xs
xsm
sm
md
lg

เขาว่าล้างพิษตับเป็นเรื่องหลอกลวง (ตอนจบ) : จับโกหกนักวิทยาศาสตร์ไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

เดิมผมเองคิดว่าจะจบเรื่องหัวข้อนี้ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว เพราะเหตุว่าสาระสำคัญในเรื่องนี้ที่สุดก็คือการหาคำตอบว่าเพราะเหตุใดผู้ที่เข้าหลักสูตรจำนวนมากจึงมีสุขภาพดีขึ้นได้อย่างไรด้วยผลการตรวจด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ประการที่หนึ่ง และเราควรจะมีการพัฒนาหรือมีข้อจำกัดอะไรที่ควรระวังเป็นประการที่สอง

โดยเฉพาะการ "เริ่มต้น" สำรวจการตรวจเลือดและอัลตร้าซาวด์ของผู้ที่เข้าหลักสูตรล้างพิษทั้งก่อนและหลังจำนวน 108 คนระหว่างเดือนเมษายน - พฤษภาคม 2556 โดย รองศาสตราจารย์นายแพทย์ อนัน ศรีพนัสกุล
ซึ่งสรุปได้ว่ามีคนที่มีเม็ดเลือดขาวต่ำกว่าปกติ คนที่มีเม็ดเลือดขาวชนิด Eosinophil สูงผิดปกติ เกล็ดเลือดต่ำกว่าปกติ โดยส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดมีอาการดีขึ้นหลังล้างพิษตับ และคนที่มีนิ่วในถุงน้ำดีจำนวนเกือบครึ่งหนึ่ง นิ่วในถุงน้ำดีหายไปเมื่อล้างพิษตับ และส่วนที่เหลืออีกจำนวนมากมีนิ่วที่เล็กลงหรือมีจำนวนน้อยลง และมีส่วนน้อยเท่านั้นที่มีสภาพนิ่วในถุงน้ำดีเหมือนเดิม

เมื่อมีข้อเท็จจริงปรากฏข้างต้นจึงต้องให้แพทย์อธิบายถึงเหตุผลที่ทำให้มีคนเหล่านี้และรวมถึงคนอีกจำนวนมากมีอาการเจ็บป่วยน้อยลงหรือหายจากอาการเจ็บป่วย ก็ได้อ้างอิงคำอธิบายจากแพทย์แผนปัจจุบัน 3 คน ดังนี้คือ รองศาสตราจารย์นายแพทย์ สำเริง รัตนระพี อาจารย์แพทย์จากภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, นายแพทย์ คณิณ ไตรพิพิธสิริวัฒน์ ผู้อำนวยการ Holistic Medical Center, และโดยเฉพาะอย่างยิ่งรองศาสตราจารย์นายแพทย์อนัน ศรีพนัสกุล อาจารย์แพทย์และมีประสบการณ์สูงจากการผ่าตัดตับและถุงน้ำดีจาก ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งถือว่าเป็นแพทย์ที่มีจิตใจเปิดกว้างกับแพทย์ทางเลือก ยากที่จะหาได้ในยุคนี้

แพทย์แผนปัจจุบัน 3 คน ต่างยืนยันตรงกันว่าการที่ใช้น้ำมันมะกอกในหลักสูตรล้างพิษตับนั้น คือการล่อ"น้ำดี"ออกมาเป็นจำนวนมากและสามารถนำพาสิ่งที่ตกค้างอยู่ในตับและถุงน้ำดีออกมาด้วยการขับถ่ายได้ นอกจากนี้ การขับ"น้ำดี" ได้ก็ยังมีประโยชน์อีกด้านเพราะ "น้ำดี"มีองค์ประกอบสำคัญคือไขมันและคอเลสเตอรอลชั้นเลว Low Density Lipoprotein (LDL) ด้วยหลักการเพียงแค่นี้ก็เป็นคำอธิบายถึงเหตุผลที่ทำให้คนที่เข้าหลักสูตรมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้แล้ว

แต่ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนว่าจะมีนักวิทยาศาตร์บางคน พยายามที่จะแสวงหาหรือจับผิดว่าการล้างพิษตับนั้นเป็นการหลอกลวง โดยใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์แบบครึ่งเดียวเอามาโจมตีการล้างพิษตับ เมื่อมีคำอธิบายหรือโต้แย้งกลับจนไม่สามารถตอบกลับได้ ก็จะเปลี่ยนไปใช้เหตุผลใหม่ พอโต้แย้งกลับในเหตุผลใหม่ได้อีก ก็จะเปลี่ยนเหตุผลใหม่ไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น

ทั้งหมดนี้ก็เพราะคนที่อวดอ้างตนว่าป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีลักษณะแบบนี้มี "อคติ" เป็นตัวตั้ง จึงได้ "ตั้งธง"เอาไว้ก่อนล่วงหน้าว่า "หลอกลวง" แล้วจึงค่อยหาเหตุผลในภายหลังเพื่อนำไปสู่ "ธงที่ได้ตั้งเอาไว้" หรือไม่ก็เปลี่ยนเหตุผลไปเรื่อยๆเมื่อถูกโต้แย้งในเหตุผลเดิมได้ ดังนั้นไม่ว่าจะมีเหตุผลมาโต้แย้งกลับอย่างไร คนเหล่านี้ที่อ้างว่าตนเองเป็นนักวิทยาศาสตร์ก็จะหาเหตุผลใหม่ไปเรื่อยๆอย่างไม่มีสิ้นสุดอยู่ดี

ที่จริงการโต้แย้งถกเถียงในทางวิชาการถือเป็นเรื่องปกติทั้งในประเทศและในต่างประเทศ เพราะเท่ากับผู้อ่านได้รับประโยชน์อย่างยิ่งในการชี้แจงแสดงเหตุผลจากทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าเลยขอบเขตเป็นการใช้ "อคติ" จนถึงขั้นให้ "ข้อมูลเท็จ"ในการโต้แย้งกันในทางสาธารณะนั้น ก็ถือได้ว่าเป็นการ "หาเรื่อง" ซึ่งไม่มีราคาพอที่จะเสียเวลาไปโต้แย้งด้วย

ลองคิดดูเอาเองว่า คนๆเดียวกันที่อ้างว่าตนเองเป็นนักวิทยาศาสตร์เริ่มต้นตั้งหัวข้อว่า การล้างตับด้วยน้ำมันมะกอกเป็นเรื่องหลอกลวง หรือนิ่วไม่สามารถออกมาได้ด้วยวิธีการนี้...

แต่พอมีคนโต้แย้งว่าการตั้งหัวข้อนี้ไม่เป็นความจริง เพราะมีคนจำนวนมากมีผลทางการแพทย์ตรวจสอบว่าดีขึ้น หรือนิ่วในถุงน้ำดีหายไปได้จริงโดยไม่ต้องอาศัยการผ่าตัด คนที่อ้างว่าตนเองเป็นนักวิทยาศาสตร์คนเดียวกันก็กลับมาเฉไฉ "ลดขอบเขต" เนื้อหาการโต้แย้งในการตั้งหัวข้อจากการล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอกเป็นเรื่องหลอกลวง เหลือเพียง "ก้อนสีเขียว" ที่ออกมานั้น ไม่ใช่ "นิ่ว" แต่เกิดจากสิ่งที่เราดื่มเข้าไป และเกิดปฏิกิริยา "สบู่ก้อน" ซึ่งเกิดมาจาก "น้ำดี" ที่ทำปฏิกิริยากับ "น้ำมันมะกอก" โดยอ้างอิงว่าเป็นปฏิกิริยา "สบู่ก้อน" ที่ได้จาก "โซเดียมไฮดรอกไซด์" (NaOH) ใน "น้ำดี" ทำปฏิกิริยากับ "น้ำมันมะกอก"

พอมีคนโต้แย้งว่าน้ำดีมีค่าความเป็นด่างอ่อนๆเพียงแค่ ค่า pH ประมาณ 7.5 - 8.8 เท่านั้น ไม่สามารถจะเทียบกับ โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) ที่มีความเป็นด่างเข้มข้นสูงถึง pH 13.0 -14.0 น้ำดีจึงไม่สามารถทำให้เกิดปฏิกิริยา "สบู่ก้อน" ได้ และในทางการแพทย์พบว่าถ้าเกิดภาวะที่เป็นสบู่ก้อนได้จริงจะเกิดการขับถ่ายอย่างรวดเร็วทันทีซึ่งไม่เกิดขึ้นกับการดื่มน้ำมันมะกอกเพื่อล้างพิษตับ เชื่อหรือไม่ว่าคนที่อ้างตนเองว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์คนเดียวกันต้อง "เปลี่ยนเหตุผลใหม่"ว่า การเกิดสบู่ก้อนนั้นเกิดจาก "โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์" (KOH) ซึ่งเป็นด่างเข้มข้น ใน "น้ำมะนาว" ทำปฏิกิริยากับ "น้ำมันมะกอก" ที่เราดื่มเข้าไป


นี่คือการ "ลักไก่" ข้อมูลโดยอ้างว่าเพราะ โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ (KOH) ในมะนาวเข้มข้นมาก ผมจึงโต้แย้งว่าเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะเกิดสบู่ก้อนได้จาก "โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์" (KOH) จากน้ำมะนาว เพราะสิ่งที่การล้างพิษตับเกิดขึ้นนั้นเราดื่มน้ำมันมะกอก 1 ส่วน (ไม่ต่ำกว่า 150 ซีซี) น้ำมะนาว 1 ส่วน (ไม่ต่ำกว่า 150 ซีซี) ซึ่งในน้ำมะนาวปริมาณเท่านี้จะมีโพแทสเซียมเพียงแค่ 0.153 กรัมเท่านั้น จึงไม่สามารถทำให้เกิดสบู่ก้อนได้ เพราะแม้แต่น้ำมะนาวอย่างเดียวในโภชนาการศาสตร์ได้จัดให้น้ำมะนาวที่ย่อยสลายแล้วออกฤทธิ์เป็นด่างอ่อนๆมีค่า pH ไม่เกิน 9.0 จึงย่อมไม่สามารถทำให้เกิดสบู่ก้อนได้อีกเช่นกัน

ซึ่งความเป็นจริงแล้วในการทำสบู่ก้อนได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับค่า Saponification number หรือค่า Saponification Value คือจำนวนมิลลิกรัมของด่าง ที่ใช้ในทำปฏิกริยากับไขมันหรือน้ำมันจำนวน 1 กรัมแล้วเกิดเป็นสบู่อย่างสมบูรณ์ จำนวนด่างเข้มข้นที่ใช้ ขึ้นอยู่กับจำนวนและชนิดไขมัน เช่น ถ้าอยากทำสบู่ก้อนจากน้ำมันมะกอก 150 กรัม ต้องใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ pH 13 จำนวน 20.1 กรัมขึ้นไป หรือใช้ โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ที่เป็นด่างเข้มข้น pH 13.5 จำนวน 27.6 กรัมขึ้นไป ซึ่งด่างเข้มข้นสูงขนาดนี้ จะเกิดขึ้นในในร่างกายเราไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเกิดจากการดื่มหรือน้ำดีของเราก็ตาม

ถึงแม้จะมีคนท้วงติงว่าสิ่งที่ผมได้ทดลองไปในตอนที่ 2 นั้น ขาดการทำให้ไขมันในน้ำมันมะกอกแตกตัวด้วยการใส่เอนไซม์ไลเปสเป็นกรดโอเลอิกเสียก่อน ซึ่งผมก็ขอน้อมรับเอาไว้พิจารณา ผมจึงได้ตัดสินใจปรับปรุงทำซ้ำอีกรอบ ด้วยการใส่น้ำมันมะกอก 150 ซีซี ผสมมะนาว 150 ซีซี (ตามสัดส่วนที่หลักสูตรนี้ดื่มจริง) แล้วใส่ยา คอมบีซีมย์ 2 เม็ด (ตามจำนวนที่ยานี้สามารถรับประทานได้ต่อมื้อ) ซึ่งจะมีเอนไซม์ไลเปสรวมอยู่ด้วย แล้วจากนั้นจึงผสมโซเดียมไฮดรอกไซด์ที่เจือจางในน้ำแล้วจนมีค่า pH 9.0 (ซึ่งสูงกว่าภาวะด่างเข้มข้นสุดของน้ำดีเล็กน้อย) ผลก็จะปรากฏว่าไม่สามารถเกิดสบู่ก้อนได้อยู่ดี (ตามภาพที่ 1)
<b>ภาพที่ 1</b> ส่วนผสมจริงที่ดื่มเข้าไปในการล้างพิษตับ น้ำมันมะกอก 150 ซีซี + น้ำมะนาว 150 ซีซี แล้วใส่ยาคอมบีซีย์ 2 เม็ด (แทนเอนไซม์ไลเปส) + โซเดียมไฮดรอกไซด์เจือจางจน pH ได้ 9.0 (ใกล้เคียงน้ำดี) ไม่สามารถเกิดก้อนสบู่ได้แต่ประการใด
แต่เมื่อเรื่องดังกล่าวได้รับการพิสูจน์แล้ว ผลปรากฏว่านักวิทยาศาสตร์คนเดิมก็"เปลี่ยนเหตุผลใหม่" ล่าสุด โดยอ้างว่าก้อนสีเขียวดังกล่าวเกิดการทำปฏิกิริยาระหว่าง "ดีเกลือ" ที่เรียกว่า "แมกนีเซียมซัลเฟต" (MgSO4) กับ "น้ำมันมะกอก" โดยอ้างมั่วๆว่า "แมกนีเซียมซัลเฟต" (MgSO4) กลายเป็นแหล่ง"แมกนีเซียม" (Mg) ทำให้เกิด "แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์" (Mg(OH)2) ที่ทำปฏิกิริยากับ "น้ำมันมะกอก"

โดยสิ่งที่คนที่อวดอ้างตัวเองว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์คนเดียวกันนี้ได้ลงมือทำก็คือ เอาน้ำมันมะกอก และ น้ำมะนาว แบบไม่ได้ตวงแต่กะเอา จากนั้นก็ใส่ยาคอมบีซีมย์ 2 เม็ด (เพื่อแทนเอนไซม์ไลเปส) จากนั้นเขาก็ "ลักไก่"เติมสิ่งที่เรียกว่า "นมแมกนีเซีย" ซึ่งเป็นสารละลายที่มีองค์ประกอบของแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ "โดยแอบอ้างว่าเอามาแทนดีเกลือ (แมกนีเซียมซัลเฟต) แล้วตีขลุมว่า "นมแมกนีเซีย มีค่า pH ประมาณ 9.0 ใกล้เคียงกับน้ำดี" ผลปรากฏว่าได้เกิดภาพเหมือนของแข็งเกิดขึ้น (ตามภาพที่ 2)
<b>ภาพที่ 2</b>  การทดลองของนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งแอบอ้างว่าก้อนที่เกิดจากการล้างพิษตับเกิดปฏิกิริยาคล้ายนมแมกนีเซีย (อ้างว่าแทนดีเกลือ) ภาพซ้ายมือ + น้ำมันมะกอก + ยาคมบีซีมย์ 2 เม็ด (แทนเอนไซม์ไลเปส) + น้ำมะนาว จึงทำให้เกิดก้อนของแข็งตามภาพขวามือ
ที่ผมประหลาดใจก็เพราะไม่รู้เขาคิดได้อย่างไรว่าการเกิดก้อนสีเขียวดังกล่าวนี้ เกิดจาก "ดีเกลือ" เพราะความจริงแล้ว วัตถุประสงค์ของการใช้ดีเกลือก็คือเพื่อให้เกิดการขับถ่ายน้ำดีและสิ่งที่ออกมาจากตับและถุงน้ำดีให้ได้มากที่สุด ด้วยเหตุผลนี้ดีเกลือจึงดื่มล่วงหน้า 2 ชั่วโมง ก่อนดื่มน้ำมันมะกอกผสมกับน้ำมะนาว แต่คนที่อ้างตัวเองว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์คนนี้กลับมีความคิดว่า ดีเกลือที่ดื่มไปล่วงหน้า 2 ชั่วโมง สามารถไปรอน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาวเพื่อทำปฏิกิริยาได้อย่างไร?

นับเป็นโชคดีที่ผมได้เขียนบันทึกเป็นบทความเอาไว้ "ล่วงหน้า" ในบทความที่มีชื่อว่า "ตามลุงจำลองไปล้างพิษตับที่ไต้หวัน" 3 ตอน ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2556 เพื่อยืนยันในข้อเท็จจริงว่า ระหว่างการทดลองไปล้างพิษตับที่ไต้หวันระหว่างวันที่ 15-19 มกราคม 2556 นั้น คณะพวกเรา 4 คนที่ทดลองล้างพิษตับไต้หวัน "ไม่ต้องดื่มดีเกลือหรือแมกนีเซียมซัลเฟตและน้ำมะนาวเลยเลย" โดยเขาใช้ผงแอปเปิ้ลผสมกับน้ำมันมะกอก เมื่อขับถ่ายแล้วก้อนสีเขียวก็ยังสามารถออกมาได้อยู่ดี

ดังนั้นการอ้างว่าก้อนดังกล่าวนี้มาจากดีเกลือ แมกนีเซียมซัลเฟต (MgSO4) หรือโปแตสเซียมไฮดรอกไซด์ (KOH)จากน้ำมะนาว ที่นักวิทยาศาสตร์คนดังกล่าวนำมาอ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอ้างว่าแมกนีเซียมซัลเฟต (MgSO4) แปลงร่างเป็นด่างเข้มข้นที่เรียกว่าแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ Mg(OH)2จนเกิดปฏิกิริยาสบู่ก้อนสีเขียวนั้น จึงเป็นเรื่องเท็จและเป็นการเดาสุ่มเท่านั้น

<b>ภาพที่ 3</b> พล.ต.จำลอง ศรีเมือง (ซ้ายมือ)  และ อ.ขวัญดิน สิงห์คำ (ขวามือ) ล้างพิษตับที่ไต้หวัน <b><u>โดยไม่ต้องดื่มดีเกลือ</u></b> ตั้งแต่เดือน มกราคม พ.ศ. 2556 ได้ผลิตภัณฑ์ก้อนไขมันสีเขียวจำนวนมากได้เหมือนกัน การอ้างเรื่องดีเกลือทำให้เกิดก้อนเหล่านี้จึงเป็นเรื่องเท็จ
แต่เรื่องที่ผมเห็นว่าคนที่อวดอ้างว่าตนเองเป็นนักวิทยาศาสตร์คนนี้ควรจะมีความรับผิดชอบมากกว่านี้ เพราะการใช้นมแมกนีเซียมาแทนน้ำดีนั้นมันไม่ได้มีแค่ค่า pH เป็นด่างเท่านั้น แต่มันยังมีอนุภาคคอลลอยด์ปนอยู่ด้วยซึ่งทำให้มีสีขาวขุ่นเหมือนนมวัว จึงไม่สามารถจะนำมาใช้แทนกันได้ ยกเว้นต้องการหวังที่จะใช้ปฏิกิริยาเคมีเพื่อทำให้อนุภาคคอลลอยด์แยกตัวจากน้ำแล้วจับตัวกันสร้างก้อนพิเศษขึ้นมาเหมือนเต้าหู้เต้าฮวยแล้วบอกว่าเป็นสบู่ไร้ฟองเพื่อสนอง"อคติ"ตัวเองเท่านั้น

"น้ำดี"
มีองค์ประกอบคือ น้ำ, คอเลสเตอรอล, ฟอสโฟลิพิลิด (Phospholipids) ส่วนใหญ่จะเป็นเลซิติน, บิลิน (Billin), เกลือน้ำดี ซึ่งถูกสร้างจากคอเลสเตอรอลโดยตับ , และไบคาร์บอเนต นมแมกนีเซียจึงไม่มีความใกล้เคียงกับน้ำดีเลยแม้แต่น้อย

แต่ก็พอจะรับฟังได้อยู่บ้างหากหวังใช้ค่าความเป็นด่างจาก "นมแมกนีเซีย" โดยคนที่อ้างว่าตัวเองเป็นนักวิทยาศาสตร์คนนี้อ้างว่านมแมกนีเซียมีค่า pH 9.0 แล้วตีขลุมลักไก่เอาว่าใกล้เคียงกับน้ำดีที่มีค่า pH ประมาณ 7.5 -8.8

แต่ในที่สุดเราก็พบว่า "นมแมกนีเซีย" ไม่ได้เป็นด่างอ่อนๆ ใกล้เคียงน้ำดีอย่างที่นักวิทยาศาสตร์คนนี้แอบอ้างเลยแม้แต่น้อย เพราะเมื่อวัดแล้วกลับพบว่า "นมแมกนีเซีย" ยี่ห้อเดียวกันนี้มีค่า pH ประมาณ 9.94 (เกือบถึง 10) แตกต่างจาก "น้ำดี" ที่มีค่า pH 7.5 - 8.8 อย่างชัดเจน (ตามภาพที่ 4)
<b>ภาพที่ 4</b> วัดค่า pH ในนมแมกนีเซียได้ 9.94 ที่เอามาทดลองเพื่อทำให้เกิดก้อนของแข็ง ไม่ได้เป็นไปตามที่นักวิทยาศาสตร์กล่าวอ้างว่าค่า pH ใกล้เคียงน้ำดีของมนุษย์ซึ่งอยู่ประมาณ 7.5 - 8.8 แต่ประการใด
หลายคนที่ไม่เข้าใจอาจคิดว่า น้ำดี ที่มีความเข้มข้นของด่างอยู่ที่ pH 7.5 - 8.8 นั้น ดูไม่ห่างจากค่าความเป็นด่างของนมแมกนีเซีย pH ที่ 9.94 สักเท่าไหร่ แต่ความจริงแล้ว มาตรวัดความเป็นกรด-ด่างระหว่าง pH 8.8 กับ pH 9.94 นั้นมีความแตกต่างกันมาก เพราะมีค่าแตกต่างความเป็นกรด-ด่างมากกว่า 10 เท่าตัว

ถ้า "น้ำดี" ในภาวะที่เป็นด่างอ่อนกว่านั้นคือ 7.5 ก็จะมีค่าความเป็นกรด-ด่างห่างจากนมแมกนีเซียไม่ต่ำกว่า 100 เท่าตัว

หลายคนอาจจะจินตนาการไม่ออก ผมจึงไปทดลองแล้วพบว่าต้องใช้ นมแมกนีเซียซึ่งมีค่า pH 9.98 ในอัตราส่วน 1 ส่วน ผสมน้ำเปล่าถึง 2,880 เท่าตัว จึงจะได้ค่า pH กลับมาเป็นด่างกว่าน้ำดีเล็กน้อยประมาณ 9.0 ไม่ใช่ไปผสมเข้มข้นขนาดนั้นเพื่อสร้างปฏิกิริยาก้อนของแข็งโดยอ้างว่าใกล้เคียงน้ำดีได้

ด้วยเหตุผลนี้ผมจึงจัดให้เพื่อทดลองตามคนที่อ้างว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์คนเดียวกันนี้ แล้วปรับใหม่ให้ค่า pH ใกล้เคียงน้ำดีจริงๆ คือใส่โดยนำน้ำมันมะกอก 150 ซีซี ผสมน้ำมะนาว 150 ซีซี ใส่ยามคอมบีซีย์ 2 เม็ด(แทนเอนไซม์ไลเปส) แล้วนำนมแมกนีเซียมาเจือจางให้ค่า pH อยู่ที่ 9.0 ใกล้เคียงน้ำดีก่อนแล้วจึงมาผสมเพิ่มเข้าไป ผลปรากฏว่าไม่สามารถเกิดสบู่ก้อนใดๆได้เช่นกัน (ภาพที่ 5)

<b>ภาพที่ 5</b> เมื่อนำมาผสมน้ำมันมะกอก 150 ซีซี  + น้ำมะนาว 150 ซีซี ที่ใส่ยาคอมบีซีย์ 2 เม็ด (แทนเอนไซม์ไลเปส) แล้วนำนมแมกนีเซียมาเจือจางให้เหลือค่าความเป็นด่างเพียง pH 9.0 (ใกล้เคียงน้ำดี) แล้ว ปรากฏว่าไม่เกิดสบู่ก้อนแต่ประการใด
ด้วยเหตุผลนี้เราจึงต้องระวังเพราะคนที่อวดอ้างว่าตัวเองเป็นนักวิทยาศาสตร์นั้น หากมี "อคติ" ครอบงำแล้ว อาจเล่นแร่แปรธาตุเพื่อสนอง "อคติ"ตัวเอง แม้บางคนเป็นถึงอาจารย์ที่สอนด้านวิทยาศาตร์ก็อาจจะผันตัวเองให้กลายเป็น "นักมายากล" หลอกประชาชนได้หากไม่รู้เท่าทัน

มาถึงขั้นตอนนี้ผมคิดว่าในหัวข้อนี้ผมได้ชี้แจงมาพอสมควรแล้ว และคิดว่าครอบคลุมในทุกประเด็นเนื้อหาว่าการล้างพิษตับหลอกลวงจริงหรือไม่ ซึ่งเพียงพอสำหรับการอ้างอิงได้ และคิดว่าหากตอบโต้กับคนที่หลอกลวงเล่นกลและกล้าใช้ข้อมูลเท็จในทางวิทยาศาสตร์ได้ และเปลี่ยนเหตุผลของตัวเองเพื่อสนองอคติตัวเองไปเรื่อยๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องที่ไร้สาระเกินกว่าที่จะเสียเวลาไปตอบโต้

ผมจึงขอจบบทความตอนนี้เพื่อก้าวต่อไปในการหาเหตุผลว่าทำไมในการล้างพิษตับที่ทำให้มีคนป่วยมีอาการดีขึ้น หรือหายเจ็บป่วยด้วยวิธีการนี้ ทั้งการรับรู้ทางกายภาพและผลตรวจทางการแพทย์ และค้นหาต่อไปว่าการทำแบบไหนจะเกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนจะก้าวต่อไปในการหาข้อระมัดระวังสำหรับการล้างพิษตับต่อไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนทั่วไปที่จะสามารถพึ่งพาตัวเองในเรื่องสุขภาพตัวเองได้มากขึ้น

ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่วิจารณญาณ หรือจะหาสบู่ต่อไปก็แล้วแต่บุญกรรมของแต่ละคนจริงๆ

ขอปิดท้ายให้ข้อคิดตามพระไตรปิฎก เล่มที่ 13 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 5 มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ได้ปรากฏพุทธโอวาท 7 คัดโดยย่อความบางตอนว่า:

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปัญหาที่เผชิญอยู่เบื้องหน้าของทุกคน คือปัญหาเรื่องทุกข์และความดับทุกข์ มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายถูกความทุกข์เสียบอยู่ทั้งทางกายและทางใจ อุปมาเหมือนผู้ถูกยิงด้วยลูกศร ซึ่งกำซาบด้วยยาพิษแล้ว ญาติมิตรเห็นเข้าเกิดความกรุณา จึงพยายามช่วยถอนลูกศรนั้น แต่บุรุษผู้โง่เขลาบอกว่าต้องไปสืบให้ได้เสียก่อนว่าใครเป็นคนยิง และยิงมาจากทิศไหน ลูกศรทำด้วยไม้อะไร แล้วจึงจะค่อยๆมาถอนลูกศรออก ภิกษุทั้งหลายบุรุษผู้นั้นจะต้องตายเสียก่อนเป็นแน่แท้"


กำลังโหลดความคิดเห็น