xs
xsm
sm
md
lg

รัฐบาล-ส.ว.ขี้ข้า "ชำเรารธน." คือการปล้นอำนาจประชาชน

เผยแพร่:   โดย: นกหวีด


ข่าวปนคน คนปนข่าว
 “ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่สละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร”

พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2475 ถือเป็นการสะท้อนถึงจิตวิญญาณความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งกำลังถูกรัฐบาลเสียงข้างมากบิดเบือนมาใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตนโดยอ้างการเป็นผู้แทนปวงชนมาสร้างความชอบธรรมในการลิดรอนสิทธิประชาชนในหลากหลายรูปแบบ

ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดนโยบายหลายด้านที่สร้างปัญหาให้กับประเทศจากโครงการประชาล่มจม เพียงเพื่อที่จะนำเงินภาษีประชาชนทั้งประเทศไปซื้อเสียงผู้สนับสนุนตัวเองเพื่อสร้างรากฐานทางการเมืองโดยไม่สนใจหายนะที่จะเกิดขึ้นต่อบ้านเมือง ซึ่งก็เท่ากับละเลยที่จะฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎรทั้งประเทศนั้นเอง

คนไทยในระบอบประชาธิปไตยยุคนักโทษหนีคดีสไกป์ครองเมือง จึงเป็นเพียงแค่เครื่องมือในการเข้าสู่อำนาจ และถูกใช้เป็นข้ออ้างในการใช้ขับเคลื่อนเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตัวเองโดยอ้างว่าเป็นความต้องการของประชาชน

รัฐบาลไพร่ 15 ล้านเสียง เคยพยายามที่จะทำรัฐประหารผ่านรัฐสภาด้วยการฉีกรัฐธรรมนูญปี 2550 โดยไม่ฟังเสียงประชาชนมาแล้ว แต่ไม่ประสบความสำเร็จทำให้การโหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ยังค้างเติ่งอยู่ในการพิจารณาของรัฐสภามาจนถึงทุกวันนี้

โดยนักโทษหนีคดีพยายามดิ้นรนหลายครั้งที่จะผลักดันเรื่องนี้ต่อแต่สุดท้ายก็ติดบ่วงตัวเองจนเดินหน้าไม่ได้ ถอยหลังไม่เป็น ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยคุยโวว่าจะทำประชามติเพราะสามารถหาเสียง 24 ล้านเสียงได้แบบหมู ๆ

แต่สุดท้ายก็เจอหมูเขี้ยวตัน เพราะปลายทางไกลกว่าที่จะเดินไปถึง

ล่าสุด จึงมีการสไกป์แสดงอำนาจเหนือฝ่ายนิติบัญญัติ โดยนักโทษหนีคดีที่ระบุชัดว่า ส.ส.และส.ว.จะเข้าชื่อกันเพื่อเสนอแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา ระบุมาตราเสร็จสรรพ ว่าจะแก้ไขอะไรบ้าง ผ่านไปไม่นาน บรรดาขี้ข้า ส.ส.และส.ว.ก็รับลูกกันแบบไม่ต้องเหนียมอาย กระทั่งมีการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภาไปแล้ว 3 ร่าง รวม 12 มาตรา เมื่อวันที่ 20 มี.ค.ที่ผ่านมา

ประเด็นที่ประชาชนต้องเท่าทันเล่ห์เหลี่ยมผู้แทนที่กำลังใช้อำนาจที่ได้รับจากประชาชนมาปล้นสิทธิคนไทยโดยไม่ละอาย แถมยังซ่อนการนิรโทษกรรมทางการเมืองให้กับผีบ้านเลขที่ 109 ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองจากการยุบ 3 พรรค คือ พลังประชาชน ชาติไทย และมัชฌิมาธิปไตยไว้ด้วย

เรื่องแรกที่ขี้ข้าทักษิณสมคบกันปล้นสิทธิของคนไทยคือ การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ซึ่งเดิมศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยอย่างกว้างเปิดช่องให้ ประชาชนมีสิทธิเสนอเรื่องให้ อัยการสูงสุด หรือศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณากรณีมีบุคคลหรือพรรคการเมืองมีพฤติกรรมล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

เหลือเพียงช่องทางเดียวคือยื่นต่ออัยการสูงสุดเท่านั้น เท่ากับตัดช่องทางที่ประชาชนสามารถใช้สิทธิยื่นตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญออกไปและรวบอำนาจไว้ที่อัยการสูงสุดเพียงผู้เดียว

หากอัยการสูงสุดไม่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ของชาติแต่รับใช้การเมืองที่หวังเปลี่ยนแปลงประเทศ คำร้องที่เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญก็จะไร้ความหมายไปในทันที

การที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยแก้ไขมาตรานี้ จึงไม่แตกต่างอะไรจากการใช้อำนาจที่ประชาชนมอบให้มาปล้นสิทธิของประชาชนอย่างเลือดเย็น

ที่สำคัญไม่แพ้กันคือมาตรา 190 ซึ่งเป็นกระบวนการตรวจสอบและเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพิจารณาหนังสือสัญญาที่คณะรัฐมนตรีจะไปลงนามผูกพันประเทศก็ถูกตัดทอนออกไปเพื่อให้นักการเมืองเลวแสวงหาประโยชน์บนคราบน้ำตาของประชาชนได้ง่ายขึ้น

โดยในร่างแก้ไขมาตรานี้ตัดข้อความสำคัญหลายประการดังนี้

ตัดข้อความ “เขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ” ทำให้การเจรจาเกี่ยวกับผลประโยชน์นอกอาณาเขตที่ไทยมีสิทธิอธิปไตยจะกระทำได้โดยรัฐบาลไม่จำเป็นต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาตามมาตรา 190
ซึ่งอาจหมายถึงว่าการเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์ทับซ้อนทางทะเลที่รัฐบาลชุดนี้จ้องตาเป็นมันแต่ยังไม่สบโอกาสจะไม่ต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาอีกก็เป็นได้ เนื่องจากการแบ่งปันผลประโยชน์ทางทะเลนั้นเกี่ยวข้องกับสัญญาและกฎหมายระหว่างประเทศด้วย

ตัดข้อความ “ผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา” หมายความว่า

ต่อไปรัฐบาลจะไปลงนามผูกพันด้านเศรษฐกิจกับประเทศใดที่สร้างผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างไรก็ได้ โดยรัฐสภาไม่มีสิทธิตรวจสอบอีก ซึ่งบ้านเมืองเราเคยได้บทเรียนราคาแพงจากการที่รัฐบาลทักษิณ เคยไปลงนามเอฟทีเอกับหลายประเทศ จนชาติเสียประโยชน์มาแล้ว

เลวร้ายไปกว่านั้นคือรัฐบาลที่อ้างว่ามาจากประชาชนยังตัดขั้นตอนที่ประชาชนจะมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังสือสัญญากับนานาประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศออกไปด้วย โดยเหลือไว้เพียงแต่ขั้นตอนการเยียวยาในกรณีที่ประชาชนได้รับผลกระทบเท่านั้น

นอกจากรัฐบาลไพร่แดงกำลังจ้องปล้นอำนาจประชาชนแล้ว ยังซ่อนผลประโยชน์ต่างตอบแทนระหว่างขี้ข้าส.ส.กับขี้ข้าส.ว.กันแบบไม่อายฟ้าดินด้วย โดยในส่วนของ ส.ว.จะมีการแก้ไขให้มาจากการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว ซึ่งง่ายต่อการควบคุมของพรรคการเมืองและยังเปิดช่องให้ส.ว.ที่ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ว.ได้แบบต่อเนื่องโดยไม่จำเป็นต้องเว้นวรรค ทำให้สภาสูงมีสภาพไม่แตกต่างอะไรจาก ส.ส. และส.ว.เลือกตั้งในปัจจุบันที่จะเป็นผู้ลงคะแนนจะได้รับประโยชน์จากการแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนนี้ทันที

ไม่ต่างอะไรจากการแก้ไขมาตรา 237 ที่ยกเลิกการยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมืองกับกรรมการบริหารพรรคที่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งทิ้ง และยังเพิ่มข้อความที่จะนิรโทษกรรมทางการเมืองให้กับกลุ่มการเมืองจากสามพรรคคือ พลังประชาชน ชาติไทย และมัฌชิมาธิปไตยจำนวน 109 คนที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ไปตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2551 และจะครบกำหนดในเดือนธันวาคมปี 2556 นี้ จะกลับมาเล่นการเมืองได้ทันทีที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้สำเร็จและมีผลบังคับใช้ โดยไม่ต้องรอเวลาตามกำหนดเดิม

เนื่องจากมีการเพิ่มข้อความยกเว้นไว้ว่า กรณีมีคำวินิจฉัยยุบพรรคการเมืองตามมาตรา 68 หรือ 237 วรรค 2 เป็นอันสิ้นสุด และให้ถือว่าบุคคลผู้นั้น ไม่เคยเป็นผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง

ไม่เพียงเท่านั้นพรรคเพื่อไทยที่ถูกยื่นยุบพรรคไว้เนื่องจากทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ก็จะได้รับอานิสงส์ด้วย โดยคดีที่ยังค้างการพิจารณาอยู่ถือว่าสิ้นสุดทันที

คนไทยจะยอมให้รัฐบาลกับส.ว.ปล้นอำนาจประชาชน แก้กติกาสูงสุดของประเทศเพื่อล้างความผิดให้กับนักการเมืองชั่วอย่างนั้นหรือ?
กำลังโหลดความคิดเห็น