกฝั่งซ้ายมือ ต่อมานายสันติภาพ ก็ได้เปิดกระจกตรงกลางรถที่คั่นระหว่างห้องผู้โดยสารและห้องคนขับ พร้อมใช้อาวุธปืนข่มขู่นายเอกยุทธให้นอนคว่ำหมอบลงไปกับเบาะ ก่อนที่นายสุทธิพงศ์จะลุกจากที่ซ่อนตัว ปีนข้ามช่องกระจกไปยังห้องผู้โดยสาร เพื่อทำการจับกุมตัวนายเอกยุทธ โดยนายสันติภาพเป็นคนที่จับนายเอกยุทธใส่กุญแจมือ

เมื่อทีมทนายความของนายเอกยุทธ ซักถามว่า แหวนของนายเอกยุทธ ตกหล่นอยู่ตรงบริเวณใด พล.ต.ต.อนุชัย ได้ชี้แจงว่า มีพยานพบเห็นแหวนของนายเอกยุทธ ตกอยู่ที่บริเวณช่องซอกด้านล่างของประตูรถฝั่งซ้าย ก่อนจะนำมาใส่ที่บริเวณคอลโซลรถด้านหน้า

ทีมทนายความของนายเอกยุทธ ยังได้ถามอีกว่า ระหว่างที่นายเอกยุทธอยู่บนรถ นายสุทธิพงศ์ซ่อนตัวอย่างไร พร้อมกับส่งนายนิติธร เป็นตัวแทนขึ้นไปนั่งจำลองเป็นนายเอกยุทธอยู่บนเบาะ โดยให้นายสุทธิพงศ์หลบอยู่ใต้เบาะด้านหน้า ซึ่งทีมนายความตั้งข้อสังเกตว่านายเอกยุทธน่าจะมองเห็นหรือสังเกตได้ แต่นายสุทธิพงศ์กล่าวว่า ช่วงที่กำลังปีนข้ามไปนั้น นายสันติภาพได้ใช้ปืนขู่นายเอกยุทธให้หมอบคว่ำไปกับเบาะแล้ว

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวนายสุทธิพงศ์ ไปฝากขังต่อศาลอาญารัชดาโดยทันที เนื่องจากวันหยุดราชการศาลเปิดทำการเพียงครึ่งวันเท่านั้น โดยใช้เวลาในการทำแผนประกอบคำรับสารภาพประมาณเพียงแค่ 5 นาที เท่านั้น

ด้านนายสุวัตร เปิดเผยว่า ต้องขอบคุณ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ผบช.น. และทีมสืบสวนทุกคน ที่ร่วมกันทำคดีอย่างเต็มที่ การพบศพของนายเอกยุทธถือเป็นหัวใจสำคัญของคดีนี้ แต่เมื่อพบศพแล้วหน้าที่ต่อไปของพนักงานสอบสวนก็คือ จะต้องหาเหตุผลประกอบ เนื่องจากคำให้การรับสารภาพของผู้ต้องหา เมื่อไปถึงศาลอาจจะทำให้ศาลยกฟ้อง เพราะคำรับสารภาพนั้นปราศจากเหตุผล อีกทั้งหลังจากที่นายสันติภาพถูกจับกุมตัวได้ก็ให้ปากคำโกหกพนักงานสอบสวนและทนายความมาตลอด โดยทางพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ก็ได้ให้ทนายความเข้าไปรับฟังการสอบสวนด้วยตลอดเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ การเข้าไปร่วมสอบปากคำด้วยจึงเป็นที่มาของการพบศพของนายเอกยุทธ โดยหลังจากนี้จะส่งรายละเอียดเกี่ยวกับประเด็นข้อสงสัยต่างๆให้กับหัวหน้าพนักงานสอบสวนเป็นรายลักษณ์อักษรว่ามีอะไรบ้าง แต่ขอยังไม่เปิดเผยกับสื่อมวลชน โดยจะรอให้เกิดความชัดเจนก่อน เช่น ทรัพย์สินที่เหลือต่างๆอยู่ที่ไหน หากประสงค์ต่อทรัพย์ เหตุใดจึงนำไปโยนทิ้ง และคำให้การของนายสันติภาพที่ให้การไว้ก็ไม่มีเหตุผล

นายสุวัตร กล่าวอีกว่า หากพนักงานสอบสวนได้รายละเอียดจากตน จะรู้ว่ามีผู้ร่วมขบวนการที่ก่อเหตุในกรุงเทพฯจำนวนกี่คน มีเพียงแค่นายสันติภาพและนายสุทธิพงศ์เท่านั้นจริงหรือไม่ ก่อนหน้านี้นายสันติภาพให้การว่าใช้อาวุธปืนยิงนายเอกยุทธ ต่อมาก็กลับคำให้การว่าบีบคอ จึงต้องดูสภาพศพ ซึ่งผลการชันสูตรได้ระบุออกมาชัดเจนแล้วว่าขาดอากาศหายใจ ตาถลน ลิ้นจุกปาก จึงได้ข้อสรุปแน่ชัดว่าเป็นการฆ่าโดยบีบคอ ส่วนประเด็นอื่นๆจะทำการหาพยานหลักฐานต่อไป

ด้านนายนิติธร กล่าวว่า สำหรับประเด็นข้อสงสัยต่างๆในวันนี้ได้มีการซักถามและให้คำตอบ ซึ่งผู้ต้องหาทั้งสองคนให้ปากคำไปในทิศทางเดียวกัน แต่มีบางจุดยังให้การขัดแย้งกันอยู่ ขณะนี้เหลือเพียงไม่กี่ประเด็น คาดว่าเร็วๆนี้จะสรุปร่วมกันได้อีกครั้งหนึ่ง

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ยังมองว่าปมการสังหารนายเอกยุทธเป็นเรื่องการเมืองหรือไม่ นายนิติธร กล่าวว่า ยังไม่ตัดทุกประเด็น โดยตั้งประเด็นหลักไปที่การก่อเหตุอุ้มนายเอกยุทธครั้งนี้ มีผู้ก่อเหตุเพียงแค่ 2 คน คือนายสันติภาพและนายสุทธิพงศ์หรือไม่ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม

เมื่อถามว่าญาติของนายเอกยุทธ ยังสงสัยในประเด็นใดหรือไม่ นายสุวัตร กล่าวว่า ทางญาติบางคนของนายเอกยุทธไม่อยากสู้คดี เนื่องจากยังอยู่ในสภาพหวาดกลัว และเมื่อพบศพของนายเอกยุทธแล้ว ทางญาติก็มุ่งไปที่เรื่องการทำบุญสร้างกุศล ส่วนคดีความใครถามอะไรก็ไม่มีความเห็น บางคนก็อยากให้เรื่องจบไป แต่ก็ยังไม่เป็นเอกภาพ เพราะพี่สาวกับน้องสาวมองว่าควรจะหยุด ส่วนพี่ชายกับลูกชายก็มีความเห็นเป็นอีกอย่าง ดังนั้นตนจึงให้ทางญาติๆของนายเอกยุทธตกลงกันให้เรียบร้อยก่อน เราเป็นทนายมีหน้าที่ทำตามที่ได้รับมอบหมายจากลูกความ ถ้าหากต้องการให้หยุดดำเนินการก็ต้องหยุด แต่ทีมทนายเชื่อในความบริสุทธิ์ของพนักงานสอบสวนชุดนี้ว่าจะไม่มีการบิดเบือนหรือรีบปิดคดี เพราะมีส่วนร่วมในการสอบสวนมาตลอดและได้รับความร่วมมือจากตำรวจอย่างดี

เมื่อถามว่าทีมทนายความยังยืนยันเรื่องที่คิดว่ามีเสธ. คนดังเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่หรือไม่ นายสุวัตร กล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวได้บอกกับพนักงานสอบสวนไปแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะอาจจะถูกฟ้องหมิ่นประมาทได้ ต้องรอให้มีพยานหลักฐานชัดเจน ตนคิดว่าไม่น่าจะเกินความสามารถของพนักงานสอบสวนแน่นอน

เมื่อถามว่าเชื่อในคำให้การของนายสันติภาพและนายสุทธิพงศ์หรือไม่ว่าลงมือกันเพียงแค่สองคนหรือไม่ นายสุวัตร กล่าวว่า ไม่เชื่อ โดยเฉพาะนายสันติภาพซึ่งโกหกมาตลอด เมื่อถึงคราวจำเป็นถึงได้ยอมรับสารภาพ จากนั้นก็โกหกเรื่องใหม่อีก เช่นประเด็นที่ให้การว่าเอาสร้อยไปโยนทิ้งน้ำ ทั้งๆที่ลงมือก่อเหตุคดีสำคัญมีโทษถึงประหารชีวิต แต่กลับเอาสร้อยไปโยนทิ้ง สิ่งเหล่านี้ไม่มีสาเหตุที่ทำให้เชื่อได้

เมื่อถามถึงกรณีที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าอยากให้มีการเปลี่ยนตัวผบช.น. เพื่อความโปร่งใสในคดี เพราะนายเอกยุทธเคยมีคดีที่ฟ้องหมิ่นประมาทกันอยู่ นายสุวัตร กล่าวว่า หลังจากที่ญาติแจ้งความที่สน.วังทองหลาง ซึ่งขึ้นตรงกับบช.น. ตนและญาติอีกส่วนหนึ่งก็ไปแจ้งความที่กองบังคับการปราบปราม ทั้งสองที่ก็นำข้อมูลมาบูรณาการร่วมกัน ส่วนการที่นายสนธิมีความเห็นดังกล่าวออกมาก็เป็นเรื่องของเขา ตนจะทำคดีนี้ตามความเห็นของญาตินายเอกยุทธ ไม่ใช่ความเห็นของนายสนธิ เพราะหากญาติของนายเอกยุทธยังคลางแคลงใจสงสัยในเรื่องใด ตนก็ต้องดำเนินการ

นายสุวัตร กล่าวด้วยว่า ในส่วนคดีที่นายเอกยุทธฟ้องผบช.น. และตำรวจนายอื่นๆที่เป็นพนักงานสอบสวนอีก 5 นายนั้น ขณะนี้ญาติของนายเอกยุทธสั่งการให้ถอนฟ้อง ซึ่งตนจะไปถอนฟ้องในฐานะโจทย์ที่สอง ส่วนกรณีนายเอกยุทธที่ชัดเจนแล้วว่าเสียชีวิต ดังนั้นอำนาจทนายความก็ต้องหมดลงด้วย ต้องรอการมอบมรดกความ และเมื่อมีผู้ใดรับมอบมรดกความแล้วก็จะยื่นถอนฟ้องต่อไป นอกจากนี้ ในคดีที่นายเอกยุทธถูกฟ้องว่าร่วมกันก่อเหตุทะเลาะวิวาทที่ร้านคาราโอเกะซีตี้ เมื่อปลายปี 2555 คดีก็จะระงับในส่วนของนายเอกยุทธ เนื่องจากเสียชีวิตแล้ว ส่วนผู้ที่ถูกฟ้องรายอื่นๆ ก็ต้องว่ากันไปตามรูปคดี

ขณะที่ พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผบช.น. ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าว เปิดเผยถึงกรณีที่นายเอกยุทธ ฟ้องร้องหมิ่นประมาท อยู่กับพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. ผบช.น. ว่า คงต้องแยกส่วนกัน เราเป็นตำรวจอาชีพ เรื่องที่มีการฟ้องร้องก็ต่อสู้ไปตามกระบวนการยุติธรรม และเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีการโกรธเคืองอะไรกันกับนายเอกยุทธ อีกทั้งความผิดที่นายเอกยุทธฟ้องร้องผบช.น. ก็เป็นคดีความหมิ่นประมาท ซึ่งตนมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ยืนยันว่าตำรวจยึดหลักกฎหมายในการทำงานอย่างเคร่งครัด แต่แน่นอนว่าไม่สามารถทำให้ทุกคนเลิกสงสัยในประเด็นนี้ได้

"เราเป็นพนักงานสอบสวน เราเป็นตำรวจต้องยึดหลักกฎหมายโดยเคร่งครัด พนักงานสอบสวนไม่สามารถที่จะทำให้ทุกคนพอใจได้ เมื่อเคลือบแคลงสงสัยก็ต้องใช้กระบวนการทางกฎหมายตรวจสอบ ตนเชื่อมั่นว่าพล.ต.ท.คำรณวิทย์ พร้อมต่อสู้คดีในเรื่องนั้น เรื่องนี้ก็ให้ความจริงจังในการทำงานทุกอย่างโปร่งใส่ และพร้อมที่จะตอบสังคมได้ทุกเรื่อง ต้องของคุณนายสุวัฒน์ และทีมทนายความที่เข้ามาให้ข้อมูลและเบาะแสต่างๆ ซึ่งจะนำหลักฐานทั้งหมดมาประกอบการสอบสวนดำเนินคดี เพื่อทำให้คดีดังกล่าวดำเนินการอย่างละเอียดรอบครอบที่จะตอบข้อสงสัยในทุกประเด็น นอกจากนี้หากใครมีข้อมูลเกี่ยวกับคดีและน่าจะเป็นประโยชน์ ก็สามารถแจ้งเข้ามาได้ หรือเข้ามาพูดคุยกันแลกเปลี่ยนความเห็นและข้อมูล แต่หากไม่สะดวกจะมาทางตำรวจก็ยินดีจะเข้าไปพูดคุยด้วย” รองผบช.น. กล่าว

เมื่อถามว่า สำหรับแม่ของนายสันติภาพ ตำรวจมีหลักฐานมากน้อยแค่ไหนที่จะยืนยันว่าไม่มีส่วนรู้เห็น เนื่องจากมีการเรียกให้มารับเงินที่ลาดกระบังขณะที่นายเอกยุทธยังไม่เสียชีวิต พล.ต.ต.อนุชัย กล่าวว่า จะดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันรับของโจรไว้ก่อน ในส่วนการสอบสวนหากมีการขยายผลหรือมีหลักฐานเชื่อมโยงว่ามีความผิดอีก ก็จะดำเนินการเพิ่มเติมต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่ผู้ต้องหาซัดทอดกันไปมาว่าไม่ได้เป็นคนฆ่านายเอกยุทธ จะมีผลต่อรูปคดีหรือไม่ พล.ต.ต.อนุชัย กล่าวว่า ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การอย่างไรก็ได้ แต่พนักงานสอบสวนมีหน้าที่ที่ต้องคนหาความจริง แต่ขณะนี้ที่ดำเนินคดีคือร่วมกันฆ่า ใครทำมากหรือทำน้อยก็ถือว่าทำร่วมกัน ส่วนที่ว่าใครจะเป็นคนลงมือบีบคอนายเอกยุทธ หลักฐานทางนิติเวชก็จะระบุเองว่าเป็นฝีมือใคร ซึ่งขณะนี้ก็มีความชัดเจนในระดับหนึ่งแล้ว

รายงานข่าวแจ้งว่า ชุดสืบสวนได้พบแหวนของนายเอกยุทธ ตกอยู่ในคอลโซลรถด้านหน้า แต่จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ต่างก็ไม่ยอมรับว่าได้ถอดแหวนนายเอกยุทธไปหรือไม่ ซึ่งผู้ต้องหาทุกคนได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่จากแนวทางการสืบสวนพบว่า หลังจากที่นายสันติภาพขับรถไปยังจังหวัดพัทลุงและได้นำศพเอกยุทธไปฝังดินแล้ว จึงได้นำรถไปล้างที่คาร์แคร์แห่งหนึ่งเพื่อทำลายหลักฐานต่างๆที่อยู่บนรถ ระหว่างนั้นเด็กล้างรถก็ได้พบแหวนของนายเอกยุทธตกอยู่ที่บริเวณช่องซอกด้านล่างของประตูรถฝั่งซ้าย แต่เนื่องจากแหวนเป็นแหวนทองคำขาว มีลักษณะคล้ายสแตนเลท เด็กล้างรถจึงคิดว่าน่าจะเป็นแหวนปลอม จึงได้เก็บแหวนและนำไปใส่ที่คอลโซลด้านหน้ารถ

ทั้งนี้ ชุดสืบสวนตั้งข้อสังเกตว่า การที่แหวนของนายเอกยุทธหลุดออกจากนิ้วมือได้ ทั้งๆที่ถูกใส่กุญแจมืออยู่นั้น น่าจะเป็นเพราะนายเอกยุทธเป็นคนถอดเอง โดยคาดว่านายเอกยุทธตั้งใจที่จะถอดแหวนและโยนทิ้งออกไปนอกรถ เพื่อให้ไปตกอยู่ที่บริเวณหน้าบ้าน ระหว่างที่คนร้ายขับรถไปที่บ้านของนายเอกยุทธ เพื่อส่งสัญญาณให้คนที่บ้านผิดสังเกตหากพบแหวนตกหล่นอยู่ เพราะคนที่บ้านหรือญาติๆต่างทราบดีว่านายเอกยุทธรักแหวนวงนี้มากและจะใส่แหวนอยู่ตลอดเวลา แต่เนื่องจากนายเอกยุทธถูกจับใส่กุญแจมืออยู่ จึงทำให้โยนแหวนออกไปไม่ถนัด แหวนจึงไม่ตกออกไปนอกรถ แต่ไปตกอยู่ที่บริเวณช่องซอกด้านล่างของประตูรถดังกล่าวแทน

นอกจากนี้ชุดสืบสวนยังตั้งข้อสังเกตว่า ที่บ้านของผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ที่จังหวัดพัทลุงนั้น มีฐานะค่อนข้างยากจน หากผู้ต้องหาต้องการทรัพย์สินของนายเอกยุทธจริง เหตุใดจึงยอมโยนของมีค่าต่างๆทิ้ง ทั้งสร้อยทอง นาฬิกาโรเล็ก พระเครื่องเลี่ยมทอง ฯลฯ ซึ่งชุดสืบสวนคาดว่าคนร้ายน่าจะนำทรัพย์สินที่ยังหาไม่พบ ไปฝังดินไว้ที่บ้านพักแห่งหนึ่งในจ.พัทลุง ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตามยึดมาตรวจสอบต่อไป

มีรายงานว่าสำหรับข้อมูลฮาร์ดดิสภาพจากกล้องวงจรปิดภายในบ้านนายเอกยุทธนั้น นายสันติภาพน่าจะเป็นผู้ถอดออกไป แล้วนำไปทำลายด้วยวิธีการทุบแยกชิ้นส่วน ก่อนจะโยนออกไปนอกตัวรถทิ้งข้างทางที่บริเวณ จ.สุราษฎร์ธานี และตามระหว่างทางที่จะมุ่งมายังจุดที่ฝังศพของนายเอกยุทธ








กำลังโหลดความคิดเห็น