การที่ประเทศไทยจะพัฒนาต่อไปข้างหน้าอย่างมีความสงบสุข คนในชาติจำเป็นต้องยึดถือธรรมเนียมประเพณี คุณธรรมจริยธรรม และประการสำคัญคือ หลักกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายสูงสุดอย่างรัฐธรรมนูญตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงจะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีนิติรัฐ
แนวความคิดเรื่องนิติรัฐนี้ ได้ก่อให้เกิดการปกครองโดยหลักนิติธรรม คือ การปกครองโดยกฎหมาย ซึ่งจะต้องมีการออกกฎหมายที่เป็นธรรม โดยเอื้ออำนวยต่อความเสมอภาคและเสรีภาพของบุคคล จึงอาจกล่าวได้ว่าหลักนิติธรรมเป็นรากแก้วของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ผู้ที่มีส่วนผลักดันให้หลักนิติธรรมดำเนินไปตามครรลอง เห็นจะเป็นประชาชนกว่า ๖๐ ล้านคนที่จะต้องเคารพกติการักษากฎหมายที่ใช้ร่วมกันในสังคม หากกรณีที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดกระทำความผิดหรือละเมิดกฎหมาย จะต้องมีผู้บังคับใช้กฎหมายของรัฐเข้ามาควบคุมจัดการ แต่หากเห็นว่าบุคคลนั้นไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือทำให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหายจากการกระทำดังกล่าว จำต้องมีผู้ที่ตัดสินหรือให้ความยุติธรรมในกรณีนั้น ซึ่งได้แก่ ศาลยุติธรรม
องค์กรอิสระที่ขึ้นชื่อว่า ศาลยุติธรรม ย่อมบ่งบอกถึงภารกิจหลักของศาลที่ต้องคงไว้ซึ่งความยุติธรรม โดยจะยุติข้อพิพาทต่างๆ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคมนั่นเอง
แต่ความยุติธรรมที่ว่านี้ จะเที่ยงตรงดำรงอยู่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะหรือบุคคลที่กระทำในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม ก็ต่อเมื่อผู้พยุงความยุติธรรมมีความซื่อสัตย์สุจริตในการปฏิบัติหน้าที่อย่างแน่วแน่
ความซื่อสัตย์สุจริต หมายถึง การประพฤติดีและจริงใจ ไม่คดโกง ไม่หลอกลวง ส่วนความยุติธรรม หมายถึง ความเสมอภาคในทุกคน ไม่มีอคติ ฉะนั้น ทั้งความซื่อสัตย์สุจริต และความยุติธรรมจึงเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันอย่างมิอาจแยกจากกันได้
กล่าวคือ หากผู้ปฏิบัติหน้าที่พยุงความยุติธรรมอย่างผู้พิพากษาแห่งศาลยุติธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตแล้วก็ย่อมนำมาซึ่งความยุติธรรมอันเป็นคุณลักษณะที่สังคมไทยปรารถนาโดยปริยาย
อย่างไรก็ตาม ประชาชนได้มอบหมายให้ผู้พยุงความยุติธรรมทำหน้าที่ให้ความเป็นธรรมที่นำไปสู่ข้อยุติอย่างดีที่สุด มิใช่จำเพาะเจาะจงว่าเป็นประชาชนผู้ใดผู้หนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่มีอำนาจบารมี หรือมีฐานะทางสังคม ณ ขณะนั้น แต่หมายรวมถึงประชาชนทุกคนทุกชนชั้น ซึ่งมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกันตามรัฐธรรมนูญ
เพราะทุกวันนี้ เงิน อำนาจ และผลประโยชน์ เข้ามามีอิทธิพลอย่างสูงต่อบทบาทการทำงานของข้าราชการ และกลายเป็นแรงกระเพื่อมในวงการกฎหมายไทยด้วย จนทำให้ผู้พยุงความยุติธรรมทั้งหลายอาจวอกแวก หรือโลภหลงไปกับสิ่งยั่วยุเหล่านั้น จึงบังเกิดความอยุติธรรมขึ้น ซึ่งจะค่อยๆ กัดกร่อนบ่อนทำลายประเทศไปทีละน้อย นับเป็นภัยร้ายแรงต่อระบอบประชาธิปไตยของประเทศอย่างใหญ่หลวง ดังนั้น ผู้ที่ทำหน้าที่ดังกล่าวจำเป็นต้องยับยั้งชั่งใจของตนให้สำเร็จ
ดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะผู้พิพากษาประจำศาล สำนักงานศาลยุติธรรม จำนวน ๑๐๑ คน ที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๓ ณ โรงพยาบาลศิริราช ความตอนหนึ่งว่า
...“สำคัญมากที่ท่านได้มาปฏิญาณตนว่าจะทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เข้มแข็ง ถ้ารักษาความซื่อสัตย์สุจริตนี้ไว้ตลอดเวลาที่ท่านปฏิบัติหน้าที่ตลอดชีวิต แสดงว่ามีคนที่อุ้มชูความเรียบร้อยของประเทศจำนวนหนึ่ง ขอให้ท่านได้รักษาความตั้งใจของหน้าที่ได้ตามที่ได้มีคำปฏิญาณตลอดเวลา เป็นตัวอย่างคนของประเทศให้มีกำลังใจที่จะปฏิบัติงานอย่างซื่อสัตย์สุจริต ดังที่ท่านได้ปฏิญาณ”...
จากพระราชดำรัสข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใส่พระราชหฤทัยต่อความซื่อสัตย์สุจริตเป็นอย่างมาก เพื่อทรงหวังให้บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อยด้วยความยุติธรรมและพสกนิกรของพระองค์มีความผาสุกอย่างยั่งยืนเสมอภาคกัน
ด้วยเหตุนี้ การปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาจึงถือเป็นภารกิจที่สำคัญยิ่งสำหรับประชาชน หากปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจดี และเคร่งครัดแล้ว การปกครองโดยกฎหมายของประเทศก็จะดำเนินต่อไปอย่างเข้มแข็งมั่นคงด้วย
นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างเปี่ยมล้นต่อคณะผู้พิพากษา และศาลยุติธรรม ที่มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเตือนสติในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเสมอมา
ไม่เพียงแต่ผู้พยุงความยุติธรรมที่จะนำคุณธรรมข้อนี้ไปใช้ในหน้าที่การงานเท่านั้น หากแต่ข้าราชการทุกหมู่เหล่า รวมทั้งประชาชนคนไทยทุกคนสามารถยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริตต่อการทำหน้าที่ของตนได้เช่นกัน โดยมุ่งเน้นประโยชน์และความถูกต้องของส่วนรวมเป็นสำคัญ ประเทศไทยก็จะเป็นประเทศประชาธิปไตยที่มีความเจริญก้าวหน้า และคนในชาติมีความสงบสุขเพราะได้ยกระดับคุณธรรมในจิตใจให้สูงขึ้นตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา.
แนวความคิดเรื่องนิติรัฐนี้ ได้ก่อให้เกิดการปกครองโดยหลักนิติธรรม คือ การปกครองโดยกฎหมาย ซึ่งจะต้องมีการออกกฎหมายที่เป็นธรรม โดยเอื้ออำนวยต่อความเสมอภาคและเสรีภาพของบุคคล จึงอาจกล่าวได้ว่าหลักนิติธรรมเป็นรากแก้วของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ผู้ที่มีส่วนผลักดันให้หลักนิติธรรมดำเนินไปตามครรลอง เห็นจะเป็นประชาชนกว่า ๖๐ ล้านคนที่จะต้องเคารพกติการักษากฎหมายที่ใช้ร่วมกันในสังคม หากกรณีที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดกระทำความผิดหรือละเมิดกฎหมาย จะต้องมีผู้บังคับใช้กฎหมายของรัฐเข้ามาควบคุมจัดการ แต่หากเห็นว่าบุคคลนั้นไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือทำให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหายจากการกระทำดังกล่าว จำต้องมีผู้ที่ตัดสินหรือให้ความยุติธรรมในกรณีนั้น ซึ่งได้แก่ ศาลยุติธรรม
องค์กรอิสระที่ขึ้นชื่อว่า ศาลยุติธรรม ย่อมบ่งบอกถึงภารกิจหลักของศาลที่ต้องคงไว้ซึ่งความยุติธรรม โดยจะยุติข้อพิพาทต่างๆ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคมนั่นเอง
แต่ความยุติธรรมที่ว่านี้ จะเที่ยงตรงดำรงอยู่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะหรือบุคคลที่กระทำในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม ก็ต่อเมื่อผู้พยุงความยุติธรรมมีความซื่อสัตย์สุจริตในการปฏิบัติหน้าที่อย่างแน่วแน่
ความซื่อสัตย์สุจริต หมายถึง การประพฤติดีและจริงใจ ไม่คดโกง ไม่หลอกลวง ส่วนความยุติธรรม หมายถึง ความเสมอภาคในทุกคน ไม่มีอคติ ฉะนั้น ทั้งความซื่อสัตย์สุจริต และความยุติธรรมจึงเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันอย่างมิอาจแยกจากกันได้
กล่าวคือ หากผู้ปฏิบัติหน้าที่พยุงความยุติธรรมอย่างผู้พิพากษาแห่งศาลยุติธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตแล้วก็ย่อมนำมาซึ่งความยุติธรรมอันเป็นคุณลักษณะที่สังคมไทยปรารถนาโดยปริยาย
อย่างไรก็ตาม ประชาชนได้มอบหมายให้ผู้พยุงความยุติธรรมทำหน้าที่ให้ความเป็นธรรมที่นำไปสู่ข้อยุติอย่างดีที่สุด มิใช่จำเพาะเจาะจงว่าเป็นประชาชนผู้ใดผู้หนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่มีอำนาจบารมี หรือมีฐานะทางสังคม ณ ขณะนั้น แต่หมายรวมถึงประชาชนทุกคนทุกชนชั้น ซึ่งมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกันตามรัฐธรรมนูญ
เพราะทุกวันนี้ เงิน อำนาจ และผลประโยชน์ เข้ามามีอิทธิพลอย่างสูงต่อบทบาทการทำงานของข้าราชการ และกลายเป็นแรงกระเพื่อมในวงการกฎหมายไทยด้วย จนทำให้ผู้พยุงความยุติธรรมทั้งหลายอาจวอกแวก หรือโลภหลงไปกับสิ่งยั่วยุเหล่านั้น จึงบังเกิดความอยุติธรรมขึ้น ซึ่งจะค่อยๆ กัดกร่อนบ่อนทำลายประเทศไปทีละน้อย นับเป็นภัยร้ายแรงต่อระบอบประชาธิปไตยของประเทศอย่างใหญ่หลวง ดังนั้น ผู้ที่ทำหน้าที่ดังกล่าวจำเป็นต้องยับยั้งชั่งใจของตนให้สำเร็จ
ดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะผู้พิพากษาประจำศาล สำนักงานศาลยุติธรรม จำนวน ๑๐๑ คน ที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๓ ณ โรงพยาบาลศิริราช ความตอนหนึ่งว่า
...“สำคัญมากที่ท่านได้มาปฏิญาณตนว่าจะทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เข้มแข็ง ถ้ารักษาความซื่อสัตย์สุจริตนี้ไว้ตลอดเวลาที่ท่านปฏิบัติหน้าที่ตลอดชีวิต แสดงว่ามีคนที่อุ้มชูความเรียบร้อยของประเทศจำนวนหนึ่ง ขอให้ท่านได้รักษาความตั้งใจของหน้าที่ได้ตามที่ได้มีคำปฏิญาณตลอดเวลา เป็นตัวอย่างคนของประเทศให้มีกำลังใจที่จะปฏิบัติงานอย่างซื่อสัตย์สุจริต ดังที่ท่านได้ปฏิญาณ”...
จากพระราชดำรัสข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใส่พระราชหฤทัยต่อความซื่อสัตย์สุจริตเป็นอย่างมาก เพื่อทรงหวังให้บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อยด้วยความยุติธรรมและพสกนิกรของพระองค์มีความผาสุกอย่างยั่งยืนเสมอภาคกัน
ด้วยเหตุนี้ การปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาจึงถือเป็นภารกิจที่สำคัญยิ่งสำหรับประชาชน หากปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจดี และเคร่งครัดแล้ว การปกครองโดยกฎหมายของประเทศก็จะดำเนินต่อไปอย่างเข้มแข็งมั่นคงด้วย
นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างเปี่ยมล้นต่อคณะผู้พิพากษา และศาลยุติธรรม ที่มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเตือนสติในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเสมอมา
ไม่เพียงแต่ผู้พยุงความยุติธรรมที่จะนำคุณธรรมข้อนี้ไปใช้ในหน้าที่การงานเท่านั้น หากแต่ข้าราชการทุกหมู่เหล่า รวมทั้งประชาชนคนไทยทุกคนสามารถยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริตต่อการทำหน้าที่ของตนได้เช่นกัน โดยมุ่งเน้นประโยชน์และความถูกต้องของส่วนรวมเป็นสำคัญ ประเทศไทยก็จะเป็นประเทศประชาธิปไตยที่มีความเจริญก้าวหน้า และคนในชาติมีความสงบสุขเพราะได้ยกระดับคุณธรรมในจิตใจให้สูงขึ้นตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา.