ผ่านไปกว่า 3 อาทิตย์ที่ยังคงคั่งค้างใจ กับปมคนร้ายอุ้มฆ่า “เอกยุทธ อัญชันบุตร” เจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ และเจ้าพ่อวงการหุ้นและนักลงทุนชื่อดัง ซึ่งเปิดหน้าชกกับ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” เผยข้อมูลทุจริตในโครงการต่างๆ ของ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” รวมทั้งแฉปมความลับ “ว.5 โฟร์ซีซั่นส์-น้ำแตกที่มัลดีฟส์”
แม้วันนี้การสืบสวนคลี่คลายคดียุค “บิ๊กอู๋-แจ๊ด” จะจงใจหรือไม่ ที่เร่งสรุปให้คดีการอุ้มฆ่าครั้งนี้เป็นเรื่องของการชิงทรัพย์ เท่านั้น แต่ใครจะเชื่อ
ย้อนรอย เจ้าพ่อแชร์ชาร์เตอร์ผู้ล่วงลับ เคยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 18 พ.ค.56 ระบุว่า...“ตอนนี้ที่อังกฤษกำลังมีการตรวจสอบบรรดาผู้ที่ใช้บริษัท offshore เพื่อการหลีกเลี่ยงภาษีและฟอกเงิน..มีรายชื่ออยู่ประมาณพันราย..และที่สำคัญมีคนไทยอยู่หลายสิบคนที่เข้าข่าย..แต่ละคนชื่อคุ้นๆ ทั้งนั้น ไม่ใช่พวกพ่อรวย..หรือธุรกิจใหญ่..แต่เป็นพวกการเมืองและข้าราชการทั้งนั้น..ผมได้เข้าร่วมในการให้ข้อมูลกับหน่วยสืบสวนด้วย..สนุกแน่งานนี้..เล่นที่ไทยไม่ได้..กรูตามยึดที่เมืองนอกก็ได้ว่ะ..ประเภทที่รวยแบบไม่มีที่มาน่ะ..เสร็จฝรั่งแน่..จะขายทรัพย์สินทิ้ง ก็ไม่ทันแล้วครับ..รายชื่อได้ถูกส่งให้สื่อดังในลอนดอนค้นข้อมูลอยู่
คดีนี้ตำรวจ “ยุคแจ๊ด” สรุปสำนวนและพยายามเร่งปิดคดี ใน 1 เดือน ก่อนส่งฟ้องว่า เป็นเรื่่งฆ่าชิงทรัพย์ เหมือนกับตีบทไว้เพียงล่วงหน้า ว่าตัวละครคดีนี้มีเพียง 2 คน คือนายสันติภาพ หรือ บอล เพ็งด้วง อายุ 25 ปี คนขับรถ (ไอ้บอล) และนายสุทธิพงศ์ พิมพิสาร หรือ ไอ้เบิ้ม มือฆ่ารัดคอโนเนม (ไอ้เบิ้ม) ฆ่ากันเพียงลำพัง หวังชิงเงิน 5 ล้านบาท โดยไม่เกี่ยวข้องกับทางการเมือง ซึ่งขัดกับความเคลือบแคลงสงสัยของประชาชน รวมทั้งญาติและทีมทนายความของนายเอกยุทธ แต่ใครจะเชื่อ.....
สอดรับกับแม่ทัพใหญ่สีกานครบาล พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เพียง 2 วัน หลังจับกุมผู้ต้องหาที่สารภาพเหมือนกับถูกเขียนบทละครว่า “ฆ่านายเอกยุทธเพื่อชิงทรัพย์เท่านั้น” แต่เบื้องหลังคำให้การก็พบข้อพิรุธและข้อสงสัยมากมาย เช่น นายสันติภาพ คนขับรถได้ให้การกลับไปกลับมาหลายครั้ง ตั้งแต่ครั้งแรกที่ถูกควบคุมตัวได้ ในชั้นแรกเจ้าตัวระบุว่านายเอกยุทธได้ให้ตนเองไปส่งที่ จ.เพชรบุรี เพื่อเปลี่ยนรถไปพม่า ก่อนที่จะกลับคำให้การในวันเดียวกันหลังถูกตำรวจสอบเค้นอย่างหนัก นอกจากนี้ในคำให้การเกี่ยวกับพฤติการณ์การฆ่า รวมถึงผู้ที่ลงมือฆ่าก็ยังมีการให้การที่สับสน และยังไม่น่าจะเชื่อถือได้
อีกทั้งปมประเด็นการสังหารที่ผู้ต้องหาให้การกับตำรวจก็ดูจะไม่น่าเชื่อถือ เพราะอย่างที่ทราบในเมื่อประสงค์ต่อทรัพย์ แต่ทีมอุ้มกลับไม่แตะต้องทรัพย์สินอื่นๆ ภายในบ้านพักของนายเอกยุทธ มิหนำซ้ำยังให้การว่าได้เอาทรัพย์สินของนายเอกยุทธที่ติดตัวมา เช่น นาฬิกาโรเล็กซ์ สร้อยคอทองคำพร้อมพระสมเด็จเกศไชโย องค์ละ 20 ล้านบาท ไปโยนทิ้งน้ำ ยิ่งทำให้ฟังดูแปร่งๆ
เช่นเดียวกับ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ให้ทัศนะผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เรื่อง “ชิงทรัพย์หรือฆาตกรรมอำพราง?” ไว้อย่างน่าสนใจ
โดยอ้างอิงว่าได้รับรู้มาจาก อดีตนายตำรวจใหญ่ ซึ่งเกษียณไปแล้วและเป็น “ปรมาจารย์สืบสวนสอบสวน”
แล้วฟันธงว่า เรื่องเอกยุทธ ไม่ใช่เรื่อง “การชิงทรัพย์” หรือ “เรียกค่าไถ่” แต่เป็นการ “ฆาตกรรมโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยมีเหตุผลสนับสนุนเพราะว่า “คนร้ายไม่ได้ประสงค์ต่อทรัพย์ แม้กระทั่งเข้าไปในบ้าน ก็ไม่ได้รื้อค้นทรัพย์สิน ส่วนทรัพย์ที่ได้มา ก็เอาไปโยนทิ้งน้ำ แต่ดันไปเอาเซิร์ฟเวอร์ซึ่งจริงๆ อาจไม่ได้ต้องการข้อมูลในกล้องอย่างเดียวเท่านั้น แต่มีข้อมูลสำคัญอื่นๆ อยู่ด้วย ถ้าชิงทรัพย์จริงต้องเอาทรัพย์สินที่บ้านไปด้วย และที่ว่าไม่ใช่เป็นการเรียกค่าไถ่ เพราะบังคับให้เขียนเช็คได้เงินแล้ว ก็ยังไม่ยอมปล่อยตัว แสดงว่าประสงค์ต่อชีวิตมากกว่าทรัพย์”
คำให้การของทีมอุ้มจึงสวนทางกับปมสังหารที่ “บิ๊กตำรวจ” ไล่ตั้งแต่ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร., พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.ออกมาฟันธงในวันแรกๆ ที่จับตัวทีมอุ้มได้ว่าคดีนี้คนร้ายเพียงประสงค์ต่อทรัพย์เท่านั้น ไม่มีประเด็นอื่น และไม่มีการเมืองอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน สอดรับกับ “บิ๊กเหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ที่ออกมาฟันธงราวกับตาเห็นว่า นายเอกยุทธ ถูกคนร้ายฆ่าชิงทรัพย์ ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่จนถึงขณะนี้คดีจึงไม่เดินหน้าไปไกลจากวันแรกๆ
จนทำให้ นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความเอกยุทธ ได้ตั้งข้อสงสัย 13 ประเด็น
ล่าสุด พล.ต.ท.คำรณวิทย์ พร้อมชุดคลี่คลายคดีอุ้มฆ่า “เอกยุทธ” สรุปว่าการเสียชีวิตของนายเอกยุทธ ว่า ประเด็นมูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุของผู้ต้องหา เมื่อวิเคราะห์จากห่วงโซ่พยานหลักฐานต่างๆ ที่พนักงานสอบสวนได้รวบรวมมา ทั้งพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ และพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ปรากฏชัดขึ้นมาตามลำดับ โดยลักษณะของนายสันติภาพ เพ็งด้วง ผู้กระทำผิดนั้น พบว่าในช่วงวัยรุ่นเมื่ออายุ 18 ปี เป็นเด็กแว้น มีพฤติกรรมก้าวร้าว เคยก่อเหตุอาชญากรรมทั้งวิ่งราวทรัพย์ และกรรโชกทรัพย์ เข้ามาสู่วงจรโดยการเป็นคนขับรถในหลายบริษัท และจากข้อมูลของแหล่งข่าวระบุว่า เคยก่อเหตุที่มุ่งประสงค์ต่อทรัพย์มาหลายครั้ง ซึ่งตรงนี้มีการสอบปากคำผู้บริหารในหลายบริษัท ขณะเดียวกันพบว่านายสันติภาพมีลักษณะนิสัยที่ก้าวร้าว ติดการพนัน และใช้เงินเป็นจำนวนมากในการเล่นการพนัน และผู้ต้องหารายนี้มีการเตรียมการที่จะก่อเหตุ โดยพบวัตถุพยานหลายอย่างที่บอกถึงการเตรียมการ มีพยานยืนยันตรงนี้ สอดรับกับห้วงเวลาที่ลงมือ ตลอดจนภาพที่ปรากฏในซีซีทีวีทั้งหมดที่เป็นพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในคดีนี้
“ยืนยันว่าแรงจูงใจในการก่อเหตุ คือความต้องการที่จะใช้เงิน ซึ่งผู้ต้องหาเด็กรุ่นใหม่ที่กล้าลงมือ กล้ากระทำ โดยเฉพาะต่อเหยื่อ ซึ่งเขาไม่ได้รู้ถึงเรื่องราวในอดีตของเหยื่อ หรือความยุ่งเกี่ยวทางการเมืองของเหยื่อ ถึงได้กล้าลงมือ เพียงเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์เท่านั้น” ผบก.ป.กล่าวยืนยัน
ด้าน พล.ต.ต.พรชัย ผู้บังคับการสถาบันนิติเวชวิทยา ชี้แจงการตั้งข้อสังเกตเรื่องลูกอัณฑะของนายเอกยุทธ ที่มีอาการบวมว่า ลูกอัณฑะที่บวมน่าจะเกิดจากการเน่า ถ้าหากเป็นการบวมช้ำจากการถูกทำร้ายจะพบการคั่งจากภายใน ซึ่งศพนายเอกยุทธผ่านมา 5 วันแล้ว จึงเกิดสภาพเช่นนี้ ส่วนบาดแผลบริเวณใบหน้าที่มีการสงสัย แพทย์ไม่พบบาดแผลที่อื่น พบเพียงบาดแผลถลอกบริเวณปลายจมูกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งก็ไม่น่าจะเกิดจากการถูกทำร้าย
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของประเด็นอื่นๆ ที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะเป็นรายละเอียดในสำนวนการสอบสวน แต่ยืนยันว่าตำรวจสามารถตอบข้อซักถามได้ทั้งหมด โดยหลังจากนี้จะมีการเชิญ นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความของนายเอกยุทธ มาฟังคำตอบด้วยตนเอง ขณะเดียวกันหากมีประเด็นที่ติดใจสงสัย หรือมีข้อสังเกตเพิ่มเติม ตำรวจก็ยินดีรับฟังและจะทำการสืบสวนสอบสวนทุกประเด็น ส่วนความคืบหน้าของคดีขณะนี้มีการสอบปากคำพยานไปแล้ว 51 ปาก ขณะที่การติดตามทรัพย์สินของนายเอกยุทธ ตำรวจก็เร่งดำเนินการอยู่ โดยก่อนหน้านี้ได้ส่งนักประดาน้ำไปงมหาในจุดที่ผู้ต้องหาให้การว่านำทรัพย์สินไปโยนทิ้งน้ำแต่ก็ไม่พบ ส่วนพระสมเด็จเกศไชโย ตนก็ได้นำตำหนิรูปพรรณพระไปตรวจสอบในตลาดพระอีกทางหนึ่งด้วย
ด้าน พล.ต.ต.อนุชัย กล่าวว่า คดีนี้จะสามารถสรุปสำนวนคดีได้ภายใน 1 เดือน แต่ตำรวจให้ความมั่นใจว่า แม้จะสรุปสำนวนคดีไปแล้ว ตำรวจจะสามารถสืบสวนต่อไปได้เนื่องจากคดีมีอายุความถึง 20 ปี และหากมีพยานหลักฐานอื่นๆ ก็สามารถนำมาประกอบสำนวนการสอบสวนได้
หลังทีมทนายนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ได้เข้าพบกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.ที่ได้ตั้งประเด็นข้อพิรุธข้อสงสัย 13 ประเด็น ซึ่งครอบครัวของนายเอกยุทธยังมีข้อข้องใจเหตุแห่งการเสียชีวิต
นายสุวัตร กล่าวว่า การที่ตนเข้ามาปรึกษาปัญหาข้อสงสัยต่างๆ กับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ และคณะพนักงานสืบสวนและสอบสวนในคดีนี้ เราไม่มีความคิดเห็นอะไรที่ขัดแย้งกัน ประเด็นข้อสงสัย 13 ข้อ ที่เสนอให้สืบสวนเพิ่มเติมนั้นก็เพื่อช่วยเหลือพนักงานสอบสวน ให้ช่วยกันทำงานให้ดีขึ้น ตนและครอบครัวของนายเอกยุทธรู้สึกซาบซึ้งและต้องขอบคุณที่ทุกฝ่ายช่วยกันทำงานด้วยความรวดเร็ว ประเด็นที่สอบถามไปนั้น พนักงานสอบสวนได้ตอบครบ 13 ข้อแล้ว แต่บางข้อได้จากคำรับสารภาพของผู้ต้องหา ซึ่งตนและพนักงานสอบสวนก็ยังไม่เชื่อ เช่น มูลเหตุจูงใจ ผู้ต้องหาให้การว่าประสงค์ต่อทรัพย์ แต่กลับนำทรัพย์สินมีค่าของนายเอกยุทธไปโยนทิ้ง ทั้งนาฬิกาโลเร็กซ์ เรือนละเป็นล้าน สร้อยคอทองคำ พระสมเด็จเลี่ยมทองเกตุไชโย องค์ละ10-20 ล้านบาท ทำให้ปักใจเชื่อไม่ได้ ซึ่งชุดสืบสวนก็พยายามที่จะค้นหาแล้ว จึงเป็นประเด็นที่จะต้องทำให้กระจ่างต่อไป
นายสุวัตร กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นเรื่องฮาร์ดดิสก์กล้องวงจรปิดที่บ้านของนายเอกยุทธ ผู้ต้องหาก็ให้การว่าเอาไปทุบจนแหละละเอียดและนำซากไปโปรยทิ้ง ประเด็นนี้ก็ทำใจให้เชื่อไม่ได้ ส่วนเสื้อผ้าก็ให้การว่าฉีกเป็นชิ้นๆ และนำไปโปรยทิ้ง และกระเป๋าหลุยส์วิตตองของนายเอกยุทธ ซึ่งผู้ต้องหาก็บอกว่านำไปหั่นเป็นชิ้นๆ แล้วเอาไปทำลาย สิ่งเหล่านี้ทีมทนายความและพนักงานสอบสวนยังไม่เชื่อ ต้องทำการสืบสวนต่อไป ไม่ต้องเร่งทำงานไปเรื่อยๆ ให้ได้ข้อเท็จจริง แต่ถ้าได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น จะไม่มีการสร้างพยานหลักฐานเท็จและจะไม่มีการบีบบังคับใคร คำชี้แจงทั้ง 13 ประเด็นในวันนี้ ทีมทนายความรู้สึกพอใจ และเข้าใจในสิ่งที่ให้คำตอบมา แต่ก็ยังมีบางประเด็นที่ทั้งทีมทนายความและพนักงานสอบสวน ยังไม่เห็นด้วยกับคำรับสารภาพของนายบอล เชื่อว่ายังโกหกอีกหลายประเด็น พนักงานสอบสวนจึงจะทำงานต่อไป
“สิ่งเดียวที่หวัง ก็คือคณะพนักงานสอบสวนชุดนี้และกองบังคับการปราบปราม ซึ่งถ้า บช.น.กับกองปราบทำงานร่วมกันแล้วได้แค่ไหนก็คือแค่นั้น แต่ต้องตอบสังคมให้ได้ ทุกอย่างต้องชัดเจน ไม่เช่นนั้นศาลจะยกฟ้องได้ มีหลายคดีที่มีเพียงแค่คำรับสารภาพอย่างเดียว ซึ่งสุดท้ายศาลก็ยกฟ้อง” นายสุวัตร กล่าว
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวอีกว่า ทั้งหมดทุกประเด็นตำรวจพยายามที่จะสืบสวนให้ได้ครบทุกประเด็น แต่ก็ยังเหลือบางประเด็นที่ไม่เชื่อ ซึ่งต้องพิสูจน์กันต่อไป ยืนยันว่าคดีมีความคืบหน้าไปเยอะ ยังไม่มีการปิดสำนวนแต่อย่างใด ถ้ามีหลักฐานอื่นก็สามารถนำมาเพิ่มเติมได้
เมื่อถามว่าทั้ง 13 ข้อมีประเด็นไหนที่เคลียร์บ้าง นายสุวัตร ตอบว่า เราได้รับคำตอบที่พอใจเกือบทุกประเด็น แต่มีประเด็นที่ยังสงสัย คือ มูลเหตุจูงใจหากประสงค์ต่อทรัพย์เหตุใดเอาทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงไปโยนทิ้งน้ำ และถ้าประสงค์ต่อทรัพย์บังคับนายเอกยุทธ เขียนเช็ค 100 ล้านบาท ก็ผ่านไม่จำเป็นต้อง 5 ล้านบาทต้องได้มากกว่านี้ กรณีฮาร์ดดิสก์ไม่เชื่อจะนำไปทุบแล้วโปรยทิ้งเหมือนเศษกระดูกเพราะส่วนประกอบของฮาร์ดดิสก์เป็นเครื่องอิเล็กทรอนิกส์มีหลายอย่างที่ทุบทำลายมันไม่สามารถบดให้ละเอียดได้ รวมทั้งกระเป๋าเอกสาร และเสื้อผ้า
ทั้งนี้แม้นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความจะพอใจกับการตอบข้อสงสัยของตำรวจในบางประเด็น แต่ได้ตั้งข้อสังเกตุว่าหากพนักงานสอบสวนทำสำนวนคดี เก็บรายละเอียดและรวบรวมพยานหลักฐานได้เพียงเท่านี้ ก็คงไม่แคล้วที่จะผู้ต้องหาจะหลุดคดีในชั้นศาล เพราะมีตัวอย่างหลายคดีที่ศาลอาญา ยกฟ้องเนื่องจาก สำนวนคดีอ่อน มีข้อสงสัย หรือ พยานหลักฐานไม่เพียงพอ
คดีฆาตกรรมเจ้าพ่อแชร์ชาร์เตอร์ จึงกลายเป็นคดีซ่อนเงื่อน ที่ ตร.ยุค “อดุลย์-คำรณวิทย์” หมดปัญญาคลี่คลายได้โดยแท้ เพราะสำนวนคดีทางพยานหลักฐานวัตถุและบุคคลหลวมเต็มพิกัด ขืนส่งฟ้องไปชั้นศาล ก็ยกฟ้อง ...ผู้มีอำนาจสืบสวนสอบสวนเบี่ยงเบนคดี ชิงเร่งปิดคดี ก็ว่ากันไป ถือเป็นจุดตกต่ำของวงการสีกากีอีกยุคหนึ่ง