ทักษิณ ชินวัตร อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สุเทพ เทือกสุบรรณ ทั้ง 3 คน พูดเหมือนกัน เป็นพิมพ์ความคิดเดียวกัน
ทักษิณ ชินวัตร สไกป์พูดว่า “เราต้องช่วยกันรักษาประชาธิปไตยต่อต้านผู้ที่จะมาล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดปราศรัยที่ขอนแก่นว่า “พวกเราต้องช่วยกันรักษาระบอบประชาธิปไตยไว้ ใช่ไหมครับพี่น้อง”
สุเทพ เทือกสุบรรณ พูดปราศรัยที่ศรีสะเกษ ความตอนหนึ่งว่า “พวกเราต้องการระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
จากคำพูดของทั้ง 3 คนมันบ่งบอกถึงแนวคิดการยึดถือลัทธิทางการเมืองลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ ที่หลงผิดหรือบิดเบือนว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงประเทศไทยเรามีการปกครองแบบเผด็จการโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญมายาวนานกว่า 80 ปีแล้ว แต่พรรคการเมืองไทยทุกพรรคต่างก็ร่วมกันบิดเบือนว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยเพื่อหลอกประชาชน
ดังนั้น ภาพการต่อสู้ของพรรคการเมืองระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ เป็นการต่อสู้ที่ประชาชนไม่ได้อะไรเลย มันเป็นเพียงการขัดผลประโยชน์ของกันและกันต่างฝ่ายต่างแย่งชิงอำนาจทางการเมืองเพื่ออำนาจทางเศรษฐกิจ ส่วนประชาชนตกเป็นเครื่องมือของทั้งสองฝ่ายหรือตกเป็นทาสทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของพรรคการเมืองทั้งสองฝ่าย
เหตุที่มาลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ เจ้าของลัทธิคือคณะราษฎร (ทั้งสามฝ่ายคือ (1) ฝ่ายคณะนายทหารเริ่มแรกคือพระยาพหลพลพยุหเสนา (2) ฝ่ายนายปรีดี พนมยงค์ สืบทอดโดยพรรคเพื่อไทยและเสื้อแดง (3) ฝ่ายนายควง อภัยวงศ์ สืบทอดโดยพรรคประชาธิปัตย์
ลัทธิรัฐธรรมนูญนี้มีความเชื่อว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย ถือตัวกฎหมายเป็นใหญ่ หรือเป็นลัทธิการปกครอง คือใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นตัวหลัก ถือกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นใหญ่ ในการปกครอง
แต่โดยปกติหรือโดยความถูกต้องกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นผลของระบอบหรือเป็นผลของหลักการปกครอง “หลักการปกครองเป็นอย่างไร ระบอบก็เป็นอย่างนั้น” กฎหมายรัฐธรรมนูญเปรียบได้ดังกระจกส่องหน้า รูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร รูปที่ปรากฏในกระจกก็มีลักษณะเช่นนั้น เป็นอื่นไปไม่ได้
เมื่อผู้ปกครองรุ่นแรกจนถึงปัจจุบันมีความเห็นผิดอย่างร้ายแรงว่า “ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” มันจึงเป็นไปไม่ได้ จะร่างสักร้อยครั้งพันฉบับ มันก็ไม่ได้ระบอบประชาธิปไตย ก็เพราะสภาพที่แท้จริง (Being) ของประเทศไทยเป็นเผด็จการจะร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญสักกี่ฉบับกฎหมายรัฐธรรมนูญมันก็สะท้อนความเป็นจริงที่ดำรงอยู่จริงๆ คือระบอบเผด็จการเช่นเดิมทุกครั้งไปนั่นเอง
ที่เรียกว่าเป็นเผด็จการก็เพราะลัทธินี้เอาผลมาเป็นเหตุ หากพวกเรารู้เรื่องการเมืองการปกครอง นั่นคือ การเมืองก็คือหลักการปกครอง หรือระบอบการปกครองก็คือกฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือหลักการปกครองคือจุดหมายร่วมของปวงชน ส่วนการปกครองคือวิธีการไปสู่จุดหมายร่วมกันของปวงชน แต่ในความเป็นจริงหลักการปกครองหรือระบอบหรือจุดหมายร่วมของปวงชนไม่มี มีแต่วิธีการไปคือกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งพวกนักการเมืองลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญยึดเอาเป็นจุดหมาย ซึ่งก็แน่ชัดว่า ลักษณะของการเมืองการปกครองเช่นนี้ หมู่ชนที่ได้ประโยชน์มีเพียงพวกนักการเมืองเท่านั้น
หากว่ามีหลักการปกครองโดยธรรม ระบอบก็ย่อมเป็นธรรม รัฐธรรมนูญก็สะท้อนความเป็นธรรม การปกครองก็เป็นธรรม รัฐบาลบริหารประเทศก็น่าเชื่อถือน่าชื่นชม ประชาชนได้ประโยชน์ก็เป็นสุข อันเป็นสัมพันธภาพระหว่างเหตุกับผลที่ถูกต้อง
ลัทธิรัฐธรรมนูญเป็นเผด็จการนี้ สมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงเรียกว่า “เป็นเผด็จการอ้อมๆ ไม่ใช่ Democracy จริงๆ เลย”
ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ ดุจดังสุนัขจิ้งจอกภายใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตย ประเทศไทยเรายังน้อยคนนักที่จะรู้เท่าทันลัทธิอุบาทว์
สาวกลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญนี้ โฆษณาชวนเชื่อให้ผู้คนเข้าใจว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย “โจรจะไม่บอกหรอกว่าตนเองเป็นโจร” โจรก็ต้องพูด แสดงให้คนอื่นเห็นว่าตนเป็นสัตบุรุษ แท้จริงแล้วพวกเขาเป็นอสัตบุรุษที่เลวร้ายที่สุดของชาติ
ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ มันเป็นเผด็จการเพราะจัดความสัมพันธ์ผิด จากคลองธรรม คือมีเพียงสัมพันธภาพเดียว คือ “กฎหมายรัฐธรรมนูญกับประชาชน” จึงเป็นลัทธิการปกครองที่ไม่มีการเมืองของปวงชน มีแต่การเมืองของพวกกลุ่มทุนผูกขาดกับนักการเมืองเลวเท่านั้นเองครับพี่น้อง
ส่วนสัมพันธภาพหลัก คือระหว่างหลักการปกครองกับปวงชนหรือระบอบฯกับปวงชน นั้นไม่มี ก็แสดงให้เห็นว่าการปกครองเผด็จการนี้มันหลอกลวงประชาชนให้รับใช้ กลายเป็นทาสทางการเมือง แต่ชาวพันธมิตรประชาชนฯและชาวโหวตโนได้เปิดโปงประเด็นนี้มานานแล้ว จึงไม่ยอมเป็นทาสทางการเมืองให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ว่าฝ่ายพรรคเพื่อไทยหรือฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคอื่นๆ ที่มีแนวคิดเดียวกัน
สัมพันธภาพของระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ จึงเป็นสัมพันธภาพที่ขาดแหว่ง เลอะเทอะ ให้ประโยชน์เฉพาะกลุ่มทุนผูกขาดรวมหัวกับนักการเมืองเพียงหยิบมือเดียว จึงเป็นเหตุแห่งคอร์รัปชัน ปล้น แย่งชิงทรัพย์สมบัติแห่งชาติไปเป็นของตนและพวกพ้องแต่ละปีหลายแสนล้าน “กู้แล้วปล้น แย่งชิงไป คนไทยก็รับเคราะห์ตกเป็นหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นๆ “ยิ่งปกครองยิ่งเป็นหนี้ ยิ่งปกครองยิ่งจน” ยังจะเอาการปกครองเผด็จการเยี่ยงนี้อีกหรือ
แนวทางการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติไม่ใช่ไปร่างรัฐธรรมนูญ การแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย จึงเป็นกระบวนการเห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติ จึงมีแต่เสี่ยงภัย เสียเวลา ประชาชนไม่ได้อะไร และถูกผลักดันให้เห็นผิดตามอยู่ชั่วนาตาปี เพื่อให้ตกเป็นทาสทางการเมืองต่อไปแอกนี้มันจะยิ่งหนักยิ่งขึ้นๆ เสื้อแดงทั้งหลายรู้ไว้ด้วยเถิด
แนวทางแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ เลิกทาส (ปลดแอก) ทางการเมืองของปวงชน ด้วยปัญญาอันยิ่งใหญ่ ถูกต้องโดยธรรม เป็นการเมืองของปวงชน เพื่อปวงชน โดยปวงชนอย่างแท้จริง ปวงชนมีการเมืองเป็นของปวงชน คือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 กล่าวโดยย่อคือ (1) หลักธรรมาธิปไตย (2) หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ (3) หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน (4) หลักเสรีภาพบริบูรณ์ (5) หลักความเสมอภาคทางโอกาส (6) หลักภราดรภาพ (7) หลักดุลยภาพ (8) หลักเอกภาพ (9) หลักนิติธรรม (เป็นทั้งหลักการปกครอง เป็นระบอบ เป็นกฎหมายสูงสุด เป็นหลักนิติธรรม ฯลฯ) ดังสัมพันธภาพ ดังนี้
หากแกนนำฝ่ายต่างๆ ที่มีความเข้าใจถูกต้องแล้วก็ช่วยกันทำความเข้าใจ เกิดปัญญาอันยิ่งใหญ่ที่จะมอบให้กับชาติ ในขณะเดียวกันเราจะเห็นว่าขบวนการลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญโดยทักษิณ พรรคเพื่อไทย แกนนำเสื้อแดง ฯลฯ ฝ่ายหนึ่งกับฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ฯลฯ เป็นพวกที่เห็นผิด ทำผิด ครอบงำประชาชนเพื่อจะเป็นประโยชน์แก่ตนและพวกพ้องเท่านั้น พร้อมทั้งครอบงำประชาชนให้เป็นทาสทางการเมืองต่อไปให้ยาวนานที่สุด
หากพวกเราผู้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์จะรุกกลับทางการเมือง พวกเราต้องสู้ด้วยแนวทางการเมืองที่เป็นธรรมและเหนือกว่า โดยการยอมรับความจริงว่า เผด็จการรัฐธรรมนูญครอบงำประชาชนไทยมายาวนานที่สุดกว่า 80 ปีแล้ว
พวกเราต้องเชิดชูแนวทางการเมืองที่ถูกต้องหากเราเชิดชู ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เราก็ต้องเชิดชูหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ด้วยนั่นเอง
นี่คือทางต่อสู้สู่ชัยชนะของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ในการที่จะพ้นจากเหตุวิกฤตชาติ ส่วนปัญหาบุคคล คนเลว ก็จัดการไปตามกระบวนการยุติธรรมปกติ
หากพรรคประชาธิปัตย์จะเอาชนะพรรคเพื่อไทยก็ต้องกลับเนื้อกลับตัวศึกษาแนวทางธรรมาธิปไตยให้ถ่องแท้ แล้วจะเป็นแนวทางแห่งปัญญาของชาติอย่างแท้จริง
หากพรรคประชาธิปัตย์ยังคงถือลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญอยู่เช่นเดิม นอกจากจะทำร้ายประเทศชาติและประชาชนแล้วก็จะไม่สามารถเอาชนะพรรคเพื่อไทยได้เลย
เราขอบอกความจริงว่า ลัทธิเผด็จการทุกชนิด ระบอบเผด็จการทุกชนิดเป็นภัยร้ายแรงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ใครที่ถือลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญแล้วบิดเบือนว่าเป็น “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ล้วนเป็นการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ตกต่ำลงทั้งสิ้น เพราะ หนึ่ง ระบอบประชาธิปไตยยังไม่เกิด ยังไม่มีอยู่จริง สอง “พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ” เป็นความเห็นถูกต้อง ไม่ใช่เป็นประมุขระบอบ (เผด็จการ) ซึ่งเป็นความเห็นผิดอย่างร้ายแรงและเป็นการเขียนการพูดที่ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ตกต่ำลงทั้งสิ้น เพราะเป็นการเขียน การพูดที่บิดเบือน พึงนำไปตรองดูให้เกิดปัญญาเถิด
ทักษิณ ชินวัตร สไกป์พูดว่า “เราต้องช่วยกันรักษาประชาธิปไตยต่อต้านผู้ที่จะมาล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดปราศรัยที่ขอนแก่นว่า “พวกเราต้องช่วยกันรักษาระบอบประชาธิปไตยไว้ ใช่ไหมครับพี่น้อง”
สุเทพ เทือกสุบรรณ พูดปราศรัยที่ศรีสะเกษ ความตอนหนึ่งว่า “พวกเราต้องการระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
จากคำพูดของทั้ง 3 คนมันบ่งบอกถึงแนวคิดการยึดถือลัทธิทางการเมืองลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ ที่หลงผิดหรือบิดเบือนว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงประเทศไทยเรามีการปกครองแบบเผด็จการโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญมายาวนานกว่า 80 ปีแล้ว แต่พรรคการเมืองไทยทุกพรรคต่างก็ร่วมกันบิดเบือนว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยเพื่อหลอกประชาชน
ดังนั้น ภาพการต่อสู้ของพรรคการเมืองระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ เป็นการต่อสู้ที่ประชาชนไม่ได้อะไรเลย มันเป็นเพียงการขัดผลประโยชน์ของกันและกันต่างฝ่ายต่างแย่งชิงอำนาจทางการเมืองเพื่ออำนาจทางเศรษฐกิจ ส่วนประชาชนตกเป็นเครื่องมือของทั้งสองฝ่ายหรือตกเป็นทาสทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของพรรคการเมืองทั้งสองฝ่าย
เหตุที่มาลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ เจ้าของลัทธิคือคณะราษฎร (ทั้งสามฝ่ายคือ (1) ฝ่ายคณะนายทหารเริ่มแรกคือพระยาพหลพลพยุหเสนา (2) ฝ่ายนายปรีดี พนมยงค์ สืบทอดโดยพรรคเพื่อไทยและเสื้อแดง (3) ฝ่ายนายควง อภัยวงศ์ สืบทอดโดยพรรคประชาธิปัตย์
ลัทธิรัฐธรรมนูญนี้มีความเชื่อว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย ถือตัวกฎหมายเป็นใหญ่ หรือเป็นลัทธิการปกครอง คือใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นตัวหลัก ถือกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นใหญ่ ในการปกครอง
แต่โดยปกติหรือโดยความถูกต้องกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นผลของระบอบหรือเป็นผลของหลักการปกครอง “หลักการปกครองเป็นอย่างไร ระบอบก็เป็นอย่างนั้น” กฎหมายรัฐธรรมนูญเปรียบได้ดังกระจกส่องหน้า รูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร รูปที่ปรากฏในกระจกก็มีลักษณะเช่นนั้น เป็นอื่นไปไม่ได้
เมื่อผู้ปกครองรุ่นแรกจนถึงปัจจุบันมีความเห็นผิดอย่างร้ายแรงว่า “ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” มันจึงเป็นไปไม่ได้ จะร่างสักร้อยครั้งพันฉบับ มันก็ไม่ได้ระบอบประชาธิปไตย ก็เพราะสภาพที่แท้จริง (Being) ของประเทศไทยเป็นเผด็จการจะร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญสักกี่ฉบับกฎหมายรัฐธรรมนูญมันก็สะท้อนความเป็นจริงที่ดำรงอยู่จริงๆ คือระบอบเผด็จการเช่นเดิมทุกครั้งไปนั่นเอง
ที่เรียกว่าเป็นเผด็จการก็เพราะลัทธินี้เอาผลมาเป็นเหตุ หากพวกเรารู้เรื่องการเมืองการปกครอง นั่นคือ การเมืองก็คือหลักการปกครอง หรือระบอบการปกครองก็คือกฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือหลักการปกครองคือจุดหมายร่วมของปวงชน ส่วนการปกครองคือวิธีการไปสู่จุดหมายร่วมกันของปวงชน แต่ในความเป็นจริงหลักการปกครองหรือระบอบหรือจุดหมายร่วมของปวงชนไม่มี มีแต่วิธีการไปคือกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งพวกนักการเมืองลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญยึดเอาเป็นจุดหมาย ซึ่งก็แน่ชัดว่า ลักษณะของการเมืองการปกครองเช่นนี้ หมู่ชนที่ได้ประโยชน์มีเพียงพวกนักการเมืองเท่านั้น
หากว่ามีหลักการปกครองโดยธรรม ระบอบก็ย่อมเป็นธรรม รัฐธรรมนูญก็สะท้อนความเป็นธรรม การปกครองก็เป็นธรรม รัฐบาลบริหารประเทศก็น่าเชื่อถือน่าชื่นชม ประชาชนได้ประโยชน์ก็เป็นสุข อันเป็นสัมพันธภาพระหว่างเหตุกับผลที่ถูกต้อง
ลัทธิรัฐธรรมนูญเป็นเผด็จการนี้ สมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงเรียกว่า “เป็นเผด็จการอ้อมๆ ไม่ใช่ Democracy จริงๆ เลย”
ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ ดุจดังสุนัขจิ้งจอกภายใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตย ประเทศไทยเรายังน้อยคนนักที่จะรู้เท่าทันลัทธิอุบาทว์
สาวกลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญนี้ โฆษณาชวนเชื่อให้ผู้คนเข้าใจว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย “โจรจะไม่บอกหรอกว่าตนเองเป็นโจร” โจรก็ต้องพูด แสดงให้คนอื่นเห็นว่าตนเป็นสัตบุรุษ แท้จริงแล้วพวกเขาเป็นอสัตบุรุษที่เลวร้ายที่สุดของชาติ
ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ มันเป็นเผด็จการเพราะจัดความสัมพันธ์ผิด จากคลองธรรม คือมีเพียงสัมพันธภาพเดียว คือ “กฎหมายรัฐธรรมนูญกับประชาชน” จึงเป็นลัทธิการปกครองที่ไม่มีการเมืองของปวงชน มีแต่การเมืองของพวกกลุ่มทุนผูกขาดกับนักการเมืองเลวเท่านั้นเองครับพี่น้อง
ส่วนสัมพันธภาพหลัก คือระหว่างหลักการปกครองกับปวงชนหรือระบอบฯกับปวงชน นั้นไม่มี ก็แสดงให้เห็นว่าการปกครองเผด็จการนี้มันหลอกลวงประชาชนให้รับใช้ กลายเป็นทาสทางการเมือง แต่ชาวพันธมิตรประชาชนฯและชาวโหวตโนได้เปิดโปงประเด็นนี้มานานแล้ว จึงไม่ยอมเป็นทาสทางการเมืองให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ว่าฝ่ายพรรคเพื่อไทยหรือฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคอื่นๆ ที่มีแนวคิดเดียวกัน
สัมพันธภาพของระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ จึงเป็นสัมพันธภาพที่ขาดแหว่ง เลอะเทอะ ให้ประโยชน์เฉพาะกลุ่มทุนผูกขาดรวมหัวกับนักการเมืองเพียงหยิบมือเดียว จึงเป็นเหตุแห่งคอร์รัปชัน ปล้น แย่งชิงทรัพย์สมบัติแห่งชาติไปเป็นของตนและพวกพ้องแต่ละปีหลายแสนล้าน “กู้แล้วปล้น แย่งชิงไป คนไทยก็รับเคราะห์ตกเป็นหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นๆ “ยิ่งปกครองยิ่งเป็นหนี้ ยิ่งปกครองยิ่งจน” ยังจะเอาการปกครองเผด็จการเยี่ยงนี้อีกหรือ
แนวทางการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติไม่ใช่ไปร่างรัฐธรรมนูญ การแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย จึงเป็นกระบวนการเห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติ จึงมีแต่เสี่ยงภัย เสียเวลา ประชาชนไม่ได้อะไร และถูกผลักดันให้เห็นผิดตามอยู่ชั่วนาตาปี เพื่อให้ตกเป็นทาสทางการเมืองต่อไปแอกนี้มันจะยิ่งหนักยิ่งขึ้นๆ เสื้อแดงทั้งหลายรู้ไว้ด้วยเถิด
แนวทางแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ เลิกทาส (ปลดแอก) ทางการเมืองของปวงชน ด้วยปัญญาอันยิ่งใหญ่ ถูกต้องโดยธรรม เป็นการเมืองของปวงชน เพื่อปวงชน โดยปวงชนอย่างแท้จริง ปวงชนมีการเมืองเป็นของปวงชน คือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 กล่าวโดยย่อคือ (1) หลักธรรมาธิปไตย (2) หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ (3) หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน (4) หลักเสรีภาพบริบูรณ์ (5) หลักความเสมอภาคทางโอกาส (6) หลักภราดรภาพ (7) หลักดุลยภาพ (8) หลักเอกภาพ (9) หลักนิติธรรม (เป็นทั้งหลักการปกครอง เป็นระบอบ เป็นกฎหมายสูงสุด เป็นหลักนิติธรรม ฯลฯ) ดังสัมพันธภาพ ดังนี้
หากแกนนำฝ่ายต่างๆ ที่มีความเข้าใจถูกต้องแล้วก็ช่วยกันทำความเข้าใจ เกิดปัญญาอันยิ่งใหญ่ที่จะมอบให้กับชาติ ในขณะเดียวกันเราจะเห็นว่าขบวนการลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญโดยทักษิณ พรรคเพื่อไทย แกนนำเสื้อแดง ฯลฯ ฝ่ายหนึ่งกับฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ฯลฯ เป็นพวกที่เห็นผิด ทำผิด ครอบงำประชาชนเพื่อจะเป็นประโยชน์แก่ตนและพวกพ้องเท่านั้น พร้อมทั้งครอบงำประชาชนให้เป็นทาสทางการเมืองต่อไปให้ยาวนานที่สุด
หากพวกเราผู้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์จะรุกกลับทางการเมือง พวกเราต้องสู้ด้วยแนวทางการเมืองที่เป็นธรรมและเหนือกว่า โดยการยอมรับความจริงว่า เผด็จการรัฐธรรมนูญครอบงำประชาชนไทยมายาวนานที่สุดกว่า 80 ปีแล้ว
พวกเราต้องเชิดชูแนวทางการเมืองที่ถูกต้องหากเราเชิดชู ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เราก็ต้องเชิดชูหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ด้วยนั่นเอง
นี่คือทางต่อสู้สู่ชัยชนะของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ในการที่จะพ้นจากเหตุวิกฤตชาติ ส่วนปัญหาบุคคล คนเลว ก็จัดการไปตามกระบวนการยุติธรรมปกติ
หากพรรคประชาธิปัตย์จะเอาชนะพรรคเพื่อไทยก็ต้องกลับเนื้อกลับตัวศึกษาแนวทางธรรมาธิปไตยให้ถ่องแท้ แล้วจะเป็นแนวทางแห่งปัญญาของชาติอย่างแท้จริง
หากพรรคประชาธิปัตย์ยังคงถือลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญอยู่เช่นเดิม นอกจากจะทำร้ายประเทศชาติและประชาชนแล้วก็จะไม่สามารถเอาชนะพรรคเพื่อไทยได้เลย
เราขอบอกความจริงว่า ลัทธิเผด็จการทุกชนิด ระบอบเผด็จการทุกชนิดเป็นภัยร้ายแรงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ใครที่ถือลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญแล้วบิดเบือนว่าเป็น “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ล้วนเป็นการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ตกต่ำลงทั้งสิ้น เพราะ หนึ่ง ระบอบประชาธิปไตยยังไม่เกิด ยังไม่มีอยู่จริง สอง “พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ” เป็นความเห็นถูกต้อง ไม่ใช่เป็นประมุขระบอบ (เผด็จการ) ซึ่งเป็นความเห็นผิดอย่างร้ายแรงและเป็นการเขียนการพูดที่ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ตกต่ำลงทั้งสิ้น เพราะเป็นการเขียน การพูดที่บิดเบือน พึงนำไปตรองดูให้เกิดปัญญาเถิด