หมอ ปุณชิตา ได้ฝากถามก่อนไปทำภารกิจต่างประเทศ ว่า “ดร. ป. ค่ะ ช่วยให้ข้อคิดความเห็น ที่นักเขียนการ์ตูนการเมืองเซีย ในไทยรัฐ จากรูปนี้ ให้หน่อยนะค่ะ จะรออ่านค่ะ”
ผู้เขียนขออนุญาตนำภาพนี้จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับวันที่ 14 มิถุนายน 2556 ก็ด้วยเคารพในความคิดเห็นของคุณเซีย ถือว่าเป็นสื่อด้วยกัน แต่ความเห็นนี้ เป็นความเห็นที่เป็นความเป็นความตายของชาติ และเป็นความเห็นผิดมายาวนานกว่า 80 ปีแล้ว
แนวคิดที่ว่า “แก้รัฐธรรมนูญ ’50 ให้เป็นประชาธิปไตย” ความเห็นนี้ คุณทักษิณเองก็เคยพูดสไกป์ ในทำนองเดียวกันนี้มาแล้ว ผู้เขียนเคยติติงคุณทักษิณมาหลายครั้งว่า การพูดการมีความเห็นเช่นนี้ เป็นความเห็นผิดร้ายแรงต่อชาติของผู้ปกครอง รุ่นแล้วรุ่นเล่าที่สืบทอดความเห็นผิด และเป็นการโกหกต่อประชาชนที่ยาวนานที่สุดในโลก
ทั้งนี้ รากฐานของแนวคิดนี้มาจากคณะราษฎร ที่ยกเอารัฐธรรมนูญเป็นใหญ่ แล้วต่อมาก็บิดเบือนว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย โดย จอมพล ป. พิบูลสงครามหนึ่งในคณะราษฎรที่เข้าใจว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นระบอบประชาธิปไตย จึงได้บัญญัติไว้ในมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 5 พ.ศ. 2492 (มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข) ซึ่งเป็นการเขียนบัญญัติขึ้นลอยๆ ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยปราศจากการเสนอหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยและการเปิดเผยตามนโยบายของสมเด็จพระปกเกล้าฯ ให้ความรู้แก่ประชาชนต่อประชาชนให้รับรู้และสถาปนาขึ้นเป็นหลักการปกครองประชาธิปไตยแห่งชาติ การเขียนขึ้นมาลอยๆ โดยยังไม่มีการสถาปนาหลักการปกครอง มันจึงเป็นเรื่องปัญญาอ่อนมากๆ
โดยที่นักวิชาการส่วนมากไม่ได้ยั้งคิด เพราะเข้าใจผิดเห็นตามคณะราษฎร ว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตยตามๆ กันมาอย่างชั่วร้ายที่สุด
อีกอย่างพวกเขามองปัญหาอย่างไม่ลึกซึ้ง และด้วยความเชื่อที่ว่า “นักเรียนนอกยอมเก่งกว่า” แท้จริงพากันหลงทางมายาวนานกว่า 80 ปี “พวกเขาทำลายชาติทำลายประชาชนเพราะความเห็นว่า แก้หรือร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย”
ยกตัวอย่างเช่น มองไปที่เครื่องบิน แล้วถามว่า นี่คือรูปธรรมหรือนามธรรม คนอ่อนประสบการณ์แบบคนหนุ่มนักเรียนนอก เขาก็ตอบว่า รูปธรรมกันทุกคน ดูเหมือนว่าจะถูกสำหรับการมองแบบผิวเผิน แต่จริงๆ แล้ว หากเรามองเครื่องบินด้วยปัญญา มองอย่างโยนิโสมนสิการ คือมองพิจารณาสืบสาวไปหาเหตุ เราก็จะรู้ว่า เครื่องบินเป็นผลของความคิดหรือนามธรรม ดังนั้นเครื่องบินจึงเป็นทั้งกระบวนการของนามธรรมคือจิต (คิด ออกแบบ วางแผน) และรูปธรรม (คือการลงมือผลิต ให้สำเร็จ)
ก็เหมือนกับที่นักเรียนนอกที่ขาดการเรียนธรรมะอย่างลึกซึ้ง ขาดประสบการณ์ไปเห็นกฎรัฐธรรมนูญ ไปอ่าน แล้วก็เลียนแบบเอามาใช้เป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญบังคับคนไทย ซึ่งเป็นเพียงเปลือกนอกและเป็นเพียงวิธีการ แต่พวกเขาไม่ได้มองทะลุไปเห็นเนื้อใน แก่นแท้คือหลักการปกครอง หรือตัวระบอบฯ
จุดหมายต้องมาก่อนเกิดก่อนวิธีการไปสู่จุดหมาย ฉันใด ระบอบต้องมาก่อนรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น นี่คือความถูกต้องยิ่งใหญ่
มหาวิทยาลัยต้องเกิดก่อน ฉันใด เราจึงเข้าไปเรียนได้ ฉันนั้น
และที่ซ้ำร้ายที่สุดก็คือ จอมพล ป.ได้สร้างอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ (รูปร่างหน้าตา ความเกี่ยวข้องเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการรัฐประหาร 24 มิ.ย. 2475 รัฐธรรมนูญทั้งสิ้น ไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นประชาธิปไตยอะไรเลย) ขึ้นมาตรงใจกลางเมืองบนถนนราชดำเนิน แต่จอมพล ป. พิบูลสงครามได้ตั้งชื่อว่า อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยซึ่งทำให้ผู้ปกครองรุ่นหลัง นักวิชาการ สื่อมวลชน ผู้คนทั้งหลายต่างก็เข้าใจผิดกันอย่างร้ายแรงและแก้ไขยากที่สุดสำหรับไทยเราว่า รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย จนทำให้มวลชนนักศึกษาในอดีต พรรคเพื่อไทย มวลชนเสื้อแดง ฯลฯ ยึดเอามาเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่มันกลายเป็นเผด็จการรัฐธรรมนูญ ทุกครั้งไป
เพราะมันเป็นความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติ เป็นความเห็นผิดอย่างเหลือล้นทนเหลือหลายต่อชาติ ผลของมันคือทำลายประเทศ ทำลายประชาชนอย่างหนักหน่วงที่สุด แต่คนไทยยังหลับไหลฝันอยู่กับสื่อของรัฐบาล แล้วใครได้ประโยชน์จากการปกครองเผด็จการรัฐธรรมนูญ มันก็คือผู้ปกครองรุ่นนั้นๆ ยุคนั้นๆ เพียงหยิบมือเดียว
ดูง่ายๆ รัฐบาล ปู ใครได้คืน ขบวนการทักษิณ ได้คืนไปหมดแล้ว จากเปอร์เซ็นต์งบประมาณโดยไม่ต่ำกว่า 35%“กู้เพื่อโกง”
ดังนั้น ความเห็นที่ว่า “แก้รัฐธรรมนูญ ’50 ให้เป็นประชาธิปไตย” จึงเป็นความเห็นผิด เป็นความเห็นตามๆ กันโดยยังไม่ได้ยั้งคิด ไตร่ตรอง
พูดให้ชัดๆ อีกที เราจะไปไหนๆ จุดหมายในใจต้องเกิดขึ้นก่อน จากนั้นเราจึงตัดสินใจว่าจะใช้วิธีการใด อันแตกต่างหลากหลายเพื่อไปสู่จุดหมายนั้น เช่น เดิน วิ่ง ขี่จักรยาน รถยนต์ ฯลฯ
เราจึงเห็นได้ว่า ส่วนแรกต้องมาก่อน คือจุดหมาย ส่วนที่สองคือวิธีการไป วิธีดำเนินการ ฯลฯ อันแตกต่างหลากหลาย
จุดหมายร่วมของประชาชน คืออะไร เขาเรียกว่า หลักการปกครองโดยธรรม หรือระบอบโดยธรรม โดยสากลเขาเรียกว่า หลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย หัวใจของมันคือ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน เขาจึงเรียกระบอบประชาธิปไตย แต่มันต้องมีส่วนอื่น เช่น เสรีภาพทางความคิดและการเมือง ความเสมอภาค เป็นต้น
ระบอบประชาธิปไตยได้มาโดยการต่อสู้ของประชาชนซึ่งฝ่ายตะวันตกเขานำมาโค่นฝ่ายปกครองคือกษัตริย์หรือสู้กับพวกอาณานิคมล่าเมืองขึ้นกดขี่ หรือกษัตริย์เป็นผู้มอบให้เสียเองเช่นในประเทศเสรีภาพ
บางประเทศระบอบประชาธิปไตยอยู่ในใจประชาชนอันเกิดมาจากการต่อสู้เรียกร้องเช่น เสมอภาค เสรีภาพ ฯลฯ แต่ประเทศไทยไม่เคยเรียกสิ่งเหล่านี้เลย เรียกร้อง รัฐธรรมนูญเพราะถูกสอนให้เข้าใจว่ารัฐธรรมนูญระบอบประชาธิปไตย เราจึงเห็นการเรียกร้องแต่รัฐธรรมนูญ ฝ่ายรัฐประหารก็ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ รัฐบาลจากการเลือกตั้งไม่แก้ไขก็ร่างธรรมนูญเช่นกัน โดยไม่สนใจเรื่องจุดหมายร่วมของปวงชนหรือระบอบหรือหลักการปกครองโดยธรรม
เมื่อหลักการปกครองประชาธิปไตยโดยธรรมมันไม่มี หรือจุดหมายร่วมมันไม่มี หรือระบอบประชาธิปไตยมันไม่มี มันมีแต่กฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นวิธีการการปกครองเพียงฝ่ายเดียว ถึงจะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญแต่ละมาตราเป็นประชาธิปไตยสุดๆ อ่านแล้วดีที่สุด แต่ก็ไม่สามารถได้ระบอบประชาธิปไตยจากกฎหมายรัฐธรรมนูญ
ดังนั้นจึงพูดได้ว่า “คุณมีแต่วิธีการไป แต่ไม่มีจุดหมาย มันจึงล้มเหลวทุกครั้งไป”
มันล้มเหลวมาตั้งแต่กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับแรกแล้ว แล้วก็ล้มเหลวตามๆ กัน ก็ เพราะความคิดที่ว่า “รัฐธรรมนูญไม่เป็นประชาธิปไตย” ทำรัฐประหารเพื่อนร่างใหม่ เพื่อให้เป็นประชาธิปไตย รัฐบาลจากการเลือกตั้งก็ไม่พอใจ กฎหมายรัฐธรรมนูญอันเป็นผลพวงของรัฐประหารหาว่าเป็นเผด็จการ ก็จะร่างใหม่ หรือแก้ไข “แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” เราซึ่งย้ำด้วยชีวิตว่า ทั้งการแก้ และยกร่างใหม่สักร้อยครั้ง พันฉบับ มันก็ไม่มีวัน ไม่มีทางที่จะได้ระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้น เพราะมันคิดผิด จัดความสัมพันธ์ผิดอย่างร้ายแรงที่เอากฎหมายมาเป็นระบอบประชาธิปไตยหรือเอากฎหมายรัฐธรรมนูญไปสร้างระบอบประชาธิปไตย มันจะมีแต่ความหลอกลวงประชาชน
หากจะเปรียบเทียบ คนคือระบอบฯ เสื้อผ้าคือกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่ผู้ปกครองไทยผ่านมา 80 ปี ไม่รู้จักว่าระบอบประชาธิปไตยคืออะไร ได้แต่ยึดเอารูปแบบและวิธีการ เช่น รูปการปกครองระบบรัฐสภา แล้วก็บอกว่านี่คือระบอบประชาธิปไตย มีการเลือกตั้งแบบบังคับ ซึ่งเป็นวิธีการอย่างหนึ่งในการสรรหาคน แต่ในไทยได้เสียงข้างมากโดยการซื้อเอา ก็บอกว่า “ฉันมาจากระบอบประชาธิปไตย” ซึ่งสอนกันมาอย่างผิดๆ เลยทำให้คนไทยไม่รู้จักระบอบฯ หรือหลักการปกครองประชาธิปไตยหรือจุดหมายร่วมของปวงชนที่แท้จริง
อุปมา วัดพระแก้วคือระบอบประชาธิปไตยหนทาง วิธีการไปวัดพระแก้วคือกฎหมายรัฐธรรมนูญ ในแต่ละหมวดก็จะบอกวิธีการของสถาบันพระมหากษัตริย์ วิธีการของฝ่ายนิติบัญญัติ วิธีการของฝ่ายบริหาร วิธีการของศาล วิธีการของประชาชนแต่ละสาขาอาชีพ แตกต่างหลากหลายแต่ก็ไปสู่จุดหมายเดียวกันคือวัดพระแก้ว
ดังนั้นการต่อสู้ทางความคิด สร้างสรรค์ปัญญา ไม่ใช่มอบเมาประชาชน ไม่ทำตนเป็นอาชญากรทางปัญญา เราก็ต้องมาร่วมกันสร้าง ผลักดันการสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม ที่คิดมาอย่างดีแล้ว นั้นก็คือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 อันได้แก่ ดูจากภาพ เป็นสัมพันธภาพที่ถูกต้อง คือ ปัญญาชน ประชาชนร่วมมือกับทุกฝ่าย เพราะเราเป็นคนไทยด้วยกัน จะมีแต่ขาดปัญญา มีความเห็นผิด ก็อย่าดันทุรัง กลับมาศึกษา แล้วร่วมกันผลักดัน ช่วยกันนำเสนอในสิ่งที่ถูกต้อง ขอเพียงอย่าเป็นอาชญากรทางปัญญา เราขอยืนยันว่า ฝ่ายแก้ไข และร่างใหม่ก็ไม่ถูกต้อง เพราะความเห็นผิดมันถูกทำให้มีมากขึ้น ฝ่ายต่อต้านก็ต่อต้านเพื่อรักษาความผิดให้ครอบงำ ความจัญไรของชาติให้ยาวนานที่สุด
ในทางที่ถูกคือร่วมมือร่วมใจกันให้ความรู้ ร่วมมือกันผลักดันเพื่อให้มีการสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9
นี่คือสัมพันธภาพของการเมืองการปกครองธรรมาธิปไตย ที่ยิ่งใหญ่ของชาติ
ในประเทศที่เขาแก้ไขรัฐธรรมนูญ เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น อเมริกา เขาแก้รัฐธรรมนูญภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ของเขามีสองส่วนกลมกลืนกันคือ ฝ่ายหลักการปกครองกับฝ่ายวิธีการปกครอง (กฎหมายรัฐธรรมนูญ) อย่างนี้จะแก้เท่าไรกี่ครั้งก็แก้ได้
แต่ประเทศไทย ระบอบประชาธิปไตยจริงๆ ไม่มี มีแต่วิธีการปกครองคือกฎหมายรัฐธรรมนูญ เมื่อแก้ไปก็เท่ากับให้ประโยชน์แก่ฝ่ายที่แก้ แก้เพื่อประโยชน์ของพวกตน
ฝ่ายต่อต้าน หากต่อต้านรัฐบาล ต่อต้านการแก้รัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว มันก็เห็นผิดกันทั้งสองฝ่าย เพราะพวกเขาทั้งประชาธิปัตย์และเพื่อไทยและพรรคการเมืองอื่นๆ ฝ่ายรัฐประหาร 14 ครั้งก็ล้วนเป็นพวกลัทธิรัฐธรรมนูญด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ยึดวิธีการต่างกัน ฝ่ายหนึ่งจะพาประชาชนไปรถไฟความเร็วสูง ฝ่ายหนึ่งจะไปรถยนต์ แต่ทั้งสองฝ่ายพาไปตกเหวทั้งคู่ ฝ่ายรัฐประหารเห็นว่า กูทนไม่ได้แล้วโว้ย มันโกงชาติกันเหลือเกิน ได้อำนาจมาแล้วก็ไปร่างรัฐธรรมนูญเหมือนเดิม นี่คือขบวนการลัทธิรัฐธรรมนูญ ที่มันเห็นกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นระบอบประชาธิปไตย ร่างกันมา 18 ครั้ง แก้ไขนับไม่ถ้วน ก็ไม่เคยได้ระบอบประชาธิปไตย แล้วจะไปแก้ไขรัฐธรรมนูญ ’50 ให้เป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร ก็ในเมื่อทั้งขบวนมีความเห็นผิดร้ายแรงต่อชาติ
เว้นแต่ว่า หน้ากากขาว พลังมวลชนต่างๆ มียุทธวิธีโค่นรัฐบาลเพื่อสู่ยุทธศาสตร์คือผลักดันการสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ก็จะไม่ตกเป็นเครื่องมือให้พรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคใด จะไม่ตกเป็นกำลังทางยุทธวิธีให้กับพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคอื่นๆ
แล้วพวกเราปัญญาชนคนรักชาติด้วยปัญญาทั้งหลายก็จะได้ร่วมมือกันแก้ไขตรงเหตุแห่งวิกฤตชาติ ด้วยความรัก ภักดี เชิดชู ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 คือจิตและเศรษฐกิจพอเพียงคือกาย ดังนี้ ประเทศไทยก็จะเป็นหนึ่งยิ่งใหญ่ของโลก