“The closer you look, the less you see”
...เข้ามาดูใกล้ๆ สิ เพราะยิ่งคุณคิดว่าคุณเห็นมันชัดแค่ไหน คุณก็ยิ่งถูกหลอกได้ง่ายขึ้นเท่านั้น...คือประโยคโฆษณาที่น่าเย้ายวนใจมากๆ ของหนังเรื่อง Now You See Me หรือในชื่อไทยว่า "อาชญากลปล้นโลก" ที่เข้าฉายไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
หนังเล่าถึง 4 นักมายากล 4 ความสามารถ 4 บุคลิก ประกอบไปด้วย "เจ แดเนียล แอทลาส" (เจสซี ไอเซนเบิร์ก), "เมอร์ริทท์ แม็คคินนีย์" (วู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน), "เฮนลีย์ รีฟส์" (อายล่า ฟิชเชอร์) และ "แจ็ค ไวล์เดอร์" (เดฟ ฟรังโก้) ที่มารวมตัวกันในชื่อของ "The Four Horsemen" หรือ "จุตรอาชา" ตามคำเชิญของบุคคล "ลึกลับ" ด้วยความหวังว่าตนเองจะได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรลับ "เนตรภาคี" ในตำนาน
เพียงแค่ "โชว์" ครั้งแรกที่ลาสเวกัสด้วยการส่งผู้ชมไปโขมยเงินในเซฟของธนาคารแห่งหนึ่งในประเทศฝรั่งเศสพร้อมกับเอามาโปรยให้กับคนดูที่นั่งชมการแสดงอยู่ก็ทำเอาชื่อของ The Four Horsemen โด่งดังเป็นพลุแตก
แม้จะถูกจับกุม แต่เพราะไม่มีหลักฐานที่ "พิสูจน์" ได้ว่าพวกเขาทำได้อย่างไร "อาชญากล" ทั้งสี่จึงถูกปล่อยตัวออกมาพร้อมกับการประกาศท้าทายเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าพวกเขาจะโชว์อีก 2 ครั้ง ซึ่งทุกคนที่ร่วมชมการแสดงจะได้เงินเป็นรางวัลเหมือนกับโชว์ครั้งแรกอย่างแน่นอน
ความต้องการที่จะจับนักมายากลกลุ่มนี้ให้ได้แบบคาหนังคาเขาและสืบให้รู้ให้ได้ว่าใครกันที่อยู่เบื้องหลังของนักมายากลกลุ่มนี้ทำให้เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ "ดีแลน ฮ็อบส์" (มาร์ค รัฟฟาโล่) ต้องไปขอความร่วมมือจาก "แธดดิอัส แบรดลีย์" (มอร์แกน ฟรีแมน) อดีตนักมายากลที่หันมาเอาดีด้วยการเปิดโปงทริคกลต่างๆ ตามคำแนะนำของตำรวจสาวคนสวย "อัลมา วาร์กัส" (เมลานี โลรองต์) ซึ่งแธดดิอัสเองก็ได้แฉอย่างหมดเปลือกให้เห็นว่ามายากลชุดแรกของจตุรอาชาที่เกิดขึ้นนั้นแท้จริงแล้วหาได้มาจากอิทธิฤทธิ์เวทมนต์แห่งปาฏิหาริย์แต่อย่างใด หาแต่เกิดขึ้นจากการวางแผนอย่างแยบยล
ที่สำคัญก็คือใครก็ตามที่ตกเป็น "เหยื่อ" นั้นไม่ได้มาจากการเดาสุ่มหากแต่เป็น "เป้าหมาย" ที่ถูกเลือกกำหนดไว้แล้ว
การดำเนินเรื่องของหนังค่อนข้างกระชับรวดเร็ว นอกจากจะชวนให้ลุ้นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งดูเหมือนจะเดินตามหลังอยู่ก้าวสองก้าวตลอดเวลานั้นจะจัดการกับจุตรอาชาได้หรือไม่แล้ว หนังยังทำให้คนดูอยากรู้ด้วยว่าจตุรอาชานั้นใช้เทคนิควิธีการในการก่ออาชญากลได้อย่างไร
Now You See Me จะว่าไปแล้วก็เหมือนกับดูหนังหลายๆ เรื่องผสมกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นหนังที่ห้ำหั่นกันของนักมายากลอย่าง The Prestige, หนังไล่ล่าระหว่างตำรวจกับคนร้ายอย่าง Catch Me if You Can, รวมถึงหนังปล้นตระกูล Ocean's แถมยังจบแบบหักมุมมสุดๆ ราวกับหนังผี The Sixth Sense อย่างไรอย่างนั้น
ประโยคที่ว่า...เข้ามาดูใกล้ๆ สิ เพราะยิ่งคุณคิดว่าคุณเห็นมันชัดแค่ไหน คุณก็ยิ่งถูกหลอกได้ง่ายขึ้นเท่านั้น...ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยคที่เกิดขึ้นในหนังเท่านั้น หากแต่ตัวหนังเองก็ตั้งใจจะหลอกคนดูด้วยประโยคที่ว่าเช่นกัน
โดยรวมหนังดูสนุกดีครับ เพียงแต่ถ้าถามถึงความประทับใจโดยส่วนตัวผมรู้สึกว่าน้อยไปนิด
หนังวาง "ข้อชวนคิด" เอาไว้มากมายผ่านตัวละครหลายต่อหลายตัว ตั้งแต่เจ้าหน้าที่สาวสวย "อัลมา วาร์กัส" ที่มีบุคลิกเหมือนว่าจะมีอะไรซ่อนอยู่, ตัวละครลึกลับที่ชักชวนจตุรอาชามารวมตัวกัน, นักมายากลที่เสียชีวิตอันเป็นหนึ่งในอดีตของ "แธดดิอัส แบรดลีย์" จอมแฉ รวมไปถึงตัวละครเจ้าของบริษัทประกันภัยที่ปู่ "ไมเคิล เคน" รับแสดง (หลายคนผิดหวังเพราะว่าบทน้อยไปนิด) หรือแม้กระทั่งธนาคารที่ถูกโจรกรรม ตลอดจนทริคในการแสดงทั้งโชว์ที่ 2 และ 3
...ทว่าพลันที่หนังเฉลยในตอนท้ายกลับให้ความรู้สึกที่เบาโหวงไม่เข้มข้นสะใจเอาเสียเลย
ส่วนจะเป็นเพราะอะไรนั้น ต้องลองไปดูกันเอาเองครับ
เห็นวิธีโกงที่เหนือชั้นแบบนี้แล้วก็ให้นึกไปถึงวิธีการที่พวก "แก็งค์ตกทอง" หากินที่แม่โม้ให้ฟังตอนที่ผมยังเด็กๆ ซึ่งในอดีตถือว่าเป็นการตุ๋นเหยื่อที่คลาสสิกมากๆ
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่แม่กำลังท้องผมแก่ๆ ซึ่งก็ราวๆ 37 ปีที่แล้ว
ที่ตลาดแห่งหนึ่ง หลังขายของเสร็จระหว่างที่แม่กำลังเลือกซื้อผ้าอยู่ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาทักทายพร้อมชวนพูดคุยราวกับเป็นคนที่รู้จักกัน
หลังผู้ชายคนนั้นเดินจากไปก็มีผู้หญิงวัยกลางคนแต่งตัวดูเป็นผู้ดีมีเงินเดินหน้าตาตื่นเข้ามาก่อนบอกกับแม่ผมว่าทำกระเป๋าหล่นหายตอนมาซื้อผ้าที่ร้านนี้ พร้อมถามว่าเห็นกระเป๋าหรือเห็นใครเก็บได้หรือเปล่า ถ้าเก็บได้ก็ขอคืนมาเถอะ เพราะของในกระเป๋านั้นเป็นของที่ตนเตรียมไว้เป็นของหมั้นหมายให้กับน้องชายที่กำลังจะแต่งงาน
เมื่อถูกปฏิเสธไม่รู้เห็น หญิงคนที่ว่าก็เดินคอตกจากไป ไม่นานก็มีหญิงที่แก่กว่าเดินเข้ามาบอกกับแม่ว่า..."อีหนู ยายเห็นนะคนที่เก็บกระเป๋าไป ก็ไอ้ผู้ชายที่ยืนคุยอยู่ข้างๆ เอ็งนั่นแหละ..."
"อ้าวยาย เห็นแล้วทำไมไม่บอกเจ้าของเขาไปล่ะ" แม่ผมบอก
"บอกทำไม บอกให้โง่สิ..." ยายแก่พูด (ตรงนี้แม่ย้ำว่าแกแสดงสีหน้าท่าทางได้จริงจังมาก) ก็เป็นช่วงเวลากับที่ผู้ชายคนแรกได้เดินผ่านมาพอดี ยายแก่รีบไปดึงผู้ชายคนนั้นเข้ามาทันที
"เฮ้ยไอ้หนุ่ม ตอนเอ็งยืนคุยกับอีหนูนี่ เอ็งเก็บกระเป๋าเงินสีดำๆ ที่ตกอยู่ไปใช่มั้ย ถ้าไม่บอกข้าตะโกนจริงๆ นะ..."
"ชู่วๆๆ ยายอย่าเอ็ดไป..." ชายหนุ่มทำท่าป้องปาก พลางดึงทั้งยายแก่และแม่ผมออกมา พร้อมกับโชว์ให้ดูกระเป๋าสีดำใบหนึ่ง
"ผมเองก็ไม่รู้ว่ามีอะไร เอางี้ เราไปที่อื่นแล้วเปิดดูแล้วกัน"
แม่เล่าถึงตอนนี้ก็บอกว่ารู้แล้ว่าต้องโดนหลอกแน่ๆ เพราะช่วงนั้นข่าวแก็งค์ตกทองกำลังดัง แต่ด้วยความอยากจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไร แม่เลยยอมเออออไปด้วย
ระหว่างที่กำลังเดินไปในป่าลับตาคนเพื่อที่จะดูว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋าก็บังเอิญที่ว่าต้องเดินผ่านท่าเรือที่เรือของแม่ กับลุงจอดอยู่ แม่จึงถือโอกาสขอตัวแวะเอาของที่ซื้อมาไปไว้เพราะมันพะรุงพะรัง จากนั้นทั้งสามก็พากันเดินเข้าไปในป่าละเมาะลับตาคน
พลันที่เปิดกระเป๋าออกดูปรากฏว่าในนั้นมีทองอยู่สองเส้น(ของจริงหรือปลอมไม่รู้) รวมกันแล้วก็น่าจะราวๆ 5 บาท
ชายหนุ่มกับยายแก่ทำท่าดีใจมากๆ พร้อมกับตกลงว่าจะแบ่งทองที่ว่าโดยให้แม่ผมมีส่วนร่วมด้วย แต่เพราะทองมันมีสองเส้น แถมน้ำหนักก็ไม่เท่ากัน ชายหนุ่มจึงแนะนำว่าให้เอาทองไปขายแล้วเอาเงินมาแบ่งจะง่ายกว่า พร้อมกับรับอาสาจะเอาทองไปขายเองโดยบอกว่าตนรู้จักกับคนในตลาดที่จะรับซื้อ
"เฮ้ย แบบนี้ได้ไง ถ้าเอ็งเอาทองไปเลยข้ากับอีหนูก็อดสิ ข้าเอาไปเองดีกว่า..." เสียงยายแก่พูดไม่ทันจะขาดคำชายหนุ่มก็สวนขึ้นมาทันที
"อ้าว ยาย ผมเป็นคนเก็บได้นะ ถ้าให้ยายไป แล้วยายหนีไปเลยล่ะ..."
ทั้งสองต่างก็เล่นละครเถียงกันไปมาพักนึง สุดท้ายยายแก่เลยได้ความคิดขึ้นมาโดยตกลงว่าแกกับแม่ผมจะเป็นคนเอาทองไปขายและให้ชายหนุ่มรออยู่ที่นี่
"เอางี้ ข้ามีทองอยู่บาทนึงกับเงินอีก 2 พัน ให้เอ็งเก็บเอาไว้ก่อนถ้าเอ็งกลัวว่าข้าจะหนีไป..."
"โหยายแค่นี้ไม่พอหรอก ทองที่จะเอาไปขายแพงกว่าตั้งเยอะ..." ชายหนุ่มบอก ตอนนั้นเองยายแก่จึงหันมาถามกับแม่ผม
"เอ้า อีหนูเอ็งมีเงินหรือมีอะไรติดเนื้อติดตัวมาบ้างล่ะ เอามาฝากเขาไว้ก่อน จะได้รีบเอาทองไปขายเอาเงินมาแบ่งกัน"
"โอ๊ย ไม่มีเลยยาย ซื้อของไปหมดแล้ว เนี่ย เหลือค่าเรือยี่สิบกว่าบาท..." แม่พูดพลางคลี่ชายพกผ้าถุงให้ดูเศษเหรียญ
"อ้าวแล้วสร้อยล่ะ ตอนอยู่ร้านขายผ้าเห็นใส่อยู่..." คราวนี้เป็นชายหนุ่มที่ถามขึ้นอย่างร้อนรน
"ไม่มี มีที่ไหนล่ะ..." แม่บอกพร้อมโชว์ให้ดูลำคอที่ไร้เครื่องประดับใดๆ เล่นเอาทั้งยายแก่และชายหนุ่มออกอาการงงไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบหยิบกระเป๋าที่มีทองอยู่แล้วพากันจากไปโดยไม่ได้พูดอะไรเลย
"อ้าว แล้วแม่เก็บสร้อยไปตอนไหน..." ผมถามแม่ก่อนจะได้รับคำตอบเป็นภาพ flash back เหมือนในหนังว่าตอนที่แม่เดินหันหลังเดินไปที่เรือแม่ได้แอบปลดสร้อยออกแล้วยื่นฝากไว้กับลุงพร้อมกับของที่ซื้อมาโดยที่ทั้งยายแก่กับชายหนุ่มไม่ทันสังเกตเห็นแต่อย่างไรนั่นเอง
"ดีที่มันไม่ทุบเอา แต่มันคงไม่ทำหรอก มันคงรีบ เพราะอย่างน้อยลุงส่งที่รออยู่ในเรือก็เห็นหน้ามัน มันก็คงกลัวว่าถ้าแม่หายไปนานแล้วเดี๋ยวจะมีคนมาตามอะไรหรือเปล่า..." แม่เล่าด้วยเสียงที่ฟังแล้วปลาบปลื้มใจมากๆ กับการเอาตัวรอดจากการตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์ในครั้งนั้นมาได้
สำหรับสมัยนี้ผมว่าวิธีการหากินเช่นนี้คงยากแล้วมั้งครับที่จะมีคนหลงเชื่อจนตกเป็นเหยื่อ
แต่จะให้บอกเต็มปากเต็มคำก็คงจะไม่กล้าหรอก ตราบใดที่ยังมีข่าวคนกราบจิ้งจก ไหว้ตุ๊กแก บูชาหลักกิโลฯ ให้เห็นอยู่เนืองๆ
จะว่าไปแล้วทั้งแก็งค์จตุรอาชาในหนัง Now You See Me, แก็งค์ตกทองที่แม่เล่าให้ฟัง หรือจะเป็นพวกโกงข้อสอบ-โกงเงิน ด้วยวิธีการที่สลับซับซ้อนซึ่งกลายเป็นข่าวให้เห็นนั้น ในทางกลับกันหากคนพวกนี้นำเอาความเพียรพยายาม เอาความสามารถของตนเอง เอารูปแบบการทำงานเป็นหมู่คณะด้วยความสามัคคี มีการแบ่งหน้าที่ไปตามความถนัดของแต่ละคน ไปใช้ในทางที่ดี-ที่ถูกแล้วละก็...
เชื่อว่าบ้านเรา เมืองเรา ประเทศเราคงจะเจริญได้อย่างแน่นอน
...เข้ามาดูใกล้ๆ สิ เพราะยิ่งคุณคิดว่าคุณเห็นมันชัดแค่ไหน คุณก็ยิ่งถูกหลอกได้ง่ายขึ้นเท่านั้น...คือประโยคโฆษณาที่น่าเย้ายวนใจมากๆ ของหนังเรื่อง Now You See Me หรือในชื่อไทยว่า "อาชญากลปล้นโลก" ที่เข้าฉายไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
หนังเล่าถึง 4 นักมายากล 4 ความสามารถ 4 บุคลิก ประกอบไปด้วย "เจ แดเนียล แอทลาส" (เจสซี ไอเซนเบิร์ก), "เมอร์ริทท์ แม็คคินนีย์" (วู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน), "เฮนลีย์ รีฟส์" (อายล่า ฟิชเชอร์) และ "แจ็ค ไวล์เดอร์" (เดฟ ฟรังโก้) ที่มารวมตัวกันในชื่อของ "The Four Horsemen" หรือ "จุตรอาชา" ตามคำเชิญของบุคคล "ลึกลับ" ด้วยความหวังว่าตนเองจะได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรลับ "เนตรภาคี" ในตำนาน
เพียงแค่ "โชว์" ครั้งแรกที่ลาสเวกัสด้วยการส่งผู้ชมไปโขมยเงินในเซฟของธนาคารแห่งหนึ่งในประเทศฝรั่งเศสพร้อมกับเอามาโปรยให้กับคนดูที่นั่งชมการแสดงอยู่ก็ทำเอาชื่อของ The Four Horsemen โด่งดังเป็นพลุแตก
แม้จะถูกจับกุม แต่เพราะไม่มีหลักฐานที่ "พิสูจน์" ได้ว่าพวกเขาทำได้อย่างไร "อาชญากล" ทั้งสี่จึงถูกปล่อยตัวออกมาพร้อมกับการประกาศท้าทายเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าพวกเขาจะโชว์อีก 2 ครั้ง ซึ่งทุกคนที่ร่วมชมการแสดงจะได้เงินเป็นรางวัลเหมือนกับโชว์ครั้งแรกอย่างแน่นอน
ความต้องการที่จะจับนักมายากลกลุ่มนี้ให้ได้แบบคาหนังคาเขาและสืบให้รู้ให้ได้ว่าใครกันที่อยู่เบื้องหลังของนักมายากลกลุ่มนี้ทำให้เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ "ดีแลน ฮ็อบส์" (มาร์ค รัฟฟาโล่) ต้องไปขอความร่วมมือจาก "แธดดิอัส แบรดลีย์" (มอร์แกน ฟรีแมน) อดีตนักมายากลที่หันมาเอาดีด้วยการเปิดโปงทริคกลต่างๆ ตามคำแนะนำของตำรวจสาวคนสวย "อัลมา วาร์กัส" (เมลานี โลรองต์) ซึ่งแธดดิอัสเองก็ได้แฉอย่างหมดเปลือกให้เห็นว่ามายากลชุดแรกของจตุรอาชาที่เกิดขึ้นนั้นแท้จริงแล้วหาได้มาจากอิทธิฤทธิ์เวทมนต์แห่งปาฏิหาริย์แต่อย่างใด หาแต่เกิดขึ้นจากการวางแผนอย่างแยบยล
ที่สำคัญก็คือใครก็ตามที่ตกเป็น "เหยื่อ" นั้นไม่ได้มาจากการเดาสุ่มหากแต่เป็น "เป้าหมาย" ที่ถูกเลือกกำหนดไว้แล้ว
การดำเนินเรื่องของหนังค่อนข้างกระชับรวดเร็ว นอกจากจะชวนให้ลุ้นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งดูเหมือนจะเดินตามหลังอยู่ก้าวสองก้าวตลอดเวลานั้นจะจัดการกับจุตรอาชาได้หรือไม่แล้ว หนังยังทำให้คนดูอยากรู้ด้วยว่าจตุรอาชานั้นใช้เทคนิควิธีการในการก่ออาชญากลได้อย่างไร
Now You See Me จะว่าไปแล้วก็เหมือนกับดูหนังหลายๆ เรื่องผสมกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นหนังที่ห้ำหั่นกันของนักมายากลอย่าง The Prestige, หนังไล่ล่าระหว่างตำรวจกับคนร้ายอย่าง Catch Me if You Can, รวมถึงหนังปล้นตระกูล Ocean's แถมยังจบแบบหักมุมมสุดๆ ราวกับหนังผี The Sixth Sense อย่างไรอย่างนั้น
ประโยคที่ว่า...เข้ามาดูใกล้ๆ สิ เพราะยิ่งคุณคิดว่าคุณเห็นมันชัดแค่ไหน คุณก็ยิ่งถูกหลอกได้ง่ายขึ้นเท่านั้น...ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยคที่เกิดขึ้นในหนังเท่านั้น หากแต่ตัวหนังเองก็ตั้งใจจะหลอกคนดูด้วยประโยคที่ว่าเช่นกัน
โดยรวมหนังดูสนุกดีครับ เพียงแต่ถ้าถามถึงความประทับใจโดยส่วนตัวผมรู้สึกว่าน้อยไปนิด
หนังวาง "ข้อชวนคิด" เอาไว้มากมายผ่านตัวละครหลายต่อหลายตัว ตั้งแต่เจ้าหน้าที่สาวสวย "อัลมา วาร์กัส" ที่มีบุคลิกเหมือนว่าจะมีอะไรซ่อนอยู่, ตัวละครลึกลับที่ชักชวนจตุรอาชามารวมตัวกัน, นักมายากลที่เสียชีวิตอันเป็นหนึ่งในอดีตของ "แธดดิอัส แบรดลีย์" จอมแฉ รวมไปถึงตัวละครเจ้าของบริษัทประกันภัยที่ปู่ "ไมเคิล เคน" รับแสดง (หลายคนผิดหวังเพราะว่าบทน้อยไปนิด) หรือแม้กระทั่งธนาคารที่ถูกโจรกรรม ตลอดจนทริคในการแสดงทั้งโชว์ที่ 2 และ 3
...ทว่าพลันที่หนังเฉลยในตอนท้ายกลับให้ความรู้สึกที่เบาโหวงไม่เข้มข้นสะใจเอาเสียเลย
ส่วนจะเป็นเพราะอะไรนั้น ต้องลองไปดูกันเอาเองครับ
เห็นวิธีโกงที่เหนือชั้นแบบนี้แล้วก็ให้นึกไปถึงวิธีการที่พวก "แก็งค์ตกทอง" หากินที่แม่โม้ให้ฟังตอนที่ผมยังเด็กๆ ซึ่งในอดีตถือว่าเป็นการตุ๋นเหยื่อที่คลาสสิกมากๆ
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่แม่กำลังท้องผมแก่ๆ ซึ่งก็ราวๆ 37 ปีที่แล้ว
ที่ตลาดแห่งหนึ่ง หลังขายของเสร็จระหว่างที่แม่กำลังเลือกซื้อผ้าอยู่ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาทักทายพร้อมชวนพูดคุยราวกับเป็นคนที่รู้จักกัน
หลังผู้ชายคนนั้นเดินจากไปก็มีผู้หญิงวัยกลางคนแต่งตัวดูเป็นผู้ดีมีเงินเดินหน้าตาตื่นเข้ามาก่อนบอกกับแม่ผมว่าทำกระเป๋าหล่นหายตอนมาซื้อผ้าที่ร้านนี้ พร้อมถามว่าเห็นกระเป๋าหรือเห็นใครเก็บได้หรือเปล่า ถ้าเก็บได้ก็ขอคืนมาเถอะ เพราะของในกระเป๋านั้นเป็นของที่ตนเตรียมไว้เป็นของหมั้นหมายให้กับน้องชายที่กำลังจะแต่งงาน
เมื่อถูกปฏิเสธไม่รู้เห็น หญิงคนที่ว่าก็เดินคอตกจากไป ไม่นานก็มีหญิงที่แก่กว่าเดินเข้ามาบอกกับแม่ว่า..."อีหนู ยายเห็นนะคนที่เก็บกระเป๋าไป ก็ไอ้ผู้ชายที่ยืนคุยอยู่ข้างๆ เอ็งนั่นแหละ..."
"อ้าวยาย เห็นแล้วทำไมไม่บอกเจ้าของเขาไปล่ะ" แม่ผมบอก
"บอกทำไม บอกให้โง่สิ..." ยายแก่พูด (ตรงนี้แม่ย้ำว่าแกแสดงสีหน้าท่าทางได้จริงจังมาก) ก็เป็นช่วงเวลากับที่ผู้ชายคนแรกได้เดินผ่านมาพอดี ยายแก่รีบไปดึงผู้ชายคนนั้นเข้ามาทันที
"เฮ้ยไอ้หนุ่ม ตอนเอ็งยืนคุยกับอีหนูนี่ เอ็งเก็บกระเป๋าเงินสีดำๆ ที่ตกอยู่ไปใช่มั้ย ถ้าไม่บอกข้าตะโกนจริงๆ นะ..."
"ชู่วๆๆ ยายอย่าเอ็ดไป..." ชายหนุ่มทำท่าป้องปาก พลางดึงทั้งยายแก่และแม่ผมออกมา พร้อมกับโชว์ให้ดูกระเป๋าสีดำใบหนึ่ง
"ผมเองก็ไม่รู้ว่ามีอะไร เอางี้ เราไปที่อื่นแล้วเปิดดูแล้วกัน"
แม่เล่าถึงตอนนี้ก็บอกว่ารู้แล้ว่าต้องโดนหลอกแน่ๆ เพราะช่วงนั้นข่าวแก็งค์ตกทองกำลังดัง แต่ด้วยความอยากจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไร แม่เลยยอมเออออไปด้วย
ระหว่างที่กำลังเดินไปในป่าลับตาคนเพื่อที่จะดูว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋าก็บังเอิญที่ว่าต้องเดินผ่านท่าเรือที่เรือของแม่ กับลุงจอดอยู่ แม่จึงถือโอกาสขอตัวแวะเอาของที่ซื้อมาไปไว้เพราะมันพะรุงพะรัง จากนั้นทั้งสามก็พากันเดินเข้าไปในป่าละเมาะลับตาคน
พลันที่เปิดกระเป๋าออกดูปรากฏว่าในนั้นมีทองอยู่สองเส้น(ของจริงหรือปลอมไม่รู้) รวมกันแล้วก็น่าจะราวๆ 5 บาท
ชายหนุ่มกับยายแก่ทำท่าดีใจมากๆ พร้อมกับตกลงว่าจะแบ่งทองที่ว่าโดยให้แม่ผมมีส่วนร่วมด้วย แต่เพราะทองมันมีสองเส้น แถมน้ำหนักก็ไม่เท่ากัน ชายหนุ่มจึงแนะนำว่าให้เอาทองไปขายแล้วเอาเงินมาแบ่งจะง่ายกว่า พร้อมกับรับอาสาจะเอาทองไปขายเองโดยบอกว่าตนรู้จักกับคนในตลาดที่จะรับซื้อ
"เฮ้ย แบบนี้ได้ไง ถ้าเอ็งเอาทองไปเลยข้ากับอีหนูก็อดสิ ข้าเอาไปเองดีกว่า..." เสียงยายแก่พูดไม่ทันจะขาดคำชายหนุ่มก็สวนขึ้นมาทันที
"อ้าว ยาย ผมเป็นคนเก็บได้นะ ถ้าให้ยายไป แล้วยายหนีไปเลยล่ะ..."
ทั้งสองต่างก็เล่นละครเถียงกันไปมาพักนึง สุดท้ายยายแก่เลยได้ความคิดขึ้นมาโดยตกลงว่าแกกับแม่ผมจะเป็นคนเอาทองไปขายและให้ชายหนุ่มรออยู่ที่นี่
"เอางี้ ข้ามีทองอยู่บาทนึงกับเงินอีก 2 พัน ให้เอ็งเก็บเอาไว้ก่อนถ้าเอ็งกลัวว่าข้าจะหนีไป..."
"โหยายแค่นี้ไม่พอหรอก ทองที่จะเอาไปขายแพงกว่าตั้งเยอะ..." ชายหนุ่มบอก ตอนนั้นเองยายแก่จึงหันมาถามกับแม่ผม
"เอ้า อีหนูเอ็งมีเงินหรือมีอะไรติดเนื้อติดตัวมาบ้างล่ะ เอามาฝากเขาไว้ก่อน จะได้รีบเอาทองไปขายเอาเงินมาแบ่งกัน"
"โอ๊ย ไม่มีเลยยาย ซื้อของไปหมดแล้ว เนี่ย เหลือค่าเรือยี่สิบกว่าบาท..." แม่พูดพลางคลี่ชายพกผ้าถุงให้ดูเศษเหรียญ
"อ้าวแล้วสร้อยล่ะ ตอนอยู่ร้านขายผ้าเห็นใส่อยู่..." คราวนี้เป็นชายหนุ่มที่ถามขึ้นอย่างร้อนรน
"ไม่มี มีที่ไหนล่ะ..." แม่บอกพร้อมโชว์ให้ดูลำคอที่ไร้เครื่องประดับใดๆ เล่นเอาทั้งยายแก่และชายหนุ่มออกอาการงงไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบหยิบกระเป๋าที่มีทองอยู่แล้วพากันจากไปโดยไม่ได้พูดอะไรเลย
"อ้าว แล้วแม่เก็บสร้อยไปตอนไหน..." ผมถามแม่ก่อนจะได้รับคำตอบเป็นภาพ flash back เหมือนในหนังว่าตอนที่แม่เดินหันหลังเดินไปที่เรือแม่ได้แอบปลดสร้อยออกแล้วยื่นฝากไว้กับลุงพร้อมกับของที่ซื้อมาโดยที่ทั้งยายแก่กับชายหนุ่มไม่ทันสังเกตเห็นแต่อย่างไรนั่นเอง
"ดีที่มันไม่ทุบเอา แต่มันคงไม่ทำหรอก มันคงรีบ เพราะอย่างน้อยลุงส่งที่รออยู่ในเรือก็เห็นหน้ามัน มันก็คงกลัวว่าถ้าแม่หายไปนานแล้วเดี๋ยวจะมีคนมาตามอะไรหรือเปล่า..." แม่เล่าด้วยเสียงที่ฟังแล้วปลาบปลื้มใจมากๆ กับการเอาตัวรอดจากการตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์ในครั้งนั้นมาได้
สำหรับสมัยนี้ผมว่าวิธีการหากินเช่นนี้คงยากแล้วมั้งครับที่จะมีคนหลงเชื่อจนตกเป็นเหยื่อ
แต่จะให้บอกเต็มปากเต็มคำก็คงจะไม่กล้าหรอก ตราบใดที่ยังมีข่าวคนกราบจิ้งจก ไหว้ตุ๊กแก บูชาหลักกิโลฯ ให้เห็นอยู่เนืองๆ
จะว่าไปแล้วทั้งแก็งค์จตุรอาชาในหนัง Now You See Me, แก็งค์ตกทองที่แม่เล่าให้ฟัง หรือจะเป็นพวกโกงข้อสอบ-โกงเงิน ด้วยวิธีการที่สลับซับซ้อนซึ่งกลายเป็นข่าวให้เห็นนั้น ในทางกลับกันหากคนพวกนี้นำเอาความเพียรพยายาม เอาความสามารถของตนเอง เอารูปแบบการทำงานเป็นหมู่คณะด้วยความสามัคคี มีการแบ่งหน้าที่ไปตามความถนัดของแต่ละคน ไปใช้ในทางที่ดี-ที่ถูกแล้วละก็...
เชื่อว่าบ้านเรา เมืองเรา ประเทศเราคงจะเจริญได้อย่างแน่นอน