xs
xsm
sm
md
lg

“สมจิตต์” จับแหล “ปูนิ่ม” ซัดใช้กองทุนน้ำมันเล่นกลแหกตา ปชช.ไม่ต่างพี่ชาย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“สมจิตต์” ย้อนรอยลมปาก “ยิ่งลักษณ์” กระชากค่าครองชีพ ระบุใช้กองทุนน้ำมันเป็นเครื่องมือหาเสียง ก่อนตลบหลังทรยศ ปชช.เก็บเงินเข้ากองทุน ทยอยขึ้นราคาทีละน้อยๆ ทำให้คนไม่ทันรู้สึกตัว ชี้ไม่ต่างสมัย “ทักษิณ” รักษาอำนาจด้วยการเล่นกลตบตาใช้กองทุนน้ำมันเป็นเครื่องมือ แล้วทยอยขึ้นราคาหลังได้อำนาจสมใจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 22 ม.ค. น.ส.สมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวสายการเมือง สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัว สมจิตต์ นวเครือสุนทร ภายใต้หัวข้อ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ใช้กองทุนน้ำมันแหกตาประชาชน เมื่อไหร่ประชาชนจะเลิกถูกหลอก” ดังนี้

“...หลังจากที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศหาเสียงไว้ว่า “หากได้เป็นรัฐบาลสิ่งแรกที่จะทำ คือ กระชากค่าครองชีพขึ้นมาด้วยการยกเลิกกองทุนน้ำมัน ทำให้ราคาน้ำมันลดลง เบนซิน 95 จะลดลง 7.5 บาทต่อลิตร เบนซิน 91 ลดลง 6.7 บาทต่อลิตร และดีเซลลดลง 2.80 บาทต่อลิตร แต่สุดท้ายเมื่อเป็นรัฐบาลนอกจากไม่ยุบกองทุนน้ำมันแล้วยังมีการทยอยเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันกลับมาในอัตราเดิม หลังจากที่ลดราคาหลอกประชาชนในช่วงเวลาสั้นๆ ว่าได้ทำตามที่หาเสียงไว้แล้ว โดยในปัจจุบันราคาน้ำมันทุกชนิดสูงกว่าในช่วงที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ บริหารประเทศด้วยซ้ำ

การใช้จิตวิทยาในการเล่นแร่แปรธาตุ บริหารอารมณ์ประชาชนด้วยการทยอยขึ้นราคาทีละน้อยๆ ทำให้คนไม่ทันรู้สึกตัว นี่คือกลวิธีที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้เฉพาะในรัฐบาลยิ่งลักษณ์เท่านั้น แต่ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว โดยในช่วงก่อนการเลือกตั้งวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 รัฐบาลทักษิณตัดสินใจอุ้มกองทุนน้ำมันด้วยการนำเงินเข้าไปชดเชยเป็นเวลายาวนานเกือบ 15 เดือน เพื่อรักษาคะแนนเสียงทางการเมือง ดังนี้คือ

เริ่มมีการชดเชยราคาน้ำมันในรัฐบาลทักษิณ เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 47 และหยุดชดเชยวันที่ 23 มี.ค. 2548 ซึ่งในขณะนั้นจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 6 ก.พ. 48 อันเป็นกำหนดการปกติตามวาระของรัฐบาลที่อยู่ครบเทอม ซึ่งเป็นสิ่งที่ ทักษิณ ย่อมเล็งเห็นไว้ตั้งแต่ต้นว่า หากปล่อยให้ราคาน้ำมันแพงคามือตัวเองขณะบริหารประเทศ ย่อมส่งผลกระทบต่อคะแนนนิยมทางการเมืองอย่างแน่นอน จึงเลือกที่จะสร้างภาพทางเศรษฐกิจให้ดูดีเพื่อให้ประชาชนที่ใช้น้ำมันไม่รู้สึกว่าได้รับความเดือดร้อนภายใต้การบริหารงานของทักษิณ ด้วยการนำเงินของคนทั้งประเทศไปแปรเป็นคะแนนเสียงให้พรรคไทยรักไทยในขณะนั้นแทน โดยใช้เงินเกือบหนึ่งแสนล้านบาทเลยทีเดียว

เมื่อได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง รัฐบาลทักษิณก็ทยอยขึ้นราคาน้ำมันทันทีหลังได้อำนาจจากประชาชนไม่ถึงเดือน จึงเป็นการได้กำไรทางการเมืองบนความขาดทุนของบ้านเมืองที่ชัดเจนยิ่ง เพราะสามารถสร้างภาพให้ทักษิณดูเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารเศรษฐกิจดูแลอัตราเงินเฟ้อในปี 2547 ให้อยู่ที่ตัวเลขสวยๆ แค่ 2.7% และประชาชนไม่รู้สึกเดือดร้อนจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เพราะรัฐบาลเอาเงินของคนทั้งชาติไปอุ้มเอาไว้

ขณะเดียวกัน คนไทยก็ไม่ได้ติตตามการบริหารของรัฐบาลอย่างใกล้ชิดจึงถูก ทักษิณ เล่นกลตบตาได้โดยง่าย คือ เมื่อได้อำนาจรัฐมาไว้ในมือไม่ถึงเดือนก็ขี้นราคาดีเซล 60 สตางค์ต่อลิตร จากนั้นไม่ถึง 1 เดือนราคาดีเซลขยับขึ้นถึง 3 บาทต่อลิตร ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในปี 2548 ไต่ระดับไปแตะที่ 4.5% จากที่ตกแต่งตัวเลขด้วยการอั้นราคาน้ำมันไว้จนตัวเลขเงินเฟ้ออยู่ที่ 2.7% ซึ่งต้องย้ำว่ารัฐบาลต้องเอาภาษีคนไทยทั้งประเทศไปชดเชยเกือบ 1 แสนล้านบาท ภายในเวลา 15 เดือน โดยกว่าประชาชนจะรู้ตัวว่าถูกหลอก ก็ยกอำนาจไปไว้ในมือ “นักมายากล” เสียแล้ว

และสิ่งที่คนไทยรู้น้อยมาก คือ หลังกองทุนน้ำมันติดลบเกือบแสนล้านบาท คนที่เข้ามากอบกู้เก็บเล็กผสมน้อยจนกองทุนน้ำมันกลับมาเป็นบวกคือ รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่มาจากการแต่งตั้งของ คมช.ซึ่งเป็นผู้ทำการรัฐประหารถีบทักษิณลงจากอำนาจนั่นเอง

ในขณะที่ทักษิณใช้กองทุนน้ำมันเป็นเครื่องมือในการรักษาอำนาจ จนได้รับเลือกตั้งให้เข้ามาบริหารประเทศอีกครั้ง ยิ่งลักษณ์ผู้เป็นน้องสาวก็เดินตามรอยพี่ชายมิผิดเพี้ยน ด้วยการนำกองทุนน้ำมันมาเป็นเครื่องมือหาเสียงทางการเมือง ด้วยการวางเหยื่อล่อประชาชนให้ตาโตกับแผนยุบกองทุนน้ำมันเพื่อช่วงชิงอำนาจมาไว้ในมือตัวเอง ก่อนจะตลบหลังทรยศประชาชนด้วยการกลับมาเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเหมือนเดิม โดยปัจจุบันราคาน้ำมันยุคยิ่งลักษณ์แพงกว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์เกือบทุกชนิด ซึ่งสามารถพิจารณาได้อย่างเป็นรูปธรรมจากตัวเลขที่จะเปรียบเทียบให้เห็น ดังนี้

ราคาน้ำมันเบนซิน 91 ในช่วงแพงที่สุดของยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ คือวันที่ 30 เมษายน 2554 พบว่าราคาในขณะนั้น = 44.34 บาท/ลิตร เมื่อเทียบกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ซึ่งมีการปรับขึ้นราคาล่าสุดวันที่ 10 สิงหาคม 2555 = 44.55 บาท/ลิตร เท่ากับว่าในยุคนางสาวยิ่งลักษณ์ ซึ่งใช้นโยบายกระชากค่าครองครองชึพและราคาน้ำมันหาเสียงจนชนะเลือกตั้งนั้น ได้บริหารประเทศจนราคาน้ำมันเบนซิน 91 แพงกว่ายุคอภิสิทธิ์ถึง 21 สตางค์

ที่น่าสนใจคือ ในขณะที่ราคาขายปลีกแพงกว่า แต่กลับพบว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดสิงคโปร์ที่ ปตท.ใช้อ้างอิงในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ถูกกว่ายุคอภิสิทธิ์อย่างมาก ดังนี้ วันที่ 30 เม.ย. 54 ราคาน้ำมันตลาดสิงคโปร์ 139.36847 ดอลลาร์สิงคโปร์ ส่วนวันที่ 10 ส.ค. 55 ราคาอยู่ที่ 116.14770 ดอลลาร์สิงคโปร์ ถูกกว่าถึง 22.22077 ดอลลาร์สิงคโปร์ โดยมีการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเท่ากันคือ 6.7000 บาท แต่เก็บค่าการตลาดต่างกัน ดังนี้ 10 ส.ค. 55 ค่าการตลาด 1.3178 บาท ส่วนวันที่ 29 เม.ย. 54 ค่าการตลาดอยู่ที่ 0.6427 บาท เท่ากับในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ปตท.คิดค่าการตลาดน้ำมันเบนซินในช่วงที่ราคาสูงสุดสูงกว่ายุคอภิสิทธิ์ถึง 105.04123%

และในปัจจุบัน ณ วันที่ 22 ม.ค. 2556 ราคาน้ำมันทุกชนิดแพงกว่าในวันที่อภิสิทธิ์ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ณ วันที่ 5 ส.ค. 2554 ดังนี้

E10 มาร์คถูกกว่า 5.39 บ. จาก 32.44 บาท เป็น 37.83 บาท
E20 มาร์คถูกกว่า 2.24 บ. จาก 30.14 บาท เป็น 32.38 บาท
E85 มาร์คถูกกว่า 2.26 บ. จาก 19.42 บาท เป็น 21.68 บาท
E10 (91) ถูกกว่า 4.44 บ. จาก 30.94 บาท เป็น 35.38 บาท
เบนซิน 91 ถูกกว่า 7.51 บ. จาก 36.24 บาท เป็น 43.75 บาท
ดีเซล มาร์คถูกกว่า 0.6 บ. จาก 29.19 บาท เป็น 29.79 บาท

ที่น่าสนใจคือ ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์มีการยกเลิกการขายน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ซึ่งเป็นพลังงานสิ้นเปลือง แต่ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับมาขายอีกครั้งหนึ่ง ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 46.25 บาท แต่เลิกขายดีเซล B5 หรือไบโอดีเซล แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์สนับสนุนพลังงานทางเลือกดังกล่าวโดยราคาขายปลีกในขณะนั้นอยู่ที่ 27.99 บาท
กำลังโหลดความคิดเห็น