สะเก็ดไฟ
การขยับเขยื้อนของพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะการลาออกจากตำแหน่ง ส.ส.เชียงใหม่ เขต 3 ของ “เกษม นิมมลรัตน์” เพื่อเปิดทางให้ “เจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์” แกนนำพรรคเพื่อไทย ภรรยา “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เพิ่งลุกขึ้นจากหลุมบ้านเลขที่ 111 ออกมาอาละวาดเมื่อกลางปีที่แล้วลงรับสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แทน
ทั้งๆ ที่ “เกษม” เพิ่งจะส้มหล่นสวมบทนอมินีลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมส.ส.แทน “ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์” บุตรสาว “เจ๊แดง-ชายจืด” ที่ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดกรณีจงใจแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ และตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี จนได้รับการเลือกตั้งแบบถล่มทลายในเดือนมิถุนายน ปี 2555
หากนับการทำหน้าที่ ส.ส.ของ “เกษม” ในสภาผู้แทนราษฎรก็พบว่า ยังอยู่ในตำแหน่งได้ไม่ถึง 1 ปี หรือเพียง 9 เดือนเท่านั้น ที่สำคัญเหตุผลของการลาออกกลับอ้างเรื่องสุขภาพ แต่ยังจะฝืนสังขารไปรับจ๊อบการเมืองท้องถิ่นในตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารจังหวัดได้
เรียกว่าคำพูดกับการกระทำสวนทางกันแทบจะชนกันตาย ชนิดใครฟังก็รู้ว่าโกหกคำเบ้อเร่อ
อย่างไรก็ตาม ตามข่าวที่ปล่อยออกมาว่าเหตุผลที่ “เจ้าแม่วังบัวบาน” เล่นลัดคิวรีเทิร์นกลับเข้าสู่สังเวียนการเมืองตามระบบในครั้งนี้ก็เพื่อปูทางนั่งเป็น “นายกฯ อะไหล่” ป้องกันอุบัติเหตุทางการเมืองที่เกิดขึ้นกับ “น้องปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน
มองกันในสภาพความเป็นจริงก็ยังดูห่างไกลกันอยู่เยอะ เพราะสถานการณ์ในปัจจุบัน รัฐบาลยังไม่ถึงขั้นกับตกอยู่ในภาวะคับขันจนมุมนักเมื่อเทียบกับสมัย “นายใหญ่-พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี เผชิญในช่วงบั้นปลายเส้นทางผู้นำประเทศ
เพราะการบริหารประเทศในปัจจุบัน “นายใหญ่” เองมักจะกัน “ยิ่งลักษณ์” ออกจากพันธะหรือความเกี่ยวข้องกับ “ของร้อน” จนทำให้ตกเก้าอี้ได้ อาทิ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เอะอะก็อ้างว่าเป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติอย่างรัฐสภา เรื่องร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่ให้บรรดา ส.ส.และกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นคนขับเคลื่อน ตลอดจนการไม่ให้นั่งเป็นกรรมการบริหารพรรคอีกด้วย
งานส่วนใหญ่ในรัฐบาลจึงมักใช้รัฐมนตรีในสังกัดเป็น “หน่วยกล้าตาย” รับหน้าแทนอยู่เสมอ
อย่างไรก็ดี แม้จะยังห่างไกลในเรื่องอะไหล่สำรองนายกฯ แต่มูลความจริงเรื่องกลับคัมแบ็กสู่เก้าอี้ ส.ส.ของ “เจ๊แดง” เพื่อคอยสำรองน้องสาวตัวเองก็ไม่ใช่ว่าไร้มูล
ตามคำพังเพย “ไม่มีมูล หมามันไม่ขี้” แม้ “ยิ่งลักษณ์” จะถูกกันออกจากความเสี่ยงแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่า ร่างกายไม่มีบาดแผล ตามคิวข่าวปล่อยในพรรคที่ว่า “ป.ป.ช.” จ้องจะฟันฉับกันอยู่ทุกเมื่อ จากกรณีการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินก่อนเข้ารับตำแหน่งส.ส.และนายกรัฐมนตรี
เนื่องจากมีการตรวจสอบกันว่า “ยิ่งลักษณ์” ได้แจ้งบัญชีที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. ว่า ได้ปล่อยกู้ให้บริษัท แอ็ด อินเด็กซ์ จำกัด ของ “อนุสรณ์ อมรฉัตร” คู่สมรสกู้ยืม 30 ล้านบาท เป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน 3 ฉบับ ได้แก่ วันที่ 6 ตุลาคม 2549 จำนวน 20 ล้านบาท, วันที่ 9 มีนาคม 2550 จำนวน 5 ล้านบาท และวันที่ 13 มีนาคม 2550 จำนวน 5 ล้านบาท
แต่ข้อมูลที่แจ้งต่อ ป.ป.ช.ดันขัดแย้งกับข้อมูลการกู้ยืมเงินของบริษัท แอ็ด อินเด็กซ์ เนื่องจากในปี 2549 ไม่ปรากฏว่ามีการกู้เงินจากบุคคลอื่นในบัญชีของบริษัทตามที่ “ยิ่งลักษณ์” แจ้งเอาไว้
ขณะเดียวกัน ดันพบพิรุธว่าปี 2550 บันทึกการเงินของบริษัทกับมีการใส่เงินกู้จำนวน 30 ล้านบาทในงบการเงินปี 2550 อีกทั้งในปีเดียวกันทางบริษัทแจ้งอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 2.50-3.75% แต่อัตราดอกเบี้ยที่ระบุในตั๋วสัญญาใช้เงินที่ “ยิ่งลักษณ์” แจ้งต่อ ป.ป.ช. กลับคิดดอกเบี้ยตามประกาศอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปีของสถาบันการเงิน
เรียกว่าพลาดแบบไม่น่าพลาด
เมื่อออกมาในรูปการณ์แบบนี้ขาข้างหนึ่งของ “ยิ่งลักษณ์” จึงยืนอยู่บนความเสี่ยงแบบมิอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเบื้องต้นกำลังส่อว่าเข้าข่ายจงใจแสดงยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ แม้ว่าการกระทำในครั้งนี้อาจเกิดขึ้นจากความสะเพร่าหรือความไม่เข้าใจเมื่อครั้งยื่นแสดงต่อ ป.ป.ช.ก็ตาม
หรือบางคนอาจจะมองว่าเป็นเพียงเรื่องหยุมหยิมไม่ถึงกับต้องประหัตถ์ประหารกัน แต่ทว่าในทางกฎหมายแล้วถือว่า “ความผิดสำเร็จแล้ว”
และดูเหมือน “ยิ่งลักษณ์” และ “ทีมงาน” ก็มีปฏิกิริยากับเรื่องนี้พอสมควรแม้จะพยายามยืนกรานว่าตนเองพร้อมพิสูจน์และบริสุทธิ์ใจ แต่ก็อ้อนวอนแสดงบทน้อยอกน้อยใจขอความเป็นธรรมผ่านสื่อ ตามนัยการเมืองถือเป็นการส่งสัญญาณถึง ป.ป.ช. โดยตรงแบบชัดเจน ชนิด “ไม่กลัว” แต่ก็ “ระแวง”
อย่างไรก็ดี สำหรับคิวนี้สัญญาณตอบกลับจาก ป.ป.ช.จะชัดเจนก็อีกประมาณสัปดาห์กว่าๆ ตามกำหนดการที่วางปฏิทินเอาไว้ ซึ่งก็น่าติดตามเป็นอย่างยิ่งเพราะหาก ป.ป.ช.เห็นควรเสนอให้มีการตรวจสอบเชิงลึก นั่นแสดงว่า เรื่องนี้ต้องมีอะไรในกอไผ่เป็นแน่
และแน่นอนสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ หลังจากนี้การทำงานของ “ยิ่งลักษณ์” และ “รัฐบาล” จะเป็นไปอย่างยากลำบากขึ้น ของร้อนๆ ที่เคยกล้าฝ่าดันทุรังไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมอย่างการลุยแก้รัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการยุบองค์กรอิสระ การออกกฎหมายนิรโทษกรรม
สิ่งเหล่านี้จะแปรเปลี่ยนจากถนนคอนกรีตเป็นทางลูกรังแบบอัตโนมัติให้ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ทันที
ตามนัยการเมืองรอบนี้ คดีของ “ยิ่งลักษณ์” ใน ป.ป.ช.จึงตาลปัตรกลายเป็น “ข้อต่อรอง” สำคัญทางการเมืองที่ชี้วัดอนาคตประเทศและความอยู่รอดของรัฐบาลได้
หากวันใด “นายใหญ่” และองคาพยพมิได้สนใจหรือลืมเลือน “ข้อต่อรอง” อันนี้ที่เป็นชนักปักหลังอยู่ ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่า “ยิ่งลักษณ์” จะรอดคมดาบกฎหมาย
หากมีวันนั้น “เจ๊แดง” ก็ต้องเป็นตัวเลือกแรกที่ถูกพาสชั้นให้ขึ้นแท่น “นายกฯ หญิง” คนที่สองของประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะคนอย่าง “ทักษิณ” มีบทเรียนมาแล้วกับการไว้ใจคนนอกครอบครัวมากกว่าคนในครอบครัวที่เป็นดังสายเลือด