วันนี้เรายังสนทนาอยู่กับคุณหมอ ปุญชิดา เช่นเดิม คุณหมอครับ ผมขอเท้าความย้อนหลังไปนะครับว่า นับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎรได้ทำการรัฐประหารต่อรัฐบาลสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475
หมอ: ดีค่ะ เชิญเลยค่ะ หมอกำลังสนใจเรื่องนี้อยู่เช่นกันค่ะ
คณะราษฎรได้สถาปนาลัทธิการปกครองแบบรัฐธรรมนูญ “ความมุ่งมาดปรารถนาอันใหญ่ยิ่งของคณะราษฎรคือธรรมนูญการปกครอง” นี่คือจุดเริ่มต้นของความเห็นผิดและเกิดความขัดแย้งกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ถึงขนาดมีพระราชบัลลังก์เป็นเดิมพันมาแล้ว
ลัทธิรัฐธรรมนูญเป็นเผด็จการนี้ สมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงเรียกว่า “เป็นเผด็จการอ้อมๆ ไม่ใช่ Democracy จริงๆ เลย”
ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ จะว่าไปแล้วนะดุจดังสุนัขจิ้งจอกภายใต้คำโกหกมายาวนานที่สุดว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยยังน้อยคนนักที่จะรู้เท่าทันลัทธิอุบาทว์นี้
สาวกลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญนี้ โฆษณาชวนเชื่อให้ผู้คนเข้าใจว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย “โจรจะไม่บอกหรอกว่าตนเองเป็นโจร” โจรก็ต้องพูด แสดงให้คนอื่นเห็นว่าตนเป็นสัตบุรุษแท้จริงแล้วพวกเขาเป็นอสัตบุรุษ ที่เลวร้ายที่สุดของชาติ
หมอ: ตรงนี้ หมอเห็นด้วยอย่างยิ่งเลยค่ะ
ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ มันเป็นเผด็จการเพราะจัดความสัมพันธ์ผิดจากคลองธรรม คือมีเพียงสัมพันธภาพเดียว คือ “กฎหมายรัฐธรรมนูญกับประชาชน” จึงเป็นลัทธิการปกครองฯ ที่ไม่มีการเมืองของปวงชน มีแต่การเมืองของพวกกลุ่มทุนผูกขาดกับนักการเมืองเลวเท่านั้นเองครับ
หมอ: หมอว่านะ หากว่าย้อนเวลาได้อยากให้คณะราษฎร พูดเสียใหม่ว่า “ความมุ่งมาดปรารถนาอันใหญ่ยิ่งของคณะราษฎรคือหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย” อันได้แก่ 1…2…3…
ใช่ครับ คุณหมอ หากว่าคณะราษฎร รู้ เข้าใจ ต้องการ และสถาปนาระบอบประชาธิปไตย ป่านนี้ ประเทศไทยก็คงจะก้าวหน้าพอๆ กับประเทศญี่ปุ่น จะไม่มีรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างเช่นประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย
แต่...เพราะต่อมาจอมพล ป. พิบูลสงคราม หนึ่งในคณะราษฎร ที่เข้าใจว่า กฎหมายรัฐธรรมรัฐธรรมนูญเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งได้บัญญัติไว้ในมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 5 พ.ศ. 2492 (มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ซึ่งเป็นการเขียน บัญญัติขึ้นลอยๆ ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยปราศจากการเสนอหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยและเปิดเผย ให้ความรู้แก่ประชาชนต่อประชาชนให้รับรู้และสถาปนาขึ้นเป็นหลักการปกครองประชาธิปไตยแห่งชาติ
และที่ซ้ำร้ายก็คือ จอมพล ป.ได้สร้างอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ (รูปร่างหน้าตา ความเกี่ยวข้องเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น ไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นประชาธิปไตยอะไรเลย) ขึ้นมาตรงใจกลางเมืองบนถนนราชดำเนิน แต่จอมพล ป. พิบูลสงครามได้ตั้งชื่อว่า อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยซึ่งทำให้ผู้ปกครองรุ่นหลัง นักวิชาการ สื่อมวลชน ผู้คนทั้งหลายต่างก็เข้าใจผิดกันอย่างร้ายแรงและแก้ไขยากที่สุดสำหรับไทยเราว่า รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย จนทำให้มวลชนนักศึกษาในอดีต พรรคเพื่อไทย มวลชนเสื้อแดง ฯลฯ ยึดเอามาเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่มันกลายเป็นเผด็จการรัฐธรรมนูญ ทุกครั้งไป
หมอ: ใช่ค่ะ ใช่เลย อันนี้เห็นด้วยมากๆ น่าเสียดายนะค่ะ ที่คนไทยถูกมอมเมาจากผู้ปกครองสอนว่า รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมันคนละส่วนกันเลยแต่ใช้ร่วมกัน อุปมาว่า ระบอบหรือหลักการปกครองคือตัวคน ส่วนกฎหมายรัฐธรรมนูญคือเสื้อผ้าที่สวมใส่ มีแต่รัฐธรรมนูญ ก็เท่ากับว่ามีแต่เสื้อผ้า แล้วก็พากันหลงผิดว่าเสื้อผ้าว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย
นั่นซิครับ ยกตัวอย่างได้สุดยอดเลยครับ จากนั้นนะครับการเมืองไทยก็มีแต่การขัดแย้งทางการเมือง รัฐประหาร ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ รัฐบาลจากการเลือกตั้ง รัฐประหาร ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และกบฏกันอยู่อย่างนี้ กลายเป็นวงจรอุบาทว์อย่างไม่สิ้นสุด
จนกระทั่งเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในช่วง พ.ศ. 2512-2525 และยุติลงได้ด้วยนโยบายคำสั่งที่ 66/23 โดยท่านพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
การสืบทอดกันมายาวนานกว่า 80 ปี ด้วยมีรัฐธรรมนูญมากถึง 18 ฉบับ ทั้งๆ เห็นกันจะจะ ชัดๆ ว่ามันล้มเหลวทุกครั้งไป รัฐประหารกี่ครั้งๆ ก็ดันไปสร้างกฎหมายรัฐธรรมนูญใหม่ รัฐบาลจากการเลือกตั้งหากไม่แก้ไขก็สร้างรัฐธรรมนูญใหม่เช่นกัน
การแตกแยกของคณะราษฎรออกเป็น 3 ฝ่ายใหญ่ๆ ซึ่งแต่ละฝ่ายต่างก็ถือลัทธิรัฐธรรมนูญเป็นจุดหมาย ลัทธิรัฐธรรมนูญเป็นระบอบเผด็จการอย่างหนึ่งที่แยบยลนัก แต่พวกเขาหลงผิดว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย
จากภาพนี้ คุณหมอจะเห็นชัดว่า การที่ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญยึด ถือเอา กฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งมันเป็นวิธีการปกครอง (Methods of government) มันจึงเป็นเครื่องมือของฝ่ายผู้ปกครองที่ใช้ กดขี่และขูดรีดประชาชน ซึ่งก็เห็นๆ กันอยู่ว่ามันเลวร้ายเพียงใด ยิ่งปกครอง ประชาชนยิ่งยากจนลงๆ แต่ ผู้ปกครองกลับร่ำรวยมหาศาล และการที่พวกเขายึดเอาวิธีการมาเป็นจุดหมายนี่เอง อันเป็นเหตุแห่งความขัดแย้ง และที่ซ้ำร้ายที่สุดคือพวกเขาใช้วิธีการหรือหนทางดำเนินไปโดยไม่มีจุดหมายร่วมของปวงชน (ระบอบ,หลักการปกครอง) ดังนั้นเขาได้ใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญ (วิธีการปกครอง) เป็นไปเพื่อพวกผู้ปกครองเพียงหยิบมือเดียวนั่นเองจึงเรียกว่าเป็นเผด็จการ เพราะมันเป็นการปกครองที่เป็นไปเพื่อคนเพียงหยิบมือเดียวจริงๆ
หมอ: ใช่ค่ะ ท่าน ดร. อย่างนี้ก็แสดงให้เห็นชัดเลยค่ะว่า ประชาชนเราจะเป็นฝ่ายไหนก็ตามต่างก็ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของพวกเขา ตามที่ดร. เคยพูดว่าประชาชนตกเป็นทาสทางการเมือง ใช่เลยค่ะ มิน่าพวกรัฐบาลทุกรัฐบาล มันเข้ามาแล้วก็กินหัวคิวจากงบประมาณนี้เอง หมอไม่แปลกใจเลยค่ะ ที่พวกเขาใช้งบประมาณเป็นหลายแสนล้าน และกู้มาสองล้านล้าน พวกเขาก็จะกินหัวคิวตามที่เป็นข่าวมากถึง 30-40%
ขอบคุณครับคุณหมอสรุปได้เลยครับ จะว่าไปแล้วพวกเราเหนื่อยนะ ต้องทำงานกันหนัก
คุณหมอครับ ขอย้อนกลับมาถึงแนวทางแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ คือการสร้างหรือการสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรมที่ถูกต้อง
เราก็ควรจะบอกผู้อ่านและปัญญาชนทั้งหลายได้รับรู้ที่มาที่ไปของหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9
คุณหมอมีแผ่นกระดาษอยู่ในมือแล้วใช่ไหมครับ
หมอ: ค่ะ ท่าน ดร. จะให้ทำอะไรค่ะ
ให้คุณหมอ เขียนวงกลมเล็กๆ ตรงกลางกระดาษ จากนั้นลากเส้นสีน้ำเงินตรงจุดแผ่กระจายออกไปเป็นรัศมี 360 องศา จากนั้นลากเส้นสีแดงเข้าหาวงกลม ดังรูป
หมอ: อ๋อ รู้แล้ว แสดงให้เห็นกฎธรรมชาติ 3 มิติ 5 ลักษณะ นี่เอก องค์เอกภาพกับความแตกต่างหลากหลาย แล้วก็ องค์เอกภาพมีลักษณะแผ่กระจายกับรวมศูนย์ ทั้ง 4 ลักษณะนี้จึงก่อให้เกิดดุลยภาพ แล้วไงต่อค่ะ
ใช่ครับคุณหมอ วงกลมแผ่รัศมีเส้นสีน้ำเงินให้ความเมตตา ให้โอกาส ซึ่งก็คือหลักการปกครอง เราสมมติเป็นวัดพระแก้วหรือสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือ ฯลฯ หลักการปกครองจะให้ความยุติธรรมแก่ปวงชนตามหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 กล่าวโดยย่อคือ (1) หลักธรรมาธิปไตย (2) หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ (3) หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน (4) หลักเสรีภาพบริบูรณ์ (5) หลักความเสมอภาคทางโอกาส (6) หลักภราดรภาพ (7) หลักดุลยภาพ (8) หลักเอกภาพ (9) หลักนิติธรรม (เป็นทั้งหลักการปกครอง เป็นระบอบ เป็นกฎหมายสูงสุด เป็นหลักนิติธรรม ฯลฯ)
ในขณะเดียวกันหากว่าหลักการปกครองธรรมาธิปไตยนี้ได้รับการพิจารณาจากปัญญาชนคนสำคัญยิ่งของชาติและปวงชนไทยร่วมมือร่วมใจกันสถาปนาหลักการปกครองนี้ ปวงชนไทยทุกคน โดยแต่ละคนก็จะมีหลักการปกครองธรรมาธิปไตยในการปฏิบัติต่อเพื่อนร่วมชาติซึ่งกันและกัน ทั้งนักการเมือง ข้าราชการ ประชาชนทุกสาขาอาชีพ ต่างก็ถือหลักการปกครองเดียวกัน มีจุดหมายร่วมเดียวกัน แตกต่างหลากหลายต่างก็ไปสู่จุดหมายเดียวกันคือเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งนั่นก็คือได้ขยายความเป็นหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ดังที่กล่าวมาแล้วนี้เอง และตามลักษณะที่คุณหมอเขียนนั่นเองครับ
หมอ: โอ้ มันไม่ยากเลยค่ะ แต่ทำยากนะค่ะ เพื่อนหมอมีเยอะ เชื่อว่าคงเข้าใจได้กันทุกคน อย่างนี้ต้องรีบนำเสนอผู้หลักผู้ใหญ่แล้วละค่ะ
แล้วมันต่างกันมากไหมครับ การขึ้นต้นด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ
หมอ: มันต่างกันมากเลยค่ะ แนวทางที่ ดร. เสนอนะ มันทำให้คนไทยฉลาด รู้เท่าทันการเมือง เป็นการเมืองโดยธรรมจริงๆ ค่ะ เป็นการเปิดเผยไม่ปิดบังอำพราง คนไทยทุกคนมีปัญญาทางการเมืองด้วยหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ที่สำคัญแพตว่านะค่ะ ทำให้คนไทยหลุดจากนักการเมืองชั่วๆ ไม่ไปขึ้นต่อนักการเมืองชั่วๆ โกงกินชาติ คือแทนที่ประชาชนจะไปขึ้นต่อนักการเมือง ก็จะทำให้ประชาชนอิสระและขึ้นต่อธรรม หรือขึ้นต่อหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ค่ะ ดิฉันปลื้มใจมากค่ะ ดีใจแทนคนไทยค่ะ
ครับคุณหมอ ขอบคุณครับ ขอเพิ่มเติมอีกนิดว่า ในการเสนอหลักการปกครองนั้น เราจะต้องเริ่มนับหนึ่งด้วยแก่นแท้ของชาติ คือชาติ (อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน) เพราะทุกคนเป็นเจ้าของประเทศ ศาสนา แน่นอนว่าเราจะต้องนำเอาสัจธรรมมาใช้ในทางการเมืองเพื่อลบกิเลสทางการเมืองให้เบาบางลง และพระมหากษัตริย์ ก็เพราะว่าประเทศไทยไม่ว่ายุคใดสมัยใด เรามีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งชาติของไทยเรามาตลอดนับแต่โบราณกาลมา
หลักการปกครองดังกล่าวนี้ คนที่จะต่อต้านก็คือ(1) นักการเมือผู้เสียประโยชน์จะหลอกประชาชนไม่ได้ต่อไป (2) คนพาล (3) ฝูงชนที่ยังตกเป็นทาสของเหล่านักการเมืองลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ
หมอ: ค่ะ หมอเห็นด้วยค่ะ ว่าแนวทางนี้จะหยุดยั้งแนวทางแก้ไข หรือร่างรัฐธรรมนูญใหม่ไม่รู้จบเพราะความเห็นผิดนี่เองค่ะ และเชื่อว่าจะหยุดยั้งทักษิณ ได้ค่ะ
ท่าน ดร. ได้ให้ปัญญา ให้ความกระจ่างและเปิดเผยความเห็นผิด ความชั่วร้ายที่กำลังครอบงำคนไทยทุกคน ด้วยเพราะผู้ปกครอง นักการเมืองมีความเห็นผิดอย่างร้ายแรงนี่เองค่ะ หากเราช่วยกันหยุดยั้งได้ แพต เชื่อว่าประเทศไทยจะรอดพ้นจากสงครามกลางเมืองแน่นอน และแพต ได้ตริตรองทบทวนดูแล้ว เชื่อว่าอนาคตประเทศไทยจะเป็นประเทศชั้นนำของโลก เพื่อนๆ หมอทั้งหลายช่วยๆ กันนะค่ะ
หมอ: ดีค่ะ เชิญเลยค่ะ หมอกำลังสนใจเรื่องนี้อยู่เช่นกันค่ะ
คณะราษฎรได้สถาปนาลัทธิการปกครองแบบรัฐธรรมนูญ “ความมุ่งมาดปรารถนาอันใหญ่ยิ่งของคณะราษฎรคือธรรมนูญการปกครอง” นี่คือจุดเริ่มต้นของความเห็นผิดและเกิดความขัดแย้งกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ถึงขนาดมีพระราชบัลลังก์เป็นเดิมพันมาแล้ว
ลัทธิรัฐธรรมนูญเป็นเผด็จการนี้ สมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงเรียกว่า “เป็นเผด็จการอ้อมๆ ไม่ใช่ Democracy จริงๆ เลย”
ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ จะว่าไปแล้วนะดุจดังสุนัขจิ้งจอกภายใต้คำโกหกมายาวนานที่สุดว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยยังน้อยคนนักที่จะรู้เท่าทันลัทธิอุบาทว์นี้
สาวกลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญนี้ โฆษณาชวนเชื่อให้ผู้คนเข้าใจว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย “โจรจะไม่บอกหรอกว่าตนเองเป็นโจร” โจรก็ต้องพูด แสดงให้คนอื่นเห็นว่าตนเป็นสัตบุรุษแท้จริงแล้วพวกเขาเป็นอสัตบุรุษ ที่เลวร้ายที่สุดของชาติ
หมอ: ตรงนี้ หมอเห็นด้วยอย่างยิ่งเลยค่ะ
ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ มันเป็นเผด็จการเพราะจัดความสัมพันธ์ผิดจากคลองธรรม คือมีเพียงสัมพันธภาพเดียว คือ “กฎหมายรัฐธรรมนูญกับประชาชน” จึงเป็นลัทธิการปกครองฯ ที่ไม่มีการเมืองของปวงชน มีแต่การเมืองของพวกกลุ่มทุนผูกขาดกับนักการเมืองเลวเท่านั้นเองครับ
หมอ: หมอว่านะ หากว่าย้อนเวลาได้อยากให้คณะราษฎร พูดเสียใหม่ว่า “ความมุ่งมาดปรารถนาอันใหญ่ยิ่งของคณะราษฎรคือหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย” อันได้แก่ 1…2…3…
ใช่ครับ คุณหมอ หากว่าคณะราษฎร รู้ เข้าใจ ต้องการ และสถาปนาระบอบประชาธิปไตย ป่านนี้ ประเทศไทยก็คงจะก้าวหน้าพอๆ กับประเทศญี่ปุ่น จะไม่มีรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างเช่นประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย
แต่...เพราะต่อมาจอมพล ป. พิบูลสงคราม หนึ่งในคณะราษฎร ที่เข้าใจว่า กฎหมายรัฐธรรมรัฐธรรมนูญเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งได้บัญญัติไว้ในมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 5 พ.ศ. 2492 (มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ซึ่งเป็นการเขียน บัญญัติขึ้นลอยๆ ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยปราศจากการเสนอหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยและเปิดเผย ให้ความรู้แก่ประชาชนต่อประชาชนให้รับรู้และสถาปนาขึ้นเป็นหลักการปกครองประชาธิปไตยแห่งชาติ
และที่ซ้ำร้ายก็คือ จอมพล ป.ได้สร้างอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ (รูปร่างหน้าตา ความเกี่ยวข้องเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น ไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นประชาธิปไตยอะไรเลย) ขึ้นมาตรงใจกลางเมืองบนถนนราชดำเนิน แต่จอมพล ป. พิบูลสงครามได้ตั้งชื่อว่า อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยซึ่งทำให้ผู้ปกครองรุ่นหลัง นักวิชาการ สื่อมวลชน ผู้คนทั้งหลายต่างก็เข้าใจผิดกันอย่างร้ายแรงและแก้ไขยากที่สุดสำหรับไทยเราว่า รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย จนทำให้มวลชนนักศึกษาในอดีต พรรคเพื่อไทย มวลชนเสื้อแดง ฯลฯ ยึดเอามาเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่มันกลายเป็นเผด็จการรัฐธรรมนูญ ทุกครั้งไป
หมอ: ใช่ค่ะ ใช่เลย อันนี้เห็นด้วยมากๆ น่าเสียดายนะค่ะ ที่คนไทยถูกมอมเมาจากผู้ปกครองสอนว่า รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมันคนละส่วนกันเลยแต่ใช้ร่วมกัน อุปมาว่า ระบอบหรือหลักการปกครองคือตัวคน ส่วนกฎหมายรัฐธรรมนูญคือเสื้อผ้าที่สวมใส่ มีแต่รัฐธรรมนูญ ก็เท่ากับว่ามีแต่เสื้อผ้า แล้วก็พากันหลงผิดว่าเสื้อผ้าว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย
นั่นซิครับ ยกตัวอย่างได้สุดยอดเลยครับ จากนั้นนะครับการเมืองไทยก็มีแต่การขัดแย้งทางการเมือง รัฐประหาร ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ รัฐบาลจากการเลือกตั้ง รัฐประหาร ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และกบฏกันอยู่อย่างนี้ กลายเป็นวงจรอุบาทว์อย่างไม่สิ้นสุด
จนกระทั่งเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในช่วง พ.ศ. 2512-2525 และยุติลงได้ด้วยนโยบายคำสั่งที่ 66/23 โดยท่านพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
การสืบทอดกันมายาวนานกว่า 80 ปี ด้วยมีรัฐธรรมนูญมากถึง 18 ฉบับ ทั้งๆ เห็นกันจะจะ ชัดๆ ว่ามันล้มเหลวทุกครั้งไป รัฐประหารกี่ครั้งๆ ก็ดันไปสร้างกฎหมายรัฐธรรมนูญใหม่ รัฐบาลจากการเลือกตั้งหากไม่แก้ไขก็สร้างรัฐธรรมนูญใหม่เช่นกัน
การแตกแยกของคณะราษฎรออกเป็น 3 ฝ่ายใหญ่ๆ ซึ่งแต่ละฝ่ายต่างก็ถือลัทธิรัฐธรรมนูญเป็นจุดหมาย ลัทธิรัฐธรรมนูญเป็นระบอบเผด็จการอย่างหนึ่งที่แยบยลนัก แต่พวกเขาหลงผิดว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย
จากภาพนี้ คุณหมอจะเห็นชัดว่า การที่ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญยึด ถือเอา กฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งมันเป็นวิธีการปกครอง (Methods of government) มันจึงเป็นเครื่องมือของฝ่ายผู้ปกครองที่ใช้ กดขี่และขูดรีดประชาชน ซึ่งก็เห็นๆ กันอยู่ว่ามันเลวร้ายเพียงใด ยิ่งปกครอง ประชาชนยิ่งยากจนลงๆ แต่ ผู้ปกครองกลับร่ำรวยมหาศาล และการที่พวกเขายึดเอาวิธีการมาเป็นจุดหมายนี่เอง อันเป็นเหตุแห่งความขัดแย้ง และที่ซ้ำร้ายที่สุดคือพวกเขาใช้วิธีการหรือหนทางดำเนินไปโดยไม่มีจุดหมายร่วมของปวงชน (ระบอบ,หลักการปกครอง) ดังนั้นเขาได้ใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญ (วิธีการปกครอง) เป็นไปเพื่อพวกผู้ปกครองเพียงหยิบมือเดียวนั่นเองจึงเรียกว่าเป็นเผด็จการ เพราะมันเป็นการปกครองที่เป็นไปเพื่อคนเพียงหยิบมือเดียวจริงๆ
หมอ: ใช่ค่ะ ท่าน ดร. อย่างนี้ก็แสดงให้เห็นชัดเลยค่ะว่า ประชาชนเราจะเป็นฝ่ายไหนก็ตามต่างก็ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของพวกเขา ตามที่ดร. เคยพูดว่าประชาชนตกเป็นทาสทางการเมือง ใช่เลยค่ะ มิน่าพวกรัฐบาลทุกรัฐบาล มันเข้ามาแล้วก็กินหัวคิวจากงบประมาณนี้เอง หมอไม่แปลกใจเลยค่ะ ที่พวกเขาใช้งบประมาณเป็นหลายแสนล้าน และกู้มาสองล้านล้าน พวกเขาก็จะกินหัวคิวตามที่เป็นข่าวมากถึง 30-40%
ขอบคุณครับคุณหมอสรุปได้เลยครับ จะว่าไปแล้วพวกเราเหนื่อยนะ ต้องทำงานกันหนัก
คุณหมอครับ ขอย้อนกลับมาถึงแนวทางแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ คือการสร้างหรือการสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรมที่ถูกต้อง
เราก็ควรจะบอกผู้อ่านและปัญญาชนทั้งหลายได้รับรู้ที่มาที่ไปของหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9
คุณหมอมีแผ่นกระดาษอยู่ในมือแล้วใช่ไหมครับ
หมอ: ค่ะ ท่าน ดร. จะให้ทำอะไรค่ะ
ให้คุณหมอ เขียนวงกลมเล็กๆ ตรงกลางกระดาษ จากนั้นลากเส้นสีน้ำเงินตรงจุดแผ่กระจายออกไปเป็นรัศมี 360 องศา จากนั้นลากเส้นสีแดงเข้าหาวงกลม ดังรูป
หมอ: อ๋อ รู้แล้ว แสดงให้เห็นกฎธรรมชาติ 3 มิติ 5 ลักษณะ นี่เอก องค์เอกภาพกับความแตกต่างหลากหลาย แล้วก็ องค์เอกภาพมีลักษณะแผ่กระจายกับรวมศูนย์ ทั้ง 4 ลักษณะนี้จึงก่อให้เกิดดุลยภาพ แล้วไงต่อค่ะ
ใช่ครับคุณหมอ วงกลมแผ่รัศมีเส้นสีน้ำเงินให้ความเมตตา ให้โอกาส ซึ่งก็คือหลักการปกครอง เราสมมติเป็นวัดพระแก้วหรือสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือ ฯลฯ หลักการปกครองจะให้ความยุติธรรมแก่ปวงชนตามหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 กล่าวโดยย่อคือ (1) หลักธรรมาธิปไตย (2) หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ (3) หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน (4) หลักเสรีภาพบริบูรณ์ (5) หลักความเสมอภาคทางโอกาส (6) หลักภราดรภาพ (7) หลักดุลยภาพ (8) หลักเอกภาพ (9) หลักนิติธรรม (เป็นทั้งหลักการปกครอง เป็นระบอบ เป็นกฎหมายสูงสุด เป็นหลักนิติธรรม ฯลฯ)
ในขณะเดียวกันหากว่าหลักการปกครองธรรมาธิปไตยนี้ได้รับการพิจารณาจากปัญญาชนคนสำคัญยิ่งของชาติและปวงชนไทยร่วมมือร่วมใจกันสถาปนาหลักการปกครองนี้ ปวงชนไทยทุกคน โดยแต่ละคนก็จะมีหลักการปกครองธรรมาธิปไตยในการปฏิบัติต่อเพื่อนร่วมชาติซึ่งกันและกัน ทั้งนักการเมือง ข้าราชการ ประชาชนทุกสาขาอาชีพ ต่างก็ถือหลักการปกครองเดียวกัน มีจุดหมายร่วมเดียวกัน แตกต่างหลากหลายต่างก็ไปสู่จุดหมายเดียวกันคือเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งนั่นก็คือได้ขยายความเป็นหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ดังที่กล่าวมาแล้วนี้เอง และตามลักษณะที่คุณหมอเขียนนั่นเองครับ
หมอ: โอ้ มันไม่ยากเลยค่ะ แต่ทำยากนะค่ะ เพื่อนหมอมีเยอะ เชื่อว่าคงเข้าใจได้กันทุกคน อย่างนี้ต้องรีบนำเสนอผู้หลักผู้ใหญ่แล้วละค่ะ
แล้วมันต่างกันมากไหมครับ การขึ้นต้นด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ
หมอ: มันต่างกันมากเลยค่ะ แนวทางที่ ดร. เสนอนะ มันทำให้คนไทยฉลาด รู้เท่าทันการเมือง เป็นการเมืองโดยธรรมจริงๆ ค่ะ เป็นการเปิดเผยไม่ปิดบังอำพราง คนไทยทุกคนมีปัญญาทางการเมืองด้วยหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ที่สำคัญแพตว่านะค่ะ ทำให้คนไทยหลุดจากนักการเมืองชั่วๆ ไม่ไปขึ้นต่อนักการเมืองชั่วๆ โกงกินชาติ คือแทนที่ประชาชนจะไปขึ้นต่อนักการเมือง ก็จะทำให้ประชาชนอิสระและขึ้นต่อธรรม หรือขึ้นต่อหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ค่ะ ดิฉันปลื้มใจมากค่ะ ดีใจแทนคนไทยค่ะ
ครับคุณหมอ ขอบคุณครับ ขอเพิ่มเติมอีกนิดว่า ในการเสนอหลักการปกครองนั้น เราจะต้องเริ่มนับหนึ่งด้วยแก่นแท้ของชาติ คือชาติ (อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน) เพราะทุกคนเป็นเจ้าของประเทศ ศาสนา แน่นอนว่าเราจะต้องนำเอาสัจธรรมมาใช้ในทางการเมืองเพื่อลบกิเลสทางการเมืองให้เบาบางลง และพระมหากษัตริย์ ก็เพราะว่าประเทศไทยไม่ว่ายุคใดสมัยใด เรามีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งชาติของไทยเรามาตลอดนับแต่โบราณกาลมา
หลักการปกครองดังกล่าวนี้ คนที่จะต่อต้านก็คือ(1) นักการเมือผู้เสียประโยชน์จะหลอกประชาชนไม่ได้ต่อไป (2) คนพาล (3) ฝูงชนที่ยังตกเป็นทาสของเหล่านักการเมืองลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ
หมอ: ค่ะ หมอเห็นด้วยค่ะ ว่าแนวทางนี้จะหยุดยั้งแนวทางแก้ไข หรือร่างรัฐธรรมนูญใหม่ไม่รู้จบเพราะความเห็นผิดนี่เองค่ะ และเชื่อว่าจะหยุดยั้งทักษิณ ได้ค่ะ
ท่าน ดร. ได้ให้ปัญญา ให้ความกระจ่างและเปิดเผยความเห็นผิด ความชั่วร้ายที่กำลังครอบงำคนไทยทุกคน ด้วยเพราะผู้ปกครอง นักการเมืองมีความเห็นผิดอย่างร้ายแรงนี่เองค่ะ หากเราช่วยกันหยุดยั้งได้ แพต เชื่อว่าประเทศไทยจะรอดพ้นจากสงครามกลางเมืองแน่นอน และแพต ได้ตริตรองทบทวนดูแล้ว เชื่อว่าอนาคตประเทศไทยจะเป็นประเทศชั้นนำของโลก เพื่อนๆ หมอทั้งหลายช่วยๆ กันนะค่ะ