ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
ระยะนี้กระแสต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์และระบอบทักษิณได้เพิ่มระดับความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆและแพร่ขยายกระจายตัวออกไปกว้างขวางในทุกแวดวงของสังคมไทย การแสดงออกของการต่อต้านมีหลากหลายรูปแบบและมีการกระทำอย่างต่อเนื่อง จนทำให้รัฐบาลเกิดภาวะสั่นคลอนอย่างไม่เคยมีมาก่อน และความล่มสลายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์จะเกิดขึ้นในอีกไม่นาน
ร่องรอยของความเสื่อม ทรุด และล่มสลายของรัฐบาลเห็นได้อย่างชัดเจนจากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนโดยนิด้าโพลเมื่อเร็วๆนี้ซึ่งพบว่ามีประชาชนเพียงร้อยละ 11.83 เท่านั้นที่เชื่อมั่นว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์จะอยู่ครบสี่ปี ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์จะอยู่ไม่ครบสี่ปี
สิ่งที่เป็นสัญญาณบอกเหตุถึงภาวะความตกต่ำเสื่อมโทรมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์นับวันปรากฏออกมาด้วยความถี่บ่อยครั้งยิ่งขึ้น เช่น การตั้งใจไปทำพิธีสะเดาะเคราะห์ของนายกรัฐมนตรีถึงประเทศศรีลังกา และการคุกคามสื่อมวลชนโดยการฟ้องคุณชัย ราชวัตร นักหนังสือพิมพ์อาวุโส การแสดงความก้าวร้าว ดูถูก เหยียดหยาม ประชาชนของรองนายกรัฐมนตรี การไม่มีคนฟังเมื่อไปจัดปราศรัยที่จังหวัดเชียงรายของพรรคเพื่อไทย และการที่ประชาชนเริ่มตอบโต้การกระทำอันไร้อารยะธรรมของมวลชนเสื้อแดง ที่จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นต้น
สัญญาณบอกเหตุข้างต้นสามารถจำแนกออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก เป็นการสะท้อนถึงการเพิ่มขึ้นของภาวะจิตที่ไม่มั่นคงหรือจิตมีความแปรปรวนมากขึ้นของคนในรัฐบาล ภาวะจิตแบบนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากความรู้สึกไม่มั่นใจในความมั่นคงของอำนาจที่ตนเองมีอยู่ อันทำให้ความหวาดระแวงต่อเรื่องราวและต่อผู้คนในสังคมจึงเพิ่มมากขึ้นไปด้วย หากใครเขียนหรือพูดอะไรออกมา รัฐบาลก็มักจะโยงเข้าสู่ตนเอง ดุจวัวสันหลังหวะ หวาดระแวงยามมีวิหคบินผ่าน จึงไล่ขวิดสะเปะสะปะไปเรื่อย
ด้วยจิตที่แปรปรวน ลักษณะของอาการหวาดผวาแห่งการสูญสิ้นอำนาจจึงถูกแสดงออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในรูปของการไปทำพิธีกรรมทางไสยาศาสตร์เพื่อสะเดาะเคราะห์ การฟ้องร้องสื่อมวลชนด้วยเรื่องที่น่าขบขัน และการตอบโต้ผู้คัดค้านด้วยความก้าวร้าวและรุนแรง
สัญญาณกลุ่มที่สอง เป็นการบ่งบอกถึงการเสื่อมความนิยม อันเป็นผลมาจากความผิดหวังในผลงานของรัฐบาลโดยเฉพาะในการแก้ปัญหาค่าครองชีพ กล่าวคือรัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้สัญญากับประชาชนว่าจะ “กระชากค่าครองชีพลง” แต่สองปีผ่านไปสิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่รัฐบาลสัญญาเอาไว้ ทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งที่เคยนิยมชมชอบรัฐบาลมาก่อนรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง
จากการสำรวจของอิสานโพล ในช่วงวันที่ 1-2 มิถุนายน 2556 ที่ผ่านมา ปรากฏว่าคนอิสานซึ่งเป็นฐานคะแนนเสียงของรัฐบาลรู้สึกผิดหวังต่อผลงานเรื่องการแก้ปัญหาค่าครองชีพของรัฐบาล ในระดับผิดหวังมากถึงร้อยละ 27.8 และรู้สึกค่อนข้างผิดหวังร้อยละ 67.8 ส่วนผู้ที่รู้สึกพอใจหรือไม่ผิดหวังต่อรัฐบาลเหลือเพียงร้อยละ 4.5 เท่านั้น
แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแม้กระทั่งคนภาคอิสานซึ่งเคยให้การสนับสนุนรัฐบาลมาก่อน เมื่อถึงยามนี้ก็ยังรู้สึกเอือมระอากับการทำงานของรัฐบาล สิ่งที่ตามมาคือในอนาคตหากรัฐบาลจะจัดชุมนุมโดยเกณฑ์คนอิสานมาสนับสนุนตนเองดูจะทำได้ไม่ง่ายเหมือนดงในอดีตแล้ว และมีความเป็นไปได้สูงที่อาจจะส่งผลไปถึงการเลือกตั้งในอนาคตด้วย
สำหรับความรู้สึกของประชาชนในภาคเหนือแม้ว่าไม่มีการสำรวจอย่างเป็นระบบเหมือนภาคอิสาน แต่ปรากฏการณ์ของการที่มีประชาชนเข้าฟังการปราศรัยของพรรคเพื่อไทยที่จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2556 ซึ่งมีเพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น นับว่าเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงการเสื่อมถอยของความนิยมของประชาชนต่อรัฐบาลอย่างชัดเจน
หากพิจารณาแบบแผนของผู้เข้าร่วมฟังการปราศรัยของแกนนำเสื้อแดงพรรคเพื่อไทย ตามข่าวระบุว่าในช่วงแรกมีผู้เข้าร่วมลงชื่อเข้าฟังถึง 3-4 พันคน โดยการเกณฑ์ชาวบ้านจากหลายๆหมู่บ้านๆละ 20 คน แต่หลังจากลงชื่อ ชาวบ้านทยอยเดินทางกลับจนหอประชุมแทบร้างเหลือผู้ฟังเพียงประมาณร้อยกว่าคนเท่านั้น
การที่ชาวบ้านไม่ยอมทนฟังการปราศรัยของแกนนำเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย แสดงว่าการที่พวกเขามาร่วมลงชื่อในตอนแรกนั้น พวกเขาทำด้วยเหตุผลแบบหนึ่ง แน่นอนว่าเป็นคนละเหตุผลกับพรรคเพื่อไทย เมื่อพวกเขาบรรลุวัตถุประสงค์หลังจากลงชื่อเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ไร้แรงจูงใจใดๆที่จะอยู่ฟังคำปราศรัยที่พวกเขาไม่สนใจหรือไม่ให้คุณค่าใดๆให้เสียเวลาต่อไปอีก พวกเขาจึงทยอยกันเดินทางกลับออกไปทิ้งให้แกนนำเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยพูดกันเอง ฟังกันเอง อย่างว้าเหว่วังเวง
สำหรับสัญญาณกลุ่มที่สามมีนัยถึงความกล้าหาญของประชาชนในการตอบโต้ต่อความป่าเถื่อนและไร้อารยะธรรมของมวลชนเสื้อแดง โดยปกติประชาชนบางส่วนอาจมีความรู้สึกเกรงกลัวปนรังเกียจต่อพวกเสื้อแดงอยู่บ้าง เพราะคนเหล่านี้ประกอบไปด้วยกลุ่มอันธพาลหรืออาชญากรที่นิยมใช้ความรุนแรง เช่น กลุ่มเสื้อดำ หรือกลุ่มการ์ดเสื้อแดงอย่างนายศรชัย ศรีดี หรือจ่ายักษ์เล็ก อันเป็นผู้ต้องหาคดีสังหารนายบุญจริง พินิจ เป็นต้น
กลุ่มเสื้อแดงมีความเหิมเกริมและมักแสดงพฤติกรรมระรานผู้คนในสังคมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพราะว่ากลุ่มคนเหล่านี้มีนิสัยนิยมความรุนแรงอันเป็นพื้นฐานดั้งเดิมของตนเองเป็นทุนอยู่แล้ว เมื่อมาอยู่รวมเป็นกลุ่มซึ่งประกอบด้วยบุคคลที่พื้นฐานนิสัยเหมือนกันก็เท่ากับเป็นการเสริมพลังด้านลบให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ดังนั้นก็ยิ่งทำให้ระดับความเข้มข้นของพฤติกรรมรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ผนวกกับการได้รับการสนับสนุนให้ท้ายจากรัฐบาล ส.ส.พรรครัฐบาล และตำรวจ ซึ่งทำหน้าที่เป็นเกราะคุ้มกันอันธพาลเหล่านั้น พวกอันธพาลเสื้อแดงจึงมีแนวโน้มก่ออาชญากรรมได้อย่างเสรีโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมืองแม้แต่น้อย
แต่ในที่สุดประชาชนพลเมืองในสังคมก็ไม่สามารถทนกับพฤติกรรมของอันธพาลเสื้อแดงได้อีกต่อไป พวกเขาจึงลุกขึ้นมาใช้ความกล้าหาญตอบโต้กับพฤติกรรมที่ป่าเถื่อนของเสื้อแดง เมื่อก่อนหากเสื้อแดงมาระรานทุกคนอาจจะเงียบ แต่วันนี้ไม่ใช่อีกต่อไป ประชาชนได้ร่วมกันขับไล่เหล่าอันธพาลจนแตกกระเจิงไปหลายครั้งหลายคราว
ประชาชนจำนวนมากในหลายกลุ่ม หลายวัย หลายอาชีพ หลายระดับ หลายชนชั้น บัดนี้ได้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจรัฐเผด็จการที่ใช้ประชาธิปไตยสามานย์บังหน้าและใช้มวลชนไว้ข่มขู่ผู้คนอย่างกล้าหาญและไม่ยอมจำนนอีกต่อไป โดยพวกเขาใช้หน้ากากขาวเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้
สังคมไทยในยามนี้ กลางปีพุทธศักราช 2556 จึงเป็นสังคมที่บรรดาประชาชนผู้กล้าหาญได้แสดงตัวออกมาชัดเจนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แนวรบของการต่อสู้ขยายออกไปทุกปริมณฑลของสังคม ทั้งการต่อสู้ในอินเตอร์เน็ท การต่อสู้ในเวทีต่างประเทศ การต่อสู้ในพื้นที่ใจกลางเมืองหลวงและหัวเมืองต่างๆ การต่อสู้ในโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม หนังสือพิมพ์ และสื่อมวลชนกระแสหลัก เป็นต้น
รูปแบบการต่อสู้ได้มีการพัฒนาที่หลายหลายมากขึ้น มีความเป็นพลวัตร ยืดหยุ่นตามสถานการณ์และบริบท ซึ่งทำให้พลังการต่อสู้สามารถส่งต่อและดำรงอยู่อย่างสืบเนื่องได้มากและนานขึ้น และในที่สุดพลังการต่อสู้ของประชาชนจะสะสมกระแสและมวลแห่งพลังมากขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยเหตุนี้เราจึงอาจจะเห็นปรากฏการณ์ “สยามสปริง” ซึ่งจะกวาดเอา รัฐบาลยิ่งลักษณ์ นักการเมืองทุนนิยมสามานย์ และสมุนอันธพาล จนล่มสลายตกเวทีประวัติศาสตร์ในอีกไม่นานเกินรอ