เวลาประมาณตีสอง เช้าตรู่ของวานนี้(6มิ.ย.) รถยนต์ของโสภณ องค์การณ์ พิธีกรฝีปากกล้า และ คอลัมนิสต์ผู้ร่ำรวยอารมณ์ขันของเอเอสทีวีซึ่งจอดอยู่ที่หน้าบ้านย่านพัฒนาการถูกคนร้ายทุบกระจกรถจนพังเสียหาย
หากดูผิวเผินเหตุที่เกิดคล้ายกับเป็นเรื่องปกติในยุคนี้ เพราะ ยุคข้าวยากหมากแพงเศรษฐกิจตกต่ำย่อมเป็นธรรมดาที่โจรผู้ร้ายจะชุกชม แต่หากมองลึกลงไป เราไม่สามารถตัดประเด็นการเมืองออกไปได้ ซึ่งนั่นหมายถึง นี่เป็นฝีมือของฝ่ายการเมืองที่ใช้ลิ่วล้อกเฬวรากออกมากระทำต่อฝ่ายตรงข้ามเพื่อหวังผลขมขู่คุกคามอีกครั้ง
ประการแรก ควรทราบว่า โสภณ เป็นหนึ่งในคอลัมนิสต์ที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะตัวของนางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อย่างหนักมาต่อเนื่อง เรียกได้ว่าเป็น “ขาประจำ” คนหนึ่งในแวดวงสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่ของตนเองอย่างเข้มแข็ง
ในบรรดาขาประจำที่ตรวจสอบการทำหน้าที่ของรัฐบาลและนายกฯยิ่งลักษณ์ ที่ผ่านมาล้วนถูกกระทำในทำนองนี้มาแล้วหลายครั้งหลายหน
กรณี นางสาวสมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ที่วิจารณ์นางสาวยิ่งลักษณ์ และ ปะทะคารมกับ “ขี้ข้าทักษิณ” เฉลิม อยู่บำรุง ซึ่งถูกลิ่วล้อรัฐบาลแกนนำคนเสื้อแดงเพชรบุรีขู่ฆ่า
กรณีของ “ชัย ราชวัตร” นักเขียนการ์ตูนชื่อดัง ตำนาน“ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน” ของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เจ้าของวลีฮิต “โปรดเข้าใจ กะหรี่แค่เร่ขายตัวแต่หญิงชั่วเที่ยวเร่ขายชาติ” ถูกอำนาจรัฐจัดการกดดันคุกคามทั้งใต้ดินบนดิน ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจน
ประการที่สอง เหตุคนร้ายทุบรถของโสภณครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกแต่เป็นครั้งที่ 4 แล้ว ครั้งล่าสุดมีข้อที่น่าสงสัยยิ่ง เพราะ คนร้ายไม่ได้หยิบฉวยข้าวของมีค่าภายในรถแม้แต่บาทเดียว และ เป็นรถยนต์เพียงคันเดียวในหมู่บ้านที่โดนทุบ ทั้งที่จอดเรียงรายกันอยู่หลายคัน
หากเป็นการโจรกรรมชิงทรัพย์ของมิจฉาชีพมากหรือน้อยต้องมีของติดไม้ติดมือบ้าง
พฤติการณ์ที่ทำจึงผิดวิสัยของโจร!
เบื้องต้นเจ้าตัวไม่ประสงค์จะแจ้งความ แถมยังให้สัมภาษณ์นักข่าวอย่างมีอารมณ์ขันตามสไตล์ว่า ถ้าแจ้งความไม่แคล้วจะได้คำตอบจากตำรวจว่า สาเหตุน่าจะมาจากเรื่องชู้สาว หรือ โยงใยอะไรไปเรื่อยเปื่อย
สิ่งที่โสภณบอกฟังดูขำขำ แต่ความเป็นจริงเมื่อย้อนดูการทำงานของตำรวจจะขำไม่ออก
การข่มขู่คุกคามสื่อจากอิทธิพลมืดหลายครั้งที่ผ่านมาโดยเฉพาะ ASTVผู้จัดการ ซึ่งโดนมาแล้วสารพัดรูปแบบ หลากหลายวิธีการ ทั้งส่งชายฉกรรจ์มากระทืบ รปภ. ปาระเบิดเข้าบ้านพระอาทิตย์ ยิงเอ็ม 79 เข้าใส่อาคารบ้านเจ้าพระยา กระทั่งจัดทีมฆ่าสนธิ ลิ้มทองกุล รัวยิงกว่า 200 นัดแต่ไม่ตาย ล่าสุดส่งคนมาลอบยิงรถข่าว
กล่าวได้ว่า สื่อในเครือ ASTVผู้จัดการ เป็นสื่อเดียวที่ถูกคุกคามข่มขู่มากที่สุดแล้ว
ทุกคดีตำรวจไม่เคยจับใคร หรือ ไอ้ปื๊ดหน้าไหนได้!
ยิ่งในยุคของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ตำรวจที่ “มีวันนี้ เพราะพี่ให้” ประกาศรับใช้การเมืองอย่างเต็มตัวไม่ต่างจาก"ขี้ข้าทักษิณ" เฉลิม อยู่บำรุง ลืมไปได้เลย
ทุกครั้งที่สื่อไม่ว่าค่ายไหนทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์แล้วถูกข่มขู่คุกคามแล้ว พล.ต.ท.คำรณวิทย์ไม่เคยทำให้กระจ่าง
นอกจากดองดคีไม่สืบสาวราวเรื่อง ตรงกันข้าม หากเป็นเรื่องของรัฐบาล เรื่องของนาวสาวยิ่งลักษณ์ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ จะกุลีกุจอเยี่ยงข้าทาสบริวารคนหนึ่ง ไม่รีรอจะใช้กลไกรัฐตำรวจเป็นเครื่องมือจัดการกับศัตรูรัฐบาล
เมื่อหวังอะไรไม่ได้กับตำรวจ ASTVผู้จัดการ เราได้แต่ขอความกรุณาพวกกเฬวราก ขี้ข้านักการเมืองทั้งหลายหากจะมาข่มขู่คุกคามเรา ขอให้ทิ้งนามบัตร บอกชื่อ บอกเหตุผลต่อเราสักนิด เพื่อที่จะเราได้จะทราบว่า ท่านเป็นใคร มาด้วยเรื่องอะไร
ทว่า พฤติกรรมการข่มขู่คุกคามสื่อที่เกิดขึ้นถี่ๆ โดยที่ตำรวจปล่อยเฉยนั้นก็มีข้อดีของมัน
เนื่องเพราะ สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาล และ นางสาวยิ่งลักษณ์ กำลังอยู่ในช่วงขาลงอย่างที่หลายคนวิเคราะห์ อาจจะเพราะข้อมูลหลักฐานการบริหารราชการก็ดี เศรษฐกิจปากท้องประชาชนเดือดร้อน คอร์รัปชั่น จำนำข้าว โกงเงินงบประมาณก็ดี ปรากฏผุดขึ้นตามหน้าสื่อด้วยความเป็นจริงมากขึ้น
รัฐบาลตอนนี้จึงอยู่ในภาวะที่มีจุดอ่อนให้โจมตีหลายเรื่อง อุปมาเหมือนวัวสันหลังหวะ
แตะตรงไหนก็สะดุ้งโหยง ดังที่เห็นจากอาการของบรรดาลิ่วล้อ-ขี้ข้าทักษิณ อย่างปลอดประสพ สุรัสวดี เฉลิม อยู่บำรุง เริ่มมีความอดทนต่ำ สันดานดิบเริ่มออก ทั้งกักขฬะ และ เกรี้ยวกราด กุเรื่องล้มรัฐบาล คนนั้นคนนี้อยู่เบื้องหลัง มั่วข่าวไปวันๆ
ขณะที่บรรดาลิ่วล้อทักษิณที่เคยชินกับความรุนแรง พวกที่อยู่ในเงามืด มีอำนาจรัฐแอบอิงก็อยากสร้างผลงานทำตัวปกป้องนางสาวยิ่งลักษณ์ ฟาดงวงฟาดงาใส่ฝ่ายตรงข้ามโดยไม่กลัวเกรงกฎหมาย
แต่ไม่ว่าการข่มขุ่คุกคามจะเกิดขึ้นอีกกี่ครั้งชาว ASTVผู้จัดการ ก็ไม่เคยหวาดหวั่น
ทุกๆ ครั้งที่มีเหตุร้ายกับเรา รวมทั้งกับโสภณ องค์การณ์ พิธีกรและคอลัมนิสต์ของเรา ครั้งนี้ ASTVผู้จัดการ ขอยืนยันจะทำหน้าที่ของสื่อมวลชนของตัวเองต่อไปให้ดีที่สุด
ด้วยจิตและวิญญาณของสื่อของประชาชน.
