ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ยังคงรักษาระดับความฉาวโฉ่เอาไว้ได้อย่างคงเส้นคงวาทีเดียวสำหรับ ข่าว “หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก” หรือพระวิรพล ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ หลังจากเปิดหน้าม่านด้วยความหรูหราระดับเซเลบริตี้นั่งเครื่องบินเจ็ต เฮลิคอปเตอร์ พร้อมสะพายกระเป๋าหลุยส์วิต ตองไปรับกิจนิมนต์
ทั้งนี้ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเด็นของความฉาวโฉ่ที่สำคัญของหลวงปู่เณรคำพุ่งเป้าไปที่ 4 เรื่องใหญ่ๆ ด้วยกันคือ
หนึ่ง-ผู้หญิง
สอง-ที่ดินสร้างวัดป่าขันติธรรม
สาม-การสร้างพระแก้วมรกตจำลองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมศิลปากรและสำนักพระราชวัง
และสี่-กลุ่มลูกศิษย์ที่ออกโรงมาปกป้องอย่างสุดชีวิตจนสังคมกระหายใคร่รู้ว่าพวกเขาเป็นใครมาจากไหน
เริ่มจากประเด็นที่ร้อนแรงที่สุดคือ ผู้หญิง เพราะนอกจากจะได้ชื่อว่าเป็น พระดังร่ำรวยอู้ฟู่รายล่าสุดในยุคนี้แล้ว “พระวิรพล สุขผล” หรือ “หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก” ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรมยังกำลังถูกจัดขึ้นชั้นทำเนียบพระรวยรักปริศนา ? ของเมืองไทยอีกรูปหนึ่ง
ในความเป็นจริงแล้ว คงต้องบอกว่ากรณีนี้ตกเป็นข่าววิพากษ์วิจารณ์ในโลกอินเตอร์เน็ตไล่เลี่ยกับเครื่องบินเจ็ตและกระเป๋าหลุยส์วิตตอง เพียงแต่ข้อมูลยังไม่ได้รับการขยายความมากนักว่า ภาพผู้หญิงที่นอนข้างๆ พระ ซึ่งกลุ่มลูกศิษย์อ้างว่าถูกตัดต่อภาพนั้นเป็นลูกเต้าเหล่าใคร จากนั้นในเวลาต่อมาก็มีการเปิดเผยเรื่องราวของหญิงสาวอีกรายหนึ่ง และว่ากันว่าเป็นต้นเหตุให้ปรากฏภาพฉาวออกมา
ทั้งนี้ เมื่อไล่เลียงจากข่าวบนสื่อทุกแขนงในขณะนี้ จะเห็นได้ว่ามีสีกามาข้องเกี่ยวแล้วอย่างน้อย 2 นาง รายแรกถูกเปิดเผยออกมาจากโลกออนไลน์ ในรูปภาพนิ่งบุคคลหน้าตาคล้ายพระชื่อดังนอนอยู่กับสีกา ซึ่งเป็นภาพที่บังเอิญไปตรงเรื่องราวอันเป็นที่โจษจันของชาวบ้านหนองพะแนง คุ้ง 10 โนนม่วง ต.รุ่งระวี อ.น้ำเกลี้ยง จ.ศรีสะเกษ หมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากวัดป่าขันติธรรมมานานนับ 10 ปีแล้วอย่างไม่น่าเชื่อ
เสียงลือเสียงเล่าอ้างและเสียงโจษจันของชาวบ้านมีอยู่ว่า มีพระหนุ่มขับรถเบนซ์คันหรูกระจกติดฟิล์มดำมืดแวะเวียนมาหาสาวน้อย ชื่ออักษรย่อ “พ” ถึงในบ้านอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะในยามค่ำคืนดึกดื่นที่ผู้คนส่วนใหญ่นอน หลับใหลหลังเหน็ดเหนื่อยจากการงานในไร่นา
การคบหาไปมาหาสู่กันระหว่างพระหนุ่มกับสาวน้อยปริศนา นามอักษรย่อ “พ” ดังกล่าว เป็นที่รับรู้และอยู่ในสายตาของพ่อและครอบครัวมาโดยตลอด โดยพระหนุ่มได้เริ่มมาติดพันตั้งแต่สาวน้อยเรียนอยู่ ม. 4
ในขณะนั้นพระหนุ่มที่เพิ่งมาเปิดที่พักสงฆ์เจอฤทธิ์ของกามเทพที่แผลงศรทั้งๆ ที่อยู่ในผ้าเหลืองกับสาว “พ” และได้นำเอาเงินจำนวน 20,000 บาท พร้อมสร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท มาหมั้นเอาไว้ จากนั้นได้อยู่กินกันฉันสามีภรรยาแบบลับๆ พร้อมซื้อรถยนต์มิตซูบิชิ สีแดงกลางเก่ากลางใหม่ให้ขับไปโรงเรียน
และเมื่อความรักของคู่ผัวตัวเมียข้าวใหม่ปลามันถึงขนาดพระหนุ่มก็ทุ่มเงินสร้างบ้านให้ 1 หลัง มูลค่าประมาณ 2 ล้านบาท แต่ยังสร้างไม่เสร็จตามที่เป็นข่าวอื้อฉาวอยู่ในขณะนี้
โดยล่าสุดกลุ่มลูกศิษย์ต้องยกก๊วนลงพื้นที่บุกไปเคลียร์กับพ่อเจ้าตัวถึงบ้าน ก่อนจะออกมาแถกับสื่อมวลชนว่า เรือนหอดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับพระดัง แต่เป็นน้องชายพระดังที่หน้าตาคล้ายกันมาก เคยบวชเป็นพระในช่วงเวลาสั้นๆ และมาจีบลูกสาวบ้านนี้ ทว่า อยู่ไม่นานก็เลิกรากันไป
ส่วนเบื้องหลังภาพพระดังนอนอยู่กับสีกาว่อนเน็ตจนกลายเป็นข่าวฉาว นั้น เล่าลือกันว่า เกิดจากสาวน้อยเริ่มไม่มั่นใจหลังพยายามเรียกร้องให้สึกออกมาอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยาอย่างเปิดเผยหลายต่อหลายครั้งแต่ถูกปฏิเสธโดยอ้างว่าขออยู่เพื่อหาเงินไปก่อน อีกทั้งรับรู้ว่าพระหนุ่มมีกิ๊กอยู่หลายคน เที่ยวไปหยอดไข่ไว้หลายแห่ง จึงตัดสินใจนำรูปภาพโพสต์ในเฟซบุ๊กเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้วก่อนที่สื่อจะนำมาขยายความ ซึ่งเป็นภาพถ่ายด้วยโทรศัพท์มือถือ ในคืนอันเร่าร้อนหลังพระดังร่วมวงดวดเมรัยยี่ห้อ รีเจนซี่ ที่หิ้วขึ้นรถเบนซ์มาหาที่บ้าน 3 ขวด จนหมดเกลี้ยงและเมาได้ที่
อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจโพสต์ภาพฉาวดังกล่าว “พ” ได้ยื่นคำขาดเป็นครั้งสุดท้ายให้พระหนุ่มสึกออกมาอยู่ร่วมกันแต่พระหนุ่มไม่ยอม จึงยื่นข้อเสนอขอเงิน 30 ล้านบาท เพื่อนำเอามาสร้างบ้านให้เสร็จและใช้จ่ายในการดำรงชีวิตต่อไป แต่ถูกปฏิเสธอีก จึงเป็นที่มาของรูปภาพในเฟซบุ๊กฉาว โดยใช้ชื่อว่า “แด่สาธุชน” และมีการนำภาพไปถ่ายเอกสาร เขียนข้อความว่า “นี่หรือ พระที่พวกคุณเคารพนับถือ” ไปโปรยหน้าบ้านพระหนุ่มที่บ้านเกิด จังหวัดอุบลราชธานีด้วย
จากนั้น พระหนุ่มได้มาขอเคลียร์ โดยจ่ายเงินให้ 5 ล้านบาท แลกกับการให้ลบรูปภาพออกจากเฟซบุ๊ก และเลิกแล้วต่อกัน ซึ่งปัจจุบัน “พ” ได้แต่งงานไปอยู่กับสามีใหม่ที่จังหวัดทางภาคเหนือ เหลือเพียงผู้เป็นพ่อกับภรรยาใหม่ของพ่อเฝ้าดูแลบ้านอยู่ที่บ้านโนนม่วง
สำหรับสาวสวยรายที่ 2 เพิ่งถูกเปิดโปงออกมาตีแผ่หราบนหน้าสื่อเป็นรายล่าสุด โดย นายทองวรรณ จิตโชติ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโนนสัง อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ระบุว่า เมื่อประมาณปี 2551 ป้าของนายกอบต. ได้เข้าไปถวายสำรับพระรูปหนึ่งที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ ปรากฏว่าได้เจอสาวสวยคนหนึ่งแต่งชุดนอนเดินออกมาจากห้องของพระหนุ่มรูปหนึ่ง ซึ่งป้าของนายกอบต.รู้จักผู้หญิงคนดังกล่าวดีว่า ชื่ออักษรย่อ “ม” อายุ 25 ปี เป็นสาวสวยมีบ้านอยู่ไม่ไกลจากสำนักสงฆ์อื้อฉาว และเรื่องนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในกลุ่มชาวบ้านใกล้สำนักสงฆ์แห่งนี้อย่างกว้างขวาง
ที่สำคัญ สาวสวยคนดังกล่าวยังไม่ได้แต่งงาน แต่มีลูกชาย 1 คน ปัจจุบันเรียนอยู่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 (ป.2) โรงเรียนระดับประถมศึกษาแห่งหนึ่ง และสาวสวยคนนี้มีฐานะดีขึ้นอย่างรวดเร็วราวติดจรวด ทั้งที่ไม่ได้มีอาชีพการงานอะไร แต่กลับมีเงินสดซื้อที่ดิน 7 ไร่ ใกล้กับสำนักสงฆ์และมีบ้านขนาดใหญ่มูลค่าประมาณ 15 ล้านบาทในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง ที่กรุงเทพฯ
แต่ไม่ต้องแปลกใจอะไรถึงสาเหตุความรวย เพราะสืบไปสืบมาก็ได้ความว่าเนื่องจากพระหนุ่มได้พา “ม” ไปอยู่กรุงเทพฯ จึงซื้อบ้านจัดสรรหรูหราราคา 15 ล้านบาทดังกล่าวให้อยู่กับลูก พร้อมรถยนต์เก๋งฮอนด้า แอคคอร์ด 1 คัน ไว้ใช้งาน และส่งเสียเดือนละ 50,000 บาท
เรื่องราวโจษจันเหล่านี้ ได้กลายเป็นตำนานรักปริศนาที่ยังไม่มีข้อสรุปชัดแจ้งว่าเกี่ยวข้องกับหลวงปู่คนดังหรือไม่ ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็อาจไม่เป็นธรรมนัก ยกเว้นเสียแต่ว่าถูกจับได้คาหนังคาเขาและมีภาพถ่ายเป็นประจักษ์พยานมากกว่านี้
ขณะที่ประเด็นเรื่องที่ดินก็วุ่นวายและฉาวโฉ่ไม่แพ้กัน เนื่องจากยายลอน มนัส อายุ 68 ปี ผู้อ้างตัวว่าเป็นเจ้าของที่ดินวัดป่าขันติธรรมออกมาเรียกร้องให้ก่อตั้งวัดป่าขันติธรรมอย่างถูกต้องตามกฎหมาย อีกทั้งจะไม่ให้หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก เข้ามาบริหารวัดอีก เพราะบริจาคที่ดินให้สร้างวัด แต่หลวงปู่เณรคำไม่ได้ดำเนินการก่อตั้งวัดแต่อย่างใด จนกระทั่งใบอนุญาตจากกรมการศาสนาหมดอายุลง
ส่วนที่กลุ่มลูกศิษย์หลวงปู่เณรคำ โดยนายภาณุ สุขวัลลิ โฆษกฝ่ายฆราวาสของหลวงปู่เณรคำ ชี้แจงว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของนางทองมี วุฒิยาสาร ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วเป็นผู้บริจาคให้หลวงปู่เณรคำ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ตามเอกสารการสร้างวัดป่าขันติธรรมและคลิปวิดีโอที่ปรากฏบนยูทิวบ์เรื่องความเป็นมาของวัดป่าขันติธรรมนั้น ยายลอนประกาศและยืนยันชัดเจนว่า ความจริงก็คือ นางทองมี ถวายที่ดิน จำนวน 9 ไร่ เพื่อให้ตั้งวัด และตอนนั้นนางทองมีป่วยจึงได้เรียกตนเองเข้าไปคุยด้วย บอกว่า จะคุยเรื่องดี ๆ ให้ฟัง โดยบอกว่า ให้ทำการเรื่องที่ดินตั้งวัดแทนนางทองมี ที่มอบที่ดิน จำนวน 9 ไร่ ให้เป็นวัดให้ได้
“นางทองมี บอกว่า ไม่สบาย คงจะอยู่ไม่ถึงตอนมอบถวายหรอกนะ ให้แม่ใหญ่ ทำการแทนด้วย จากนั้น นางทองมีจึงได้นำเอาชื่อของชั้นไปใส่กับชื่อของนางทองมี ในหลักฐานที่ดิน พอดีนางทองมีตาย จึงเหลือชั้นเพียงคนเดียว ชั้นจึงจะทำวัดป่าขันติธรรมให้เป็นวัดให้ได้ตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคที่ดิน”นางลอนอธิบาย
จากนั้นอีกไม่กี่วันยายลอนก็งัดเอกสารเป็นสำเนาโฉนดที่ดิน 5 แปลง ที่เป็นชื่อของตัวเอง มาแสดงให้ผู้สื่อข่าวได้ตรวจพิสูจน์ว่า ตนเองเป็นเจ้าของที่ดินตั้งวัดป่าขันติธรรมอย่างแท้จริง พร้อมเดินทางไปที่สำนักงานที่ดินจังหวัดศรีสะเกษ สาขาอำเภอกันทรารมย์ เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่ออกโฉนดที่ดิน ซึ่งเป็นที่ตั้งวัดป่าขันติธรรมให้ใหม่ แต่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถออกให้ได้ เพราะตามกฎหมายต้องรอให้ถึง 30 วัน ตั้งแต่วันที่ได้ยื่นคำร้องขอ และจะนำเอาไปประกอบหลักฐานในการขออนุญาตสร้างวัดป่าขันติธรรมต่อไป
ซ้ำร้ายสำนักสงฆ์สาขาของหลวงปู่เณรคำหลายต่อหลายแห่งยังเป็นการรสร้างโดยบุกรุกป่าสงวน เช่น สำนักสงฆ์ซำติกา อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ส่วนสำนักสงฆ์ตาเสก ตำบลบังดอง จังหวัดศรีสะเกษ หรือสำนักสงฆ์สาขาที่ 89 บนยอดเขาอำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลกเป็นที่ ส.ปก.4-01 เป็นต้น
ด้านกรณีการสร้างพระแก้วมรกตจำลองนั้น ชัดเจนว่าวัดป่าขันติธรรมแบะหลวงปู่เณรคำไม่ได้ขออนุญาตอย่างถูกต้อง โดยนายสหวัฒน์ แน่นหนา อธิบดีกรมศิลปากร ระบุว่า พระพุทธมณีมหารัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต เป็นพระพุทธรูปสำคัญ 1 ใน 61 รายการ ที่มีระเบียบว่าการจำลองจะต้องขออนุญาตจากกรมศิลปากร และจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักพระราชวัง แต่จากการตรวจสอบไปยังทะเบียนของสำนักช่างสิบหมู่ ทราบว่าวัดป่าขันติธรรมไม่ได้ดำเนินการขออนุญาตเข้ามา ขณะเดียวกันสำนักพระราชวังยังหารือมายังกรมศิลปากรว่าให้ช่วยดูแลการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ เพราะปัจจุบันมีผู้นำไปจัดสร้างโดยไม่ได้ผ่านการอนุญาตมากขึ้น
เช่นเดียวกับ น.ส.มาลีภรณ์ คุ้มเกษม หัวหน้ากลุ่มนิติการ กรมศิลปากร ที่ให้ข้อมูลเสริมว่า การจำลองพระพุทธรูปสำคัญมีระเบียบกระทรวงศึกษา ธิการ พ.ศ.2520 ตามมติครม.ในขณะนั้น กำหนดไว้ว่าการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ 61 รายการ เช่น พระแก้วมรกต จะต้องขออนุญาตจากกรมศิลปากร เพื่อกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาต ส่วนระเบียบดังกล่าวนั้นไม่มีข้อกำหนดโทษ เนื่องจากไม่ได้เป็นข้อกำหนดในพ.ร.บ.
กระนั้นก็ดี นอกจากทั้งสามเรื่องข้างต้นแล้วคำถามที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ ใครเป็นโยมอุปัฏฐากหรือพ่อยกแม่ยก หรือลูกศิษย์ใกล้ชิดของหลวงปู่เณรคำกันบ้าง ซึ่งเชื่อว่าในจำนวนนี้บริจาคทั้งเงินและข้าวของเครื่องใช้อันหรูหราฟุ่มเฟือยให้หลวงปู่เณรคำทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ
แน่นอน กลุ่มลูกศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่เณรคำมากที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้น กลุ่มลูกศิษย์ที่ออกมาแถลงข่าวปกป้องหลวงปู่สุดกำลัง กลุ่มนี้ประกอบไปด้วย เสี่ยก้าวหน้า-นายภัทรเดชและนางกุลระวี โสพรรณพานิชกุล สองผัวเมียแห่ง บริษัท ก้าวหน้าอิเลคทริค แอนด์ บิสสิเนส จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในย่านพุทธมณฑลสาย 5 อำเภออ้อมน้อย จังหวัดสมุทรสาคร และมีกิจการในเหลือหลายบริษัทด้วยกัน โดยประกอบกิจการรับซ่อมแซมเครื่องจักร หรือผลิตภัณฑ์ไฟฟ้า เช่น ซ่อมมอเตอร์ไฟฟ้า
นายเทพพนม นามลี ประธาน นปช.แดงสุรินทร์ นายดำรงชัย ปานจุ้ย นายกสมาคมวิชาชีพผู้สื่อข่าวแห่งประเทศไทย เจ้าของร้านทองดำรงชัย 9 ในตลาดศูนย์การค้าบางใหญ่ซิตี้
นายสุขุม วงประสิทธิ ประธานที่ปรึกษาเครือข่ายบ้านวิมุตติธรรม อดีตผู้สมัครอิสระผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า นายสุขุมเป็นอดีตแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงในฐานะกลุ่มคนรักประชาธิปไตยสนามหลวง เคยเรียกร้องให้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะยุบสภา คืนอำนาจสู่ประชาชน เมื่อปี พ.ศ. 2553 แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ได้แยกตัวออกมาเหตุเพราะถือว่าตัวเองเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงที่รักสถาบันฯ
นอกจากนี้ เมื่อตรวจสอบข้อมูลในเว็บไซต์ http://www.luangpunenkham.com/ ก็ได้ภาพและชื่อของบรรดาลูกศิษย์ที่นิมนต์หลวงปู่เณรคำไปร่วมงานอีกจำนวนไม่น้อย
ยกตัวอย่างเช่น ดร.ธำมรงค์ ประกอบบุญ อดีตอธิบดีกรมประมง และอดีตรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางธัชสุมนต์ สุทธิสาร พ.ต.อ.ดร.เดชชาติ-นางดาราธร วัฒนพนม นางดรุณี เกษศิลป์ พลตำรวจตรีสุรพล ทองประเสริฐ นางสุนันทา ลีเลิศพันธ์เจ้าของยาสีฟันดอกบัวคู่ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนสถานีวิทยุเสียงธรรมดอกบัวคู่
ในจำนวนนี้จากการเช็กข้อมูลวงในทำให้ทราบว่า หลายคนยังคงเชื่อมั่นในตัวหลวงปู่เณรคำอย่างเหนียวแน่น ขณะที่อีกหลายคนได้ถอนตัวออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขณะเดียวกันก็มีรายงานข่าวด้วยว่า มีนายตำรวจระดับสูงในตำแหน่งรองผู้บัญชาการเป็นลูกศิษย์เอก ทำให้คณะของของหลวงปู่เณรคำมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยคุ้มกันถึง 5 คน
นอกจากนั้นยังมีเสียงร่ำลืออีกด้วยว่า มีพระรูปหนึ่งเอ่ยปากขอยืมเงินสีกาเจ้าของธุรกิจใหญ่ระดับประเทศจำนวนถึง 20 ล้านบาท กระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังไม่นำเงินที่ยืมไปมาคืนแม้กระทั่งถูกทวงถามมาแล้วหลายครั้งหลายครา ทำให้ความสัมพันธ์ที่เคยดำเนินมาด้วยดีในอดีตสะบั้นลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขณะที่หลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย ได้ต่อโทรศัพท์และเปิดเสียงสนทนากับหญิงสาวนักธุรกิจรายหนึ่งที่บอกว่าเป็นคนซื้อกระเป๋าหลุยส์และพาพระชื่อดังไปเที่ยวฝรั่งเศส โดยนักธุรกิจรับว่าเคยบริจาคทรัพย์จำนวนมากให้กับหลวงปู่เณรคำ มีการนิมนต์ไปที่บ้านและไปเที่ยวต่างประเทศ และมีการจ่ายเช็คเงินสดค่าเครื่องบินลำเล็กมูลค่า 17 ล้านบาท นอกจากนี้ยังบอกอีกว่าการซื้อเครื่องบินลำใหญ่มีการเจรจาดูโบชัวร์ โดยบอกว่าหลวงปู่เณรคำเอามาให้ดูมีมูลค่ากว่า 80 ล้านบาท
โดยนักธุรกิจหญิงรายนี้บอกว่า หลวงปู่เณรคำอ้างว่าจะใช้เป็นพาหนะแต่ถ้าไม่ได้เดินทางไปไหนจะได้ให้คนอื่นเช่า นอกจากนี้ครอบครัวยังเคยเดินทางไปเที่ยวฝรั่งเศสร่วมคณะกับหลวงปู่เณรคำ โดยลูกสาวเป็นคนซื้อกระเป๋าหลุยส์วิตตองถวายให้เอง เนื่องจากหลวงปู่เณรคำอยากได้จริงๆ และนักธุรกิจรายนี้บอกว่าเคยอยากจะยกมรดกให้ผ่านพินัยกรรมอีกด้วย
แต่ที่หนักหนาสาหัสไม่แพ้กันก็คือกรณีที่มีการนำคลิปวิดีโอเทศนาของหลวงปู่เณรคำมาตรวจสอบและพบว่า มีหลายครั้งที่หลวงปู่เณรคำมีพฤติกรรมที่เข้าข่ายอวดอุตริมนุสธรรม ทั้งการอ้างว่าในอดีตชาติเคยเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า หรือการอ้างว่าเป็นเพื่อนกับพระอินทร์ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีคลิปที่หลวงปู่เณรคำโฆษณาขายเครื่องฟอกอากาศออกมาอีกต่างหาก
ขณะที่ตัวหลวงปู่เณรคำเองก็ยังคงเงียบและปล่อยให้ลูกศิษย์ออกมาแถลงข่าวตอบโต้รายวัน แถมกำหนดการเดินทางกลับจากฝรั่งเศสก็เลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด พร้อมแต่งตั้งให้พระครูภาวนาวรธรรมวิเทศ หรือหลวงพ่อปานขาว เจ้าอาวาสวัดโพธิญาณราม ประเทศฝรั่งเศสเป็นรักษาการประธานที่พักสงฆ์ป่าขันติธรรม
แต่ดูเหมือนว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่หลวงปู่เณรคำจะใช้วิธีนี้ในการแก้ปัญหา เนื่องเพราะถูกบีบหนักเข้ามาทุกที เนื่องเพราะทางคณะสงฆ์จังหวัดศรีสะเกษได้มีคำสั่งให้หลวงปู่เณรคำปฏิบัติตามคำสั่ง 3 ข้อคือ
1.ให้พระวิรพล แจ้งให้จังหวัดทราบวันที่จะเดินทางกลับมาให้การสอบสวนชัดเจนแน่นอน ให้แจ้งสังกัดของตนเองว่า สังกัดวัดใด ให้เจ้าคณะจังหวัดทราบแน่ชัด ให้พระวิรพล กลับมาให้การสอบสวนข้อเท็จจริงด้วยตนเองให้เร็วที่สุด โดยไม่เกินวันที่ 30 มิ.ย.56
2.ให้พระวิรพล สั่งให้ศิษย์ฆราวาสงดการโต้ข่าวเกี่ยวกับเรื่องพระธรรมวินัยสงฆ์ ซึ่งมิใช่วิสัยของฆราวาส จะเป็นเหตุทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดคลาดเคลื่อนในหลักธรรมวินัย
3.ให้พระวิรพล สั่งให้ศิษย์นำข้อมูลหลักฐานที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงของเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ไปมอบให้เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ฝ่ายธรรมยุต เพื่อจะประมวลข้อมูลในการสอบหาข้อเท็จจริง ให้เกิดความกระจ่างต่อพุทธศาสนิกชนให้ทราบต่อไป
งานนี้ จับยามสามตาดูแล้ว ถ้าหลวงปู่เณรคำคิดสะระตะแล้วกลับมาได้ไม่คุ้มเสีย ดีไม่ดี อาจต้องระเห่เร่ร่อนอยู่ในต่างประเทศยาวก็เป็นได้