ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เหมือนระเบิดนิวเคลียร์ตกลงที่พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันดีคืนดี นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแลพื้นที่ภาคกลาง ออกมาโพสต์ข้อความลงในทวิตเตอร์ส่วนตัวเสนอแนวทางปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ เพราะแต่ละสิ่งที่สื่อออกไปนั้นเรียกว่าแทงใจดำทำเอาคนในพรรคด้วยกันเองสะดุ้งเป็นผึ้งแตกรังกันเลยทีเดียว
ทั้งนี้ เนื้อหาสาระใจความสำคัญที่นายอลงกรณ์ ระเบิดออกมานั้นก็คือ เสนอให้มีการปฏิรูปพรรคอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม คือ 1. ปฏิรูปโครงสร้าง 2. ปฏิรูปการบริหารจัดการ 3. ปฏิรูปวัฒนธรรมองค์กรและบุคคลากร เพราะหลังจากชนะในการเลือกตั้งทั่วไปเดือน ก.ย. 2535 พรรคประชาธิปัตย์ก็พ่ายแพ้มาตลอด 21 ปี
อย่างไรก็ดี สิ่งที่นายอลงกรณ์ระบุต้องบอกว่าไม่ได้ต่างจากสภาพความจริงที่พรรคประชาธิปัตย์ที่ประสบอยู่ภายในขณะนี้เลยแม้แต่น้อย เพราะความพ่ายแพ้ตลอด 21 ปีที่ผ่านมา ภายหลังชัยชนะครั้งสุดท้ายในการเลือกตั้งทั่วไป เดือนกันยายน 2535 เป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนยิ่งที่ พรรคประชาธิปัตย์ จำต้องปฏิรูปพรรคอย่างจริงจังและทำอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นอีก 2 ปีข้างหน้า เมื่อถึงการเลือกตั้งทั่วไป อาจต้องพบความพ่ายแพ้ที่ถูกทิ้งห่างอย่างยับเยินจากพรรคเพื่อไทยมากยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุดังกล่าว ข้อเสนอของนายอลงกรณ์ ที่ให้ปฏิรูปโครงสร้างและระบบการบริหารจัดการ ปฏิรูปวัฒนธรรมองค์กร และปฏิรูปบุคลากร จึงน่าจะถูกนับไปพิจารณาและรับฟังไม่มากก็น้อย
ขณะเดียวกัน ผลของการที่นายอลงกรณ์กล้าออกมาพูดสภาพความเป็นจริงกลับถูกคนในพรรคติติงถึงความไม่เหมาะสม อาทิ นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาให้สัมภาษณ์ติติงนายอลงกรณ์ กรณีที่โพสต์ข้อความลงในทวิตเตอร์ส่วนตัวเสนอแนวทางปฏิรูปพรรค ระบุไม่เป็นประโยชน์ และควรเสนอกันภายในพรรค ไม่ควรออกมาพูดข้างนอก เพราะจะทำให้สมาชิกพรรคเกิดความไม่สบายใจ
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้ว ต้องบอกว่า สถานการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ไม่สู้ดีนัก ยิ่งถ้าไล่เรียงก็จะพบว่ายาวเป็นหางว่าวเลยทีเดียว ที่ทำให้พรรคสะสมปัญหาพอกหางหมูจนเรื้อรังมาจนทุกวันนี้และเป็นเนื้อร้ายต่อพรรคเองในอนาคตอีกด้วย
ทั้งนี้ ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พรรคประชาธิปัตย์ต้องยอมรับกันเสียทีว่าควรจะเลิกระบบระเบียบเก่าแก่โบราณได้แล้ว ประชาธิปัตย์ต้องยอมรับว่า ยังยึดติดกับผู้ใหญ่ของพรรคมากเกินไป มิใช่ว่าคำพูดของใครคนใดคนหนึ่งต้องเป็นประกาศิตเสมอไป แสดงให้เห็นถึงความเปิดกว้างทางความคิดอีกทางหนึ่งด้วยซ้ำ
นี่คือจุดอ่อนที่พรรคประชาธิปัตย์จะต้องแก้ไขโดยด่วน และสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ควรทำก็คือยอมรับและกล้าที่จะให้ประชาชนทั่วไปเห็น ไม่ใช่เอะอะก็มาปกปิดและอ้างว่าเป็นเรื่องภายในพรรค ยังยึดติดกับกรอบเดิมๆ เปิดพื้นที่ให้คนอื่นรับรู้ถึงปัญหาและรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นนอกพรรครวมไปถึงสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เองด้วยซ้ำ
นอกจากนั้น จุดอ่อนอีกประการหนึ่งคือ การตกหล่มความคิดกับภาพลักษณ์เดิม ๆ ยามใดที่ถูกคนนอกวิพากษ์ แม้คนในจะปฏิเสธพอนานวันจึงเป็นแผ่นเสียงตกร่อง ทำให้คนหมดศรัทธาขาดความน่าเชื่อถือ อาจเพราะคนเมื่อสูงวัย ความดื้อรั้น ทะนงตน โอ้อวด หยิ่งยโส หลงกินบุญเก่า ลืมอดีต ไม่นึกถึงอนาคตของพรรคที่ไม่มีวันแก่
นอกจากนั้นอีกปัญหาที่เรื้อรังไม่แพ้กันก็คือ พรรคประชาธิปัตย์กำลังเผชิญหน้าทั้งศึกในที่ปะทุอันเนื่องมาจากความไม่พอใจการบริหารงานของผู้บริหารพรรคชุดปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าการแก้ไขตามแนวทางที่นายอลงกรณ์ระบุแทบจะเป็นไปได้ยาก เพราะแค่ปัญหาศึกในภายในพรรคที่แย่งกันชิงดีชิงเด่นเองก็ไม่ไม่ใช่น้อย แถมด้วยการแบ่งแยกกันเป็นก๊กเป็นเหล่า อาทิกลุ่มแก๊งไอติมที่อุดมไปด้วยบรรดานักเรียนนอกที่นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือจะเป็นผลัดใบคือกลุ่มอภิสิทธิ์ที่มี จรกาหน้าดำ สุเทพ เทือกสุบรรณหนุน ส่วนทศวรรษใหม่คือกลุ่มบัญญัติ บรรทัดฐานที่มีส.ส.ใต้รุ่นเก๋า เป็นทัพหลัง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งเลขาธิการพรรค เลือกแคนดิเดตผู้ว่ากทม.เพื่อลงชิงชัย ก็แทบจะเปิดศึกกันจนพรรคแทบแตกทุกครั้งไป คงไม่ต้องบอกว่าควรจะหันมาสามัคคีกันได้แล้ว เพราะเรื้อรังมานานเหลือเกิน
ยิ่งมาในยุคนี้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ไปในทางลบอย่างเห็นได้ชัดกว่าสมัยก่อนก็คือ การติดเล่นเกมน้ำลายการเมืองมากเกินไป อย่างที่นายอลงกรณ์พูด ไว้ไม่มีผิดเพี้ยนทีเดียวที่ว่า เมื่อเวลาสื่อ หรือนักวิชาการ องค์กรใดๆ วิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์ก็จะตอบโต้ทันที และสรุปว่า นั่นคือพวก พ.ต.ท.ทักษิณ จึงทำให้เสียแนวร่วมไปมาก แน่นอนเป็นสิ่งที่เห็นกันชนชินตาในยุคประชาธิปัตย์ปัจจุบันที่เน้นออกมาเล่นสำนวนการเมืองโจมตีสาดน้ำลายฝ่ายตรงข้ามแทบทุก เรื่อง จนไม่รู้ว่าอะไรคือข้อเท็จจริงที่ควรเชื่อกันแน่
ทางที่ดีก็คือพรรคประชาธิปัตย์ต้องเน้นไปเรื่องข้อมูลที่ดีกว่านี้ มิใช่ใช้แต่อารมณ์การเมืองนำ ควรจะทำการบ้านให้หนัก ในการโต้แย้งกับทางรัฐบาลพรรคเพื่อไทย อาทิ การอภิปรายในสภาไม่ว่าจะเป็นวาระปกติหรือการแถลงอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคประชาธิปัตย์ต้องยอมรับว่ายุคนี้ขาดขุนพลมือดีต่างจากสมัยก่อนแบบเทียบไม่ติด นี่คือจุดหนึ่งที่ต้องเร่งแก้ไข ต้องแสดงความเขี้ยวลากดินทางการเมืองให้กลับมาเป็นเหมือนเก่าให้ได้
อย่างไรก็ตาม อีกข้อปมหนึ่งที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์เสียแนวร่วมทางการเมืองและอาจเป็นปัญหาเรื้อรังในอนาคตที่ต้องเจออีกแน่ๆ ก็คือ ย้อนกลับไปในยุคที่พรรคประชาธิปัตย์มีโอกาสเป็นรัฐบาล แทนที่จะสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ กลับต้องเผชิญกับปัญหาสารพัดสารพันจนแทบนึกผลงานไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เลวร้ายอย่างกรณีทุจริตในโครงการไทยเข็มแข็ง เกิดการทุจริตน้ำมันปาล์ม ไม่ว่าจะเป็นเอาใจโครงการสารพัดของพรรคร่วม รัฐบาลที่เดอะห้อยร้อยยี่สิบเสนอมาโดยที่พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้แต่โอนอ่อนผ่อนตาม ทั้งๆ ที่รู้ว่าสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการทุจริต
ถามว่าสาวกพรรคประชาธิปัตย์ทราบถึงข้อนี้ดีหรือไม่
แน่นอน ต้องบอกว่ารับรู้และรับทราบดี
ขณะเดียวกัน จุดอ่อนที่ต้องเลิกแบบฉับพลันทันทีและเหมือนจะเป็นเรื่องเดียวกันกับผลงานรูปธรรมที่จับต้องไม่ได้ก็คือ ละเลิกการโฆษณาขายผีทักษิณ สร้างความกลัวได้แล้ว เพราะเป็นวิธีที่ไม่เคยหยังยืนอะไรเลย ผ่านมาไม่รู้กี่ครั้งคราพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่เคยเข็ดกับมุขหากินการเมืองในลักษณะนี้ ล่าสุดถึงแม้จะชนะการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.แบบเฉียดฉิวก็ต้องยอมรับว่า ฐานการเมืองกทม.ได้ถูกฝั่งพรรคเพื่อไทยไล่จี้กระชับพื้นที่ฐานเสียงเมืองหลวงได้ ฉะนั้นแล้วจะเป็นการดีถ้าพรรคประชาธิปัตย์แสดงผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ ในตำแหน่งผู้ว่าฯกทม.ของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ที่ต้องบอกว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่พรรคแมลงสาบจะพึงมีอยู่ขณะนี้
ส่วนจุดบอดตลอดกาลของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะต้องแก้ให้ตกก็คือ การเลือกตั้ง ซึ่งเป็นรับรู้กันดีว่าจุดบอดของพรรคประชาธิปัตย์อยู่ที่ภาคเหนือและอีสาน ซึ่งต้องตีโจทย์ตรงนี้ให้แตกให้ได้ มิเช่นนั้นแล้ว คำว่าฝ่ายค้านตลอดกาลที่พรรคเพื่อไทยถากถางไว้ก็ใช่ว่าจะเกินเลยความเป็นจริง
นอกจากนั้น ปัญหาของบุคลากร ต้องเรียกว่าควรมีการปรับปรุง รื้อกันขนานใหญ่เช่นกัน พรรคประชาธิปัตย์ต้องกล้า ที่จะปรับเปลี่ยน อะไรที่ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีก็ควรต้องปรับเปลี่ยน เบื้องต้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อาจถึงเวลาต้องลงจากเก้าอี้
นายศิริโชค โสภา นายเทพไท เสนพงศ์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต
ถามว่าบุคคลเหล่านี้ มีผลงานอะไรเป็นรูปธรรมบ้างนอกจากฝีปากคมกล้าที่เอาไว้ถากถางฝ่ายตรงข้าม ซึ่งมิได้เกิดประโยชน์อันใดเลย
สุดท้ายแล้ว เพียงไม่กี่ข้อที่ยกตัวอย่างมานี้ คนในพรรคประชาธิปัตย์ย่อมรู้ดี รวมไปถึงบรรดาสาวกที่ยังพอหูตาสว่างก็ย่อมทราบดีถึงปัญหาเนื้อร้ายภายในพรรคประชาธิปัตย์ คงจะต้องบอกว่าถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องปรับตัว แก้ไขข้อบกพร่อง สกัดจุดอ่อน เสริมจุดแข็งให้เหมาะเจาะ ทันเวลา
แต่ถ้ายังไม่สำเหนียกและเลือกแนวทางเดิมๆ อย่างที่เป็นอยู่ ก็คงไม่ต้องถามต่อว่าอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์จะเดินไปสู่จุดใด เพราะคนในพรรคก็รับรู้ถึงฝันร้ายที่ประสบอยู่กันมานมนานแล้วนั้นเอง