xs
xsm
sm
md
lg

เขาว่าล้างพิษตับเป็นเรื่อง "หลอกลวง" (ตอนที่ 4) : ฟังความเห็นและคำอธิบายจากแพทย์แผนปัจจุบัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

"ผลิตภัณฑ์ก้อนสีเขียว ที่มีการถ่ายออกมจากาการล้างพิษตับ จริงอยู่ที่ว่าที่มีการเรียกกันว่า"นิ่ว" นั้นอาจจะไม่ถูกต้องนัก เพราะ"นิ่ว"ที่เป็นเหมือนก้อนหินนั้นต้องจมน้ำและไม่สามารถลอยน้ำได้ แต่ก้อนสีเขียวที่ลอยน้ำได้นั้นแท้ที่จริงแล้วน่าจะเป็น"ก้อนไขมัน"มากกว่าที่อาจมีการผสมทั้งน้ำดี (จึงทำให้เป็นสีเขียว) และบางส่วนอาจมาจากสิ่งที่ดื่มเข้าไป (น้ำมันมะกอกและน้ำมะนาว) และบางส่วนอาจผสมกับเป็นก้อนไขมันและผลิตภัณฑ์อื่นๆที่ออกมาจากตับหรือถุงน้ำดีได้ด้วย ซึ่งก้อนเหล่านี้หากทิ้งไว้ในอากาศก็จะพบว่าจะค่อยๆละลายจนเป็นของเหลวได้จนหมด เพราะอย่างไรเสียเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่เราดื่มเข้าไปนั้นคงต้องออกมาจากร่างกายในการขับถ่ายอย่างแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่มันมีสิ่งอื่นที่ออกมาด้วยหรือไม่น่าจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากกว่า"

นั่นเป็นบทความที่ผมได้เขียนเอาไว้ล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555 แล้ว ในบทความที่ชื่อว่า "ตามหาความจริง...อะไรกันแน่ที่ออกมาจากการล้างพิษตับ !?" ซึ่งปรากฏหลักฐานอยู่ในหนังสือที่ผมเขียนชื่อ "ปฏิวัติสุขภาพด้วยธรรมชาติบำบัด กิน-ดื่มด่าง ล้างพิษตับ

เพราะแม้ว่าโดยส่วนตัวผมจะไม่เรียกก้อนสีเขียวว่า"นิ่ว" และน่าจะเรียก "ก้อนไขมัน"มากกว่า แต่ผมก็ได้แสดงให้ดูในตอนที่ 2 ว่าก้อนเหล่านี้ไม่สามารถเกิดจากปฏิกิริยา"สบู่ก้อน"ได้เช่นกัน ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรด่วนสรุปเอาว่าการล้างพิษตับนั้นเป็นการหลอกลวง เพราะผลการตรวจเลือดและอัลตร้าซาวด์กลุ่มตัวอย่างถึง 108 คน ของศูนย์ล้างพิษตับบุญคณา จังหวัดขอนแก่นในตอนที่ 3 เมื่อเดือนเมษายน - พฤษภาคม 2556 พบว่านิ่วในถุงน้ำดีของกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ หายไป น้อยลง หรือมีขนาดเล็กลงอย่างมาก มีเม็ดเลือดขาวดีขึ้น มีเกล็ดเลือดสูงขึ้น ฯลฯ แม้จะเป็นการเริ่มต้นเก็บตัวอย่าง แต่เราก็เริ่มเห็นสัญญาณอย่างชัดเจนว่าการล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอกนั้น เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพได้จริง และไม่ใช่การคิดไปเองจากผลกระทบของยาหลอก (Placebo effect) แต่ประการใด

เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่าการล้างพิษตับด้วยการดื่มน้ำมันมะกอกไม่ใช่เรื่องหลอกลวง แต่เราก็ควรจะต้องตามหาคำตอบต่อไปว่า ทำไมจึงมีผู้คนจำนวนมากมีสุขภาพดีขึ้น ได้ด้วยวิธีการนี้?

สำหรับผมแล้วการตรวจถังจากผลิตภัณฑ์ที่ขับถ่ายออกมาในหลักสูตรล้างพิษตับนั้น เป็นเรื่องของสถิติถ้าผู้ที่มีประสบการณ์ในการตรวจถังมาจำนวนมากจะมีความสามารถในการวิเคราะห์ได้แม่นยำและน่าทึ่งว่าคนที่ถูกตรวจนั้นมีประวัติการใช้ชีวิตการกินและการใช้ยาอย่างไร และเป็นโรคร้ายอะไรในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่ความสำคัญเสียยิ่งกว่าคือไม่มีใครปฏิเสธว่าการกระตุ้นตับและถุงน้ำดีด้วย "น้ำมันมะกอก"นั้น ทำให้มี "น้ำดี"ออกมาเป็นจำนวนมากด้วย

และสำหรับผมแล้วการที่มี "น้ำดี" ออกมาเป็นจำนวนมาก คือการประสบความสำเร็จในการล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอกแล้ว โดยไม่ต้องสนใจเสียด้วยซ้ำไปว่าผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจากตับนั้นคืออะไร และสำคัญเสียยิ่งกว่าในเรื่องการทำนายว่าเคยมีพฤติกรรมการกินอาหาร ยา หรือมีโรคประจำตัวอะไร?

เพราะถ้าจะพิจารณา "น้ำดี" นั้นก็จะพบว่ามีองค์ประกอบสำคัญคือ "คอเลสเตอรอลซึ่งส่วนใหญ่เป็นไขมันชนิดเลว", น้ำ, ฟอสโฟลิพิด (Phospholipids) ส่วนใหญ่เป็นเลซิติน, เกลือน้ำดี (โซเดียมไกลโคโคเลต (Sodium glycocholate) และโซเดียมทอโรเลต (Sodium taurocholate) ซึ่งเกลือน้ำดีนั้นถูกสร้างมาจากคอเลสเตอรอลในตับ), บิลิน (Billin) หรือรงควัตถุน้ำดี (บิลิรูบินไดกลูโคโรไนด์)

ดังนั้น "น้ำดี" ซึ่งมีองค์ประกอบของคอเลสเตอรอลที่เป็นไขมันชนิดเลวเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการที่น้ำดีออกมาเป็นจำนวนมากอย่างน้อยที่สุดก็คือลดคอเลสเตอรอลในตับให้ลดลง ส่วนการที่ไขมันจากตับถูกผลิตออกมาเป็นน้ำดีจะดีต่อสุขภาพอย่างไรนั้น เราลองมาฟังความเห็นของแพทย์แผนปัจจุบันดังต่อไปนี้

รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี อาจารย์แพทย์จากภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เคยเขียนบทความและเผยแพร่ปรากฏอยู่ในหนังสือ "ปฏิวัติสุขภาพด้วยธรรมชาติบำบัด กิน-ดื่มด่าง ล้างพิษตับ" ความบางตอนในเรื่องการล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอกมีดังนี้

"เมื่อตับกำจัดสารพิษจากสิ่งที่เรากินเข้าไป กากหรือขยะของสารพิษจะถูกขับออกจากตับได้ 2 วิธี ถ้าเป็นสารละลายน้ำได้จะถูกกำจัดออกทางไต ถ้าเป็นสารที่ไม่ละลายในน้ำ ตับจะอาศัยน้ำดี นำไปทิ้งที่ลำไส้เล็กกลายเป็นอุจจาระต่อไป และขยะที่กำจัดไม่ได้จะสะสมอยู่ในตับ ตับเป็นทั้งโรงงานผลิต โรงกำจัดพิษ และโกดังสะสมทั้งสิ่งที่เป็นและไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ไขมัน เครื่องยนต์ของรถ เรือ หรือพาหนะใดๆ ต้องการการทำความสะอาดทั้งสิ้น ตับก็ต้องการเช่นกัน ตับที่สะอาดจะทำงานได้ดีขึ้นกว่าตับที่สะสมกากขยะไว้ทั้งในตับเองและในถุงน้ำดี

ตับที่พักการทำงานไประยะหนึ่ง (จากการอดอาหาร) เมื่อถูกกระตุ้นจะสร้างน้ำดี (ซึ่งหยุดทำไประยะหนึ่งแล้ว)อย่างมากมาย น้ำดีที่ตับสร้างขึ้นนี้มีปริมาณมาก และสามารถนำสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาจากระบบท่อน้ำดีและถุงน้ำดีออกมาทางอุจจาระได้อย่างไม่น่าเชื่อ ตัวกระตุ้นปฏิกิริยานี้ได้รับการพิสูจน์จากนานาประเทศที่เรียนรู้วิธีนี้มานานแล้ว ก็คือ "น้ำมันมะกอก" ชนิด Extra Vergin Olive Oil"

นายแพทย์คณิน ไตรพิพิธสิริวัฒน์ ผู้อำนวยการ Holistic Medical Center
อธิบายปรากฏการณ์ที่มีคนหายป่วยจากการล้างพิษตับ ซึ่งออกอากาศในรายการ คน ค้น คน ทางช่อง 9 อสมท. เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 ความตอนหนึ่งว่า :

"สารพิษถ้าพูดกันจริงๆแล้วในศัพท์ที่เข้าใจง่ายที่สุดมันคืออนุมูลอิสระ อนุมูลอิสระถ้าแปลเป็นภาษาชาวบ้านสุดๆเลย จริงๆมันก็คือสนิมที่มันเกิดกับร่างกายเรา เหล็กก่อนจะเกิดสนิมหน้าตามันจะแบบนึง มีความแข็งแรงคงทน เหล็กหลังเกิดสนิมอีกแบบนึง ความแข็งแรงหายไป มันผุกร่อน สนิมมันแพร่ไปเรื่อยๆ อนุมูลอิสระพอเข้าสู่ร่างกายก็เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกัน ส่งผลก็คือมันจะทำลายเซลเนื้อเยื่อปกติในร่างกาย ทำให้การทำงานในร่างกายมันเสียไป ซึ่งโดยปกติร่างกายก็พยายามที่จะเก็บขบวนการอักเสบตรงนี้ให้มันเหลือน้อยที่สุด

วิธีการอันนึงคือมันจะเอาไขมันมาพอกบริเวณที่มันอักเสบเพื่อที่จะปิดไม่ให้มันกระทบกระเทือนกับที่อื่น แต่การอักเสบมันก็ยังคงอยู่ข้างใน แล้วก็สารพิษอีกตัวนึงที่มันมีผลกระทบแล้วก็สะสมอยู่ในร่างกายได้ ก็คือมันอาจจะเป็นสารพิษที่ละลายในไขมัน...

การล้างพิษตับเค้าจะใช้สองเทคนิคร่วมกันนะครับในการรักษาอาหารไม่สบายทั้งหลายแหล่ เทคนิคแรกก็คือใช้ในเรื่องของการ “อด ล้างพิษ” เวลาที่เราอดร่างกายจะได้รับแคลอรี่น้อยกว่าที่ใช้ ยกตัวอย่างการล้างพิษตับถ้าไปเข้าคอร์สเขาก็อาจจะให้ดื่มแต่น้ำแอปเปิ้ลอย่างเดียวทั้งวัน หรือน้ำมะขาม หรือเครื่องดื่มอื่นๆที่ไม่มีกาก พอเราอดสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไรต่อมา อย่างที่เรียนให้ทราบว่าไขมันเป็นตัวเก็บสะสมสารพิษทั้งหลายในร่างกาย วันที่เราอดอาหารก็คือเป็นวันที่เราเบิร์น (เผาไหม้) ไขมันออกมาใช้แล้ววันนั้นสารพิษมันก็จะตามออกมาด้วย ถ้าสารพิษมันตามออกมาด้วย แล้วตับเรามีเวลาว่าง มันมีเวลาว่างเพราว่าเราไม่ได้ทานอาหารอย่างอื่น ไม่ได้ทานอาหารหลากหลาย มันก็จะจับสารพิษเข้ามาทำขบวนการ detoxification คำว่า detox จริงๆเอามาจากขบวนการธรรมชาติของตับที่ต้องทำอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นในช่วงวันที่เราอดเนี่ยเราจะกระตุ้นให้ร่างกายดึงเอาสารพิษออกมาจากไขมันเยอะมากๆ

เมื่อไหร่ก็ตามที่กระเพาะได้น้ำมัน น้ำมันมันจะถูกส่งสัญญาณไปถึงน้ำดีแล้วก็ท่อน้ำดีให้ขยายตัว ถุงน้ำดีก็จะบีบตัวเองเพื่อรีดเอาน้ำดีให้ออกมาเจอกับน้ำมัน หมายความว่าน้ำมันมะกอกเป็นตัวล่อให้ตับขับพาได้เร็วขึ้น อันนี้มันก็จะเข้ากันได้มากกับหลักสรีระวิทยาในร่างกาย คือวันที่เราอดจะเป็นวันที่เรารีดเอาสารพิษทั้งหลายแหล่ที่มันอยู่ในร่างกาย ที่อยู่ในไขมันแม้กระทั่งที่อยู่ในตับเองออกมา วันที่เราดื่มน้ำมันมะกอกก็จะเป็นวันที่รีดเอาสารพิษขับออกให้เร็วที่สุด

รศ.นพ. อนัน ศรีพนัสกุล อาจารย์แพทย์จากภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ซึ่งเป็นแพทย์ผู้ที่มีประสบการณ์ในการผ่าตัดตับมามากที่สุดคนหนึ่งในลำดับต้นๆของประเทศไทย ได้อธิบายในการออกอากาศในรายการ คน ค้น คน ทางช่อง 9 อสมท. เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 ความตอนหนึ่งว่า:

"การเกิดนิ่วเนี่ยมันก็ต้องไปดูส่วนผสมในน้ำดีนะ หลักๆแล้วก็เป็นคอเลสเตอรอลแล้วก็กรดน้ำดี bile salt, bile acid อย่างนี้ แล้วก็เลซิติน มีสามตัว สามตัวนี้มันจะต้องbalance (สมดุล)กัน ความเข้มข้นที่อยู่ในน้ำดีต้องเหมาะสม เมื่อไหร่ก็ตามมันไม่เหมาะสมเนี่ย เช่นว่ามีคอเลสเตอรอลมันโดดขึ้นมามันก็จะตกตะกอน ตกตะกอนมันก็จะจับกันก็เรียกว่าเป็นนิ่ว ถ้าเป็นคอเลสเตอรอลมันจะออกสีเหลืองๆ เรียบๆ แล้วอีกอย่างก็อาจจะเป็นพวก pigmented ออกสีดำๆ"

เมื่อถามว่าถ้าเราไปล้างตับ แล้วคุณหมอบอกว่า คือมันเป็นไปได้ว่าเวลาล้างมันจะไปทำให้ขนาดของก้อนเล็กลง มันมีความเป็นไปได้ไหม? รศ.นพ.อนัน ศรีพนัสกุล ตอบว่า:

"แล้วแต่ว่าเป็นชนิดไหนด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ที่เป็นคอเลสเตอรอล สโตนเนี่ยก็น่าจะเล็กลงได้ พอเล็กลงแล้วมันพอที่จะออกที่ท่อของมันที่จะมาเทลงท่อน้ำดีได้ ถ้ามันออกมาได้ก็เรียกว่ามันหลุดไง ก็หลุดออกมาได้ คือน้ำดีที่ออกมาเนี่ยมันพาเอาตะกอน พาเอาคอเลสเตอรอล ไขมันหรือแม้กระทั่งนิ่วเล็กๆออกมาได้ แต่ถามว่าไอ้ก้อนใหญ่ๆนี่มันออกมาจากนั้นใช่ไหม ไม่ใช่เพราะว่าในถุงน้ำดีมันไม่มีท่อใหญ่อย่างนั้นที่จะให้ก้อนอย่างนี้ออกมาได้ มันน่าจะมาเกิดทีหลังในลำไส้ แต่ทีนี้ศัพท์โดยทั่วไปเวลาเราไปเห็นอะไรเป็นก้อนๆเค้าก็เรียกว่านิ่วก็อาจจะไม่ผิดก็ได้

แต่ว่าถ้าเป็นศัพท์ของหมอนี่ ถ้านิ่วไปอยู่ในถุงน้ำดีเราก็เรียกว่านิ่วถุงน้ำดี ไม่ใช่ว่าเราไปทานยามันถ่ายออกมามันเป็นก้อนเราก็บอกว่าเป็นนิ่วถุงน้ำดีนะ เราต้องพิสูจน์ก่อนว่าไอ้ก้อนนี้มันอยู่ตรงไหน ถ้าสมมติว่าตอนแรกมันอยู่ในถุงน้ำดีแล้วเราไปกินมันออกมา เราไปร่อนดูมันเห็นอยู่หนึ่งเม็ด โอ้เหมือนกับที่เราสงสัยไว้เลย แล้วเม็ดนี้ก็หายไปแล้ว ร่อนได้เม็ดนี้ อย่างนี้ก็ 100 เปอเซนต์

(คุณหมออนันต์ยกภาพตัวอย่างตามภาพที่ 1 และ 2) อันนี้ก็เป็นตัวอย่างคนไข้ที่เค้ามาทำ ก่อนจะเข้าคอร์สเนี่ยผมก็มีโอกาสไปทำกับเค้า ก็พบว่าคนนี้เนี่ยมีนิ่วอยู่จริง ไอ้ที่เป็นถุงดำๆเนี่ยเป็นถุงน้ำดี กลมๆเนี่ยเป็นถุงน้ำดี ไอ้ที่เป็นเม็ดขาวๆเรียงกันเป็นนิ่ว นิ่วในถุงน้ำดี รอบๆนี่ก็เป็นตับ พอหลังจากคอร์สเค้าเสร็จสิ้น เค้าก็ให้ผมไปทำให้อีกครั้งนึง ก็พบว่าคนนี้เค้าก็ไม่เห็นนิ่วนี้แล้ว นิ่วหายไป ไม่เห็น

คราวนี้ ไปทำแล้วทำไมหายได้ อาจจะอธิบายว่าแบบนี้แหละ คือเค้าไปกระตุ้นให้น้ำดีออกมาเยอะๆมันก็อาจจะ flush หรือล้างออกมาได้ แล้วก็น้ำดีหลังจากที่อดอาหาร ทานแต่น้ำแอปเปิ้ลมันก็มีผล พวกวิตามินซี ทำให้น้ำดี อาจจะคุณภาพน้ำดีของคนๆนั้นเขาอาจจะเปลี่ยนไป สมัยเก่าอาจจะเป็นน้ำดีชนิดที่พร้อมจะตกตะกอน เป็นนิ่วง่าย ก็กลายเป็นน้ำดีที่ดีขึ้นดีกว่าเก่า มันก็อาจจะมาละลายอยู่ตรงนี้ได้ แล้วก็พอมันเล็กลงมันก็มีโอกาสหลุดออกมาได้ ถ้ามันดีมากๆมันอาจจะละลายหมดไปเลยอย่างนี้ก็ยิ่งดี เป็นเล็กๆเลยหรือเป็นฝุ่นเลยเป็นตะกอนเลยมันก็ออกมาได้ง่ายขึ้นอีก"

ความเห็นจากแพทย์แผนปัจจุบันทั้ง 3 ท่านนั้นได้สร้างคุณูปการอย่างใหญ่หลวงทำให้ประชาชนมีความเข้าใจถึงกลไกในการหายป่วยของผู้คนที่เข้าหลักสูตรล้างพิษตับได้มากขึ้น จึงขอกราบขอบพระคุณในวิทยาทานที่ให้กับประชาชนชาวไทยในครั้งนี้



กำลังโหลดความคิดเห็น