เมื่อวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน 2557 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้พูดไว้ว่า “จะประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองชั่วคราวในต้นเดือนกรกฎาคม” (2557)
เราก็รู้ทันทีว่า คสช.กำลังเดินตามคณะรัฐประหารครั้งแรกโดยคณะราษฎรและเดินตามอดีตคณะรัฐประหารรุ่นต่อๆ มา โดยยังสืบทอดแนวคิดอันเป็นเห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติราชบัลลังก์ ที่ว่า “รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย” แนวทางนี้ คณะราษฎรนำวิธีการปกครอง คือกฎหมายรัฐธรรมนูญมาบังคับใช้กับประชาชน ผู้ใช้คือผู้ปกครองหรือนักการเมือง พวกเขาจึงอยู่เหนือสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเป็นไปเองหรือจงใจ ความขัดแย้งและการคิดโค่นสถาบันมันจึงเป็นไปเองตามการจัดความสัมพันธ์ของระบบ ผู้มีอำนาจหรือผู้ยกร่างอาจจะปฏิเสธพัลวัน แต่กฎเกณฑ์ที่พวกคุณกำลังทำอยู่นั้นมันเป็นเช่นนั้นอย่างเป็นไปเอง “ปากบอกรักแต่ทำลาย” การเริ่มต้นด้วย “ธรรมนูญการปกครอง” หรือ “กฎหมายรัฐธรรมนูญ” คือการเอาวิธีการมาก่อนจุดหมาย เพราะกฎหมายเป็นได้เพียงวิธีการหรือเครื่องมือในการปกครองกดขี่ประชาชน และไม่ให้ความสำคัญกับประชาชน แต่ไปให้ความสำคัญกับผู้ปกครอง นักการเมือง ส่วนประชาชนตกเป็นทาสทางการเมืองการปกครองของผู้ปกครองและนักการเมืองเพียงหยิบมือเดียว มันจึงเป็นเผด็จการ และจุดหมายของการปกครองกลายเป็นของพรรครัฐบาลหรือผู้ปกครองเพียงหยิบมือเดียว จึงเป็นบ่อเกิดของความขัดแย้งและคอร์รัปชันทั่วแผ่นดินและพลังของประชาชนอ่อนแอไปกันคนละทิศ คนละทางและเป็นบ่อเกิดของการคิดแบ่งแยกดินแดน
เราขอเตือน คสช.ด้วยเมตตาและสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ การที่ คสช. กำลังจะประกาศใช้ธรรมนูญการปกครอง จะเป็นการพาประชาชนลงนรกผิดซ้ำซาก 18 ครั้ง เป็นบ่อเกิดวงจรอุบาทว์ยังไม่พอกันอีกหรือ จะมากขึ้นเป็นครั้งที่ 19 -20 -100 เช่นนั้นหรือ ท่านนายพล... อย่าไปเชื่อนักวิชาการฝ่ายลัทธิเผด็จการมันเลย มันกำลังพาท่านนายพล... พินาศ มันวางยาท่าน มองกันออกบ้างไหมท่านนายพล...
แต่ถ้าหาก คสช.การเริ่มต้นด้วยประกาศใช้หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 พาประชาชนขึ้นสวรรค์ สุขเกษมเปรมปรีด์ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาจะเป็นรัฐบุรุษที่ยิ่งใหญ่ของชาติตลอดกาล กล่าวเป็นสัจธรรม ดังนี้
“พระธรรม ย่อมเกิดก่อนพระวินัย ฉันใด หลักการปกครองธรรมาธิปไตยต้องเกิดก่อนและเป็นเหตุ เป็นบ่อเกิดของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น”
“ประชาชนๆๆๆๆ มาก่อนนักการเมือง ผู้ปกครอง ฉันใด หลักการปกครองต้องมาก่อน ต้องเกิดก่อนและเป็นเหตุ เป็นบ่อเกิดของธรรมนูญการปกครอง ฉันนั้น”
“จุดหมาย ต้องมาก่อนวิธีการ ฉันใด หลักการปกครองธรรมาธิปไตย ต้องมาก่อน ต้องเกิดก่อนและเป็นเหตุ เป็นบ่อเกิดของธรรมนูญการปกครอง ฉันนั้น”
“ยุทธศาสตร์ ต้องกำหนดก่อนยุทธวิธี ฉันใด หลักการปกครองธรรมาธิปไตย ต้องเกิดก่อน ต้องเกิดก่อนและเป็นเหตุ เป็นบ่อเกิดของธรรมนูญการปกครอง ฉันนั้น”
“เป้า ต้องเกิดก่อนการง้างคันธนู ฉันใด หลักการปกครองธรรมาธิปไตย ต้องเกิดก่อนและเป็นเหตุ เป็นบ่อเกิดของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น”
“โรงเรียนนายร้อย จปร. เกิดก่อนวิธีการไป (อันแตกต่างหลากหลาย) ฉันใด หลักการปกครองธรรมาธิปไตยต้องเกิดก่อนและเป็นเหตุ เป็นบ่อเกิดของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น”
ใบหน้า ย่อมต้องเกิดก่อน กระจกส่อง ฉันใด หลักการปกครองธรรมาธิปไตยต้องเกิดก่อนและเป็นเหตุ เป็นบ่อเกิดของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น
ก็เป็นหลักและวิธีคิดง่ายๆ ดังที่กล่าวนี้เอง เด็กป. 4 ฟังแล้วก็รู้ได้
แต่เชื่อไหมว่า คณะพลเอก .....กำลังจะเอายุทธวิธีมาก่อน หากเป็นเช่นนี้จริง (ในอีกไม่กี่วันก็จะได้เห็นกัน) พลเอกก็ควรจะกลับไปเป็นพลทหารดีกว่า หรือก็คืนยศเสียดีกว่า เพราะให้นักวิชาการทายาทสายคณะราษฎร หลอกให้ยกร่างและประกาศใช้ “ธรรมนูญการปกครอง” เราขออธิบายเพิ่มเติมว่า
ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ เจ้าของลัทธิคือคณะราษฎรทั้งสามฝ่ายคือ
1) ฝ่ายกองทัพเริ่มแรกคือพระยาพหลพลพยุหเสนา ทายาทคือคณะรัฐประหาร
2) ฝ่ายนายปรีดี พนมยงค์ ทายาทคือพรรคเพื่อไทยและคอมมิวนิสต์อิงแอบ
3) ฝ่ายนายควง อภัยวงศ์ ทายาทคือพรรคประชาธิปัตย์และคอมมิวนิสต์อิงแอบ
ฝ่ายที่สืบทอดในขณะปัจจุบัน พวกเขามีความเชื่อว่า “รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย” ถือตัวกฎหมายเป็นใหญ่ หรือเป็นลัทธิการปกครอง คือใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นตัวหลัก ถือกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นใหญ่ในการปกครอง
แต่โดยปกติหรือโดยความถูกต้องกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นผลของระบอบหรือเป็นผลของหลักการปกครอง “หลักการปกครองเป็นอย่างไร ระบอบก็เป็นอย่างนั้น” กฎหมายรัฐธรรมนูญเปรียบได้ดังกระจกส่องหน้า รูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร รูปที่ปรากฏในกระจกก็มีลักษณะเช่นนั้น เป็นอื่นไปไม่ได้
เมื่อผู้ปกครองรุ่นแรกจนถึงปัจจุบันมีความเห็นผิดอย่างร้ายแรงที่สุดต่อชาติ “ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” มันจึงเป็นไปไม่ได้ จะร่างสัก 100 ครั้ง 1,000 ฉบับ มันก็ไม่เป็นระบอบประชาธิปไตย ก็เพราะสภาพที่แท้จริง (Being) ของประเทศไทยเป็นเผด็จการจะร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญสักกี่ฉบับๆ กฎหมายรัฐธรรมนูญมันก็สะท้อนความเป็นจริงที่ดำรงอยู่จริงๆ คือเผด็จการเช่นเดิมนั่นเอง
ที่เรียกว่าเป็นเผด็จการ ก็เพราะลัทธินี้เอาผลมาเป็นเหตุ หากเรารู้เรื่องการเมืองการปกครอง นั่นคือ การเมืองก็คือหลักการปกครอง หรือระบอบการปกครองก็คือกฎหมายรัฐธรรมนูญ
หลักการปกครองเป็นธรรม ระบอบก็ย่อมเป็นธรรม รัฐธรรมนูญก็สะท้อนความเป็นธรรม การปกครองก็เป็นธรรม รัฐบาลบริหารประเทศก็น่าเชื่อถือน่าชื่นชม ประชาชนได้ประโยชน์ก็เป็นสุข อันเป็นสัมพันธภาพระหว่างเหตุกับผลที่ถูกต้อง
ลัทธิรัฐธรรมนูญเป็นเผด็จการนี้ สมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงเรียกว่า “เป็นเผด็จการอ้อมๆ ไม่ใช่ Democracy จริงๆ เลย”
ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ ดุจดังสุนัขจิ้งจอกภายใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตย ประเทศไทยเรายังน้อยคนนักที่จะรู้เท่าทันมันโฆษณาชวนเชื่อให้ผู้คนเข้าใจว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย “โจรจะไม่บอกหรอกว่าตนเองเป็นโจร” โจรก็ต้องพูด แสดงให้คนอื่นเห็นว่าตนเป็นสัตบุรุษ แท้จริงแล้วพวกเขาเป็นอสัตบุรุษ
ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ ที่เป็นเผด็จการเพราะจัดความสัมพันธ์ผิด จากคลองธรรม คือมีเพียงสัมพันธภาพเดียว คือ “กฎหมายรัฐธรรมนูญกับประชาชน” จึงเป็นลัทธิการปกครองที่ไม่มีการเมืองของปวงชน มีแต่การเมืองของพวกนักการเมืองเท่านั้น
ส่วนสัมพันธภาพหลักระหว่างหลักการปกครองกับปวงชนหรือระบอบกับปวงชน นั้น ไม่มีนับแต่รัฐธรรมนูญฉบับแรก
ก็แสดงให้เห็นว่าการปกครองนี้มันหลอกลวงประชาชนให้รับใช้ กลายเป็นทาสทางการเมือง ใครมองเห็นประเด็นนี้จึงไม่ยอมเป็นทาสทางการเมืองให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผู้ปกครองที่โง่เขลาเบาปัญญา ทั้งๆ ที่เห็นๆ อยู่ ก็ยังจะทำผิดซ้ำๆ อีก
สัมพันธภาพของระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญจึงเป็นสัมพันธภาพที่ขาดแหว่ง เลอะเทอะ ให้ประโยชน์เฉพาะนักการเมืองเพียงหยิบมือเดียว จึงเป็นเหตุแห่งคอร์รัปชัน ปล้น แย่งชิงทรัพย์สมบัติแห่งชาติไปเป็นของตนและพวกพ้องแต่ละปีหลายแสนล้าน “กู้แล้วปล้น แย่งชิงไป คนไทยก็รับเคราะห์ตกเป็นหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นๆ ตลอดชาติ “ยิ่งปกครองยิ่งเป็นหนี้ ยิ่งปกครองยิ่งยากจน”
แนวทางการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ ไม่ใช่คสช.ไปยกร่างรัฐธรรมนูญ มันเป็นกระบวนการที่เห็นผิดอย่างร้ายแรงยิ่งนักต่อชาติ เป็นแนวทางนรก จึงมีแต่เสี่ยงภัย เสียเวลา ประชาชนไร้ศักดิ์ศรี และถูกผลักดันให้ตกเป็นทาสทางการเมืองต่อไป
แนวทางแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ เลิกทาส (ปลดแอก) ทางการเมืองของปวงชนไทย ด้วยปัญญาอันยิ่งใหญ่ ถูกต้องเป็นสัจธรรม เป็นการเมืองของปวงชน เพื่อปวงชน โดยปวงชนอย่างแท้จริง ปวงชนมีการเมืองเป็นของปวงชน คือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 กล่าวโดยย่อคือ (1) หลักธรรมาธิปไตย (2) หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ (3) หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน (4) หลักเสรีภาพบริบูรณ์ (5) หลักความเสมอภาคทางโอกาส (6) หลักภราดรภาพ (7) หลักดุลยภาพ (8) หลักเอกภาพ (9) หลักนิติธรรม (เป็นทั้งหลักการปกครอง เป็นระบอบ เป็นกฎหมายสูงสุด เป็นหลักนิติธรรม ฯลฯ) ดังสัมพันธภาพ ดังนี้
ขอให้พวกเราผู้รักชาติทั้งหลาย นายพลทั้งหลาย ช่วยกันทำความเข้าใจเถิด เกิดปัญญาอันยิ่งใหญ่ที่จะมอบให้กับชาติอย่างถูกต้องชั่วกัลปาวสาน ในขณะเดียวกันเราจะเห็นว่าขบวนการลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญโดยนักวิชาการ และพรรคการเมืองต่างๆ ล้วนเป็นพวกที่เห็นผิด ทำผิด ครอบงำประชาชนเพื่อจะเป็นประโยชน์แก่ตนและพวกพ้องเท่านั้น พร้อมทั้งครอบงำประชาชนให้เป็นทาสทางการเมืองต่อไป
หากพวกเราจะรุกกลับทางการเมือง สู้เพื่อชาติด้วยแนวทางการเมืองที่เป็นธรรมและเหนือกว่า คือสู้ด้วยการเชิดชูหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9
เราก็รู้ทันทีว่า คสช.กำลังเดินตามคณะรัฐประหารครั้งแรกโดยคณะราษฎรและเดินตามอดีตคณะรัฐประหารรุ่นต่อๆ มา โดยยังสืบทอดแนวคิดอันเป็นเห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติราชบัลลังก์ ที่ว่า “รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย” แนวทางนี้ คณะราษฎรนำวิธีการปกครอง คือกฎหมายรัฐธรรมนูญมาบังคับใช้กับประชาชน ผู้ใช้คือผู้ปกครองหรือนักการเมือง พวกเขาจึงอยู่เหนือสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเป็นไปเองหรือจงใจ ความขัดแย้งและการคิดโค่นสถาบันมันจึงเป็นไปเองตามการจัดความสัมพันธ์ของระบบ ผู้มีอำนาจหรือผู้ยกร่างอาจจะปฏิเสธพัลวัน แต่กฎเกณฑ์ที่พวกคุณกำลังทำอยู่นั้นมันเป็นเช่นนั้นอย่างเป็นไปเอง “ปากบอกรักแต่ทำลาย” การเริ่มต้นด้วย “ธรรมนูญการปกครอง” หรือ “กฎหมายรัฐธรรมนูญ” คือการเอาวิธีการมาก่อนจุดหมาย เพราะกฎหมายเป็นได้เพียงวิธีการหรือเครื่องมือในการปกครองกดขี่ประชาชน และไม่ให้ความสำคัญกับประชาชน แต่ไปให้ความสำคัญกับผู้ปกครอง นักการเมือง ส่วนประชาชนตกเป็นทาสทางการเมืองการปกครองของผู้ปกครองและนักการเมืองเพียงหยิบมือเดียว มันจึงเป็นเผด็จการ และจุดหมายของการปกครองกลายเป็นของพรรครัฐบาลหรือผู้ปกครองเพียงหยิบมือเดียว จึงเป็นบ่อเกิดของความขัดแย้งและคอร์รัปชันทั่วแผ่นดินและพลังของประชาชนอ่อนแอไปกันคนละทิศ คนละทางและเป็นบ่อเกิดของการคิดแบ่งแยกดินแดน
เราขอเตือน คสช.ด้วยเมตตาและสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ การที่ คสช. กำลังจะประกาศใช้ธรรมนูญการปกครอง จะเป็นการพาประชาชนลงนรกผิดซ้ำซาก 18 ครั้ง เป็นบ่อเกิดวงจรอุบาทว์ยังไม่พอกันอีกหรือ จะมากขึ้นเป็นครั้งที่ 19 -20 -100 เช่นนั้นหรือ ท่านนายพล... อย่าไปเชื่อนักวิชาการฝ่ายลัทธิเผด็จการมันเลย มันกำลังพาท่านนายพล... พินาศ มันวางยาท่าน มองกันออกบ้างไหมท่านนายพล...
แต่ถ้าหาก คสช.การเริ่มต้นด้วยประกาศใช้หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 พาประชาชนขึ้นสวรรค์ สุขเกษมเปรมปรีด์ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาจะเป็นรัฐบุรุษที่ยิ่งใหญ่ของชาติตลอดกาล กล่าวเป็นสัจธรรม ดังนี้
“พระธรรม ย่อมเกิดก่อนพระวินัย ฉันใด หลักการปกครองธรรมาธิปไตยต้องเกิดก่อนและเป็นเหตุ เป็นบ่อเกิดของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น”
“ประชาชนๆๆๆๆ มาก่อนนักการเมือง ผู้ปกครอง ฉันใด หลักการปกครองต้องมาก่อน ต้องเกิดก่อนและเป็นเหตุ เป็นบ่อเกิดของธรรมนูญการปกครอง ฉันนั้น”
“จุดหมาย ต้องมาก่อนวิธีการ ฉันใด หลักการปกครองธรรมาธิปไตย ต้องมาก่อน ต้องเกิดก่อนและเป็นเหตุ เป็นบ่อเกิดของธรรมนูญการปกครอง ฉันนั้น”
“ยุทธศาสตร์ ต้องกำหนดก่อนยุทธวิธี ฉันใด หลักการปกครองธรรมาธิปไตย ต้องเกิดก่อน ต้องเกิดก่อนและเป็นเหตุ เป็นบ่อเกิดของธรรมนูญการปกครอง ฉันนั้น”
“เป้า ต้องเกิดก่อนการง้างคันธนู ฉันใด หลักการปกครองธรรมาธิปไตย ต้องเกิดก่อนและเป็นเหตุ เป็นบ่อเกิดของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น”
“โรงเรียนนายร้อย จปร. เกิดก่อนวิธีการไป (อันแตกต่างหลากหลาย) ฉันใด หลักการปกครองธรรมาธิปไตยต้องเกิดก่อนและเป็นเหตุ เป็นบ่อเกิดของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น”
ใบหน้า ย่อมต้องเกิดก่อน กระจกส่อง ฉันใด หลักการปกครองธรรมาธิปไตยต้องเกิดก่อนและเป็นเหตุ เป็นบ่อเกิดของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น
ก็เป็นหลักและวิธีคิดง่ายๆ ดังที่กล่าวนี้เอง เด็กป. 4 ฟังแล้วก็รู้ได้
แต่เชื่อไหมว่า คณะพลเอก .....กำลังจะเอายุทธวิธีมาก่อน หากเป็นเช่นนี้จริง (ในอีกไม่กี่วันก็จะได้เห็นกัน) พลเอกก็ควรจะกลับไปเป็นพลทหารดีกว่า หรือก็คืนยศเสียดีกว่า เพราะให้นักวิชาการทายาทสายคณะราษฎร หลอกให้ยกร่างและประกาศใช้ “ธรรมนูญการปกครอง” เราขออธิบายเพิ่มเติมว่า
ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ เจ้าของลัทธิคือคณะราษฎรทั้งสามฝ่ายคือ
1) ฝ่ายกองทัพเริ่มแรกคือพระยาพหลพลพยุหเสนา ทายาทคือคณะรัฐประหาร
2) ฝ่ายนายปรีดี พนมยงค์ ทายาทคือพรรคเพื่อไทยและคอมมิวนิสต์อิงแอบ
3) ฝ่ายนายควง อภัยวงศ์ ทายาทคือพรรคประชาธิปัตย์และคอมมิวนิสต์อิงแอบ
ฝ่ายที่สืบทอดในขณะปัจจุบัน พวกเขามีความเชื่อว่า “รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย” ถือตัวกฎหมายเป็นใหญ่ หรือเป็นลัทธิการปกครอง คือใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นตัวหลัก ถือกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นใหญ่ในการปกครอง
แต่โดยปกติหรือโดยความถูกต้องกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นผลของระบอบหรือเป็นผลของหลักการปกครอง “หลักการปกครองเป็นอย่างไร ระบอบก็เป็นอย่างนั้น” กฎหมายรัฐธรรมนูญเปรียบได้ดังกระจกส่องหน้า รูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร รูปที่ปรากฏในกระจกก็มีลักษณะเช่นนั้น เป็นอื่นไปไม่ได้
เมื่อผู้ปกครองรุ่นแรกจนถึงปัจจุบันมีความเห็นผิดอย่างร้ายแรงที่สุดต่อชาติ “ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” มันจึงเป็นไปไม่ได้ จะร่างสัก 100 ครั้ง 1,000 ฉบับ มันก็ไม่เป็นระบอบประชาธิปไตย ก็เพราะสภาพที่แท้จริง (Being) ของประเทศไทยเป็นเผด็จการจะร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญสักกี่ฉบับๆ กฎหมายรัฐธรรมนูญมันก็สะท้อนความเป็นจริงที่ดำรงอยู่จริงๆ คือเผด็จการเช่นเดิมนั่นเอง
ที่เรียกว่าเป็นเผด็จการ ก็เพราะลัทธินี้เอาผลมาเป็นเหตุ หากเรารู้เรื่องการเมืองการปกครอง นั่นคือ การเมืองก็คือหลักการปกครอง หรือระบอบการปกครองก็คือกฎหมายรัฐธรรมนูญ
หลักการปกครองเป็นธรรม ระบอบก็ย่อมเป็นธรรม รัฐธรรมนูญก็สะท้อนความเป็นธรรม การปกครองก็เป็นธรรม รัฐบาลบริหารประเทศก็น่าเชื่อถือน่าชื่นชม ประชาชนได้ประโยชน์ก็เป็นสุข อันเป็นสัมพันธภาพระหว่างเหตุกับผลที่ถูกต้อง
ลัทธิรัฐธรรมนูญเป็นเผด็จการนี้ สมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงเรียกว่า “เป็นเผด็จการอ้อมๆ ไม่ใช่ Democracy จริงๆ เลย”
ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ ดุจดังสุนัขจิ้งจอกภายใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตย ประเทศไทยเรายังน้อยคนนักที่จะรู้เท่าทันมันโฆษณาชวนเชื่อให้ผู้คนเข้าใจว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย “โจรจะไม่บอกหรอกว่าตนเองเป็นโจร” โจรก็ต้องพูด แสดงให้คนอื่นเห็นว่าตนเป็นสัตบุรุษ แท้จริงแล้วพวกเขาเป็นอสัตบุรุษ
ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ ที่เป็นเผด็จการเพราะจัดความสัมพันธ์ผิด จากคลองธรรม คือมีเพียงสัมพันธภาพเดียว คือ “กฎหมายรัฐธรรมนูญกับประชาชน” จึงเป็นลัทธิการปกครองที่ไม่มีการเมืองของปวงชน มีแต่การเมืองของพวกนักการเมืองเท่านั้น
ส่วนสัมพันธภาพหลักระหว่างหลักการปกครองกับปวงชนหรือระบอบกับปวงชน นั้น ไม่มีนับแต่รัฐธรรมนูญฉบับแรก
ก็แสดงให้เห็นว่าการปกครองนี้มันหลอกลวงประชาชนให้รับใช้ กลายเป็นทาสทางการเมือง ใครมองเห็นประเด็นนี้จึงไม่ยอมเป็นทาสทางการเมืองให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผู้ปกครองที่โง่เขลาเบาปัญญา ทั้งๆ ที่เห็นๆ อยู่ ก็ยังจะทำผิดซ้ำๆ อีก
สัมพันธภาพของระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญจึงเป็นสัมพันธภาพที่ขาดแหว่ง เลอะเทอะ ให้ประโยชน์เฉพาะนักการเมืองเพียงหยิบมือเดียว จึงเป็นเหตุแห่งคอร์รัปชัน ปล้น แย่งชิงทรัพย์สมบัติแห่งชาติไปเป็นของตนและพวกพ้องแต่ละปีหลายแสนล้าน “กู้แล้วปล้น แย่งชิงไป คนไทยก็รับเคราะห์ตกเป็นหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นๆ ตลอดชาติ “ยิ่งปกครองยิ่งเป็นหนี้ ยิ่งปกครองยิ่งยากจน”
แนวทางการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ ไม่ใช่คสช.ไปยกร่างรัฐธรรมนูญ มันเป็นกระบวนการที่เห็นผิดอย่างร้ายแรงยิ่งนักต่อชาติ เป็นแนวทางนรก จึงมีแต่เสี่ยงภัย เสียเวลา ประชาชนไร้ศักดิ์ศรี และถูกผลักดันให้ตกเป็นทาสทางการเมืองต่อไป
แนวทางแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ เลิกทาส (ปลดแอก) ทางการเมืองของปวงชนไทย ด้วยปัญญาอันยิ่งใหญ่ ถูกต้องเป็นสัจธรรม เป็นการเมืองของปวงชน เพื่อปวงชน โดยปวงชนอย่างแท้จริง ปวงชนมีการเมืองเป็นของปวงชน คือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 กล่าวโดยย่อคือ (1) หลักธรรมาธิปไตย (2) หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ (3) หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน (4) หลักเสรีภาพบริบูรณ์ (5) หลักความเสมอภาคทางโอกาส (6) หลักภราดรภาพ (7) หลักดุลยภาพ (8) หลักเอกภาพ (9) หลักนิติธรรม (เป็นทั้งหลักการปกครอง เป็นระบอบ เป็นกฎหมายสูงสุด เป็นหลักนิติธรรม ฯลฯ) ดังสัมพันธภาพ ดังนี้
ขอให้พวกเราผู้รักชาติทั้งหลาย นายพลทั้งหลาย ช่วยกันทำความเข้าใจเถิด เกิดปัญญาอันยิ่งใหญ่ที่จะมอบให้กับชาติอย่างถูกต้องชั่วกัลปาวสาน ในขณะเดียวกันเราจะเห็นว่าขบวนการลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญโดยนักวิชาการ และพรรคการเมืองต่างๆ ล้วนเป็นพวกที่เห็นผิด ทำผิด ครอบงำประชาชนเพื่อจะเป็นประโยชน์แก่ตนและพวกพ้องเท่านั้น พร้อมทั้งครอบงำประชาชนให้เป็นทาสทางการเมืองต่อไป
หากพวกเราจะรุกกลับทางการเมือง สู้เพื่อชาติด้วยแนวทางการเมืองที่เป็นธรรมและเหนือกว่า คือสู้ด้วยการเชิดชูหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9