ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์- ในวาระครบรอบ 3 ปีการชุมนุมเผาบ้านเผาเมือง 19 พฤษภาคม 2556 ซึ่งมีคนเสื้อแดงเดิน “ยั้วเยี้ย” เต็มแยกราชประสงค์ พร้อมตั้งอกตั้งใจฟังคำสั่งสอนของ “นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร” มีบทสัมภาษณ์ชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจยิ่ง
บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ “โพสต์ทูเดย์” ฉบับวันที่ 19 พฤษภาคม 2556 โดยผู้ให้สัมภาษณ์มีชื่อว่า “พันธุ์ศักดิ์ ศรีเทพ”
หลายคนอาจสงสัยว่า ชายผู้นี้คือใคร?
พันธุ์ศักดิ์ ศรีเทพเป็นบิดาของ “น้องเฌอ” สมาพันธ์ ศรีเทพ ซึ่งเสียชีวิตจากการถูกยิงในช่วงการชุมนุมเผาบ้านเผาเมืองของคนเสื้อแดงด้วยวัยเพียงแค่ 17 ปีบริเวณทางเท้าตรงข้ามปั๊มเชลล์ ซอยรางน้ำ ถนนราชปรารถ และจวบจนปัจจุบนก็ยังไม่เป็นที่สรุปว่า กระสุนที่คร่าชีวิตน้องเฌอนั้นยิงมาจากฝ่ายใด
เหตุที่น่าสนใจ ก็เพราะพันธุ์ศักดิ์ได้สะท้อนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นรัฐบาลขอคนเสื้อแดง แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ซึ่งเป็นองค์กรจัดตั้งภาคประชาชนของคนเสื้อแดง และปรากฏการณ์ “แดงอิสระ” ที่ตาสว่างจากทักษิณ ตาสว่างจากนปช.อีกขั้น กระจายตัวออกไปทั่วสารทิศ
ดังนั้น นี่คือข้อเท็จจริงจากคนวงใน จากญาติผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองที่ตรงไปตรงมาอย่างไม่อาจมองข้ามไปได้ โดยสามารถแยกแยะออกได้เป็น 2 ประเด็นใหญ่ๆ ด้วยกันคือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)
สำหรับประเด็นเรื่องรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนั้น พันธุ์ศักดิ์กล่าวอาไว้ชัดเจนว่า ไม่ได้มีความจริงใจและตั้งใจที่จะเร่งรัดกระบวนการสืบสวนสอบสวนคดีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม
“ผมอ่านทุกร่างแล้ว(ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง) ลอกกันมาทั้งนั้น นำไปสู่ความเลิกแล้วต่อกัน แต่ไม่ได้นำพิสูจน์ทราบความจริงเพื่อนำคนผิดมาลงโทษ แม้แต่ร่างของณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.ถึงแม้กั๊กอยู่บ้าง แต่ถ้าไปดูจะรู้ว่า เป็นภาษาแบบนักการเมือง ไม่ได้นำไปสู่การรับประกันว่าคนผิดจะต้องถูกลงโทษ”
“สุดท้ายประชาชนก็ต้องเป็นเหยื่อทั้งหมด เพราะเขาจะไม่ยิงหัวกันเพราะเขากันแย้งกันหรอก แต่เขาจะลากประชาชนออกมาแล้วยิงหัวประชาชนสักสิบยี่สิบคน แล้วเขาก็จะต่อรองอไรกัน”
ตัดฉับกลับไปที่แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กันบ้าง
พันธุ์ศักดิ์ให้คำจำกัดความเกี่ยวกับ นปช.เอาไว้ชัดเจนว่า ตกอยู่ในสภาพ “ไม่สามารถคาดหวังอะไรได้”
“เราคาดหวังอะไรกับ นปช.ไม่ได้ นปช.หลายคนเป็น สส. เป็นรัฐมนตรีไปแล้ว มันก็จบแล้ว ถ้าจะให้ นปช.ไปตามตรวจสอบรัฐบาลเอง มันทำไม่ได้ เพราะเมื่อคุณไปจอยผลประโยชน์ร่วมกัน มันย่อมตรวจสอบจากข้างในไม่ได้ ความน่าเชื่อถือไม่มี ถามหน่อยเวลาที่ นปช.จัด 19 พ.ค. เขามีธีมอะไรไหม เขาจะบอกไหมว่าเราจะมารวมกันรำลึกถึงตนตาย ต้องหาคนผิดมาลงโทษ เราจะปฏิเสธการนิรโทษกรมแบบเหมารวมทั้งหมด เมื่อไม่ได้ขับเคลื่อนเอาจริงเอาจัง สุดท้ายมันก็กลายเป็นงานเชงเม้ง หลังจากนี้ก็เชงเม้งไปเรื่อยๆ”
“อย่างปฏิญญาโบนันซ่า ไม่ต่างอะไรกับปาฐกถายิ่งลักษณ์ คือแค่พูด แต่โนแอ็กชั่น คุณจะไปบอกว่า โอ้โหนายกฯ กล้าหาญมาก แต่เขารัฐประหารมาตั้งกี่ปีแล้ว คุณเพิ่งมากล้าพูดเรื่อง ก.ย.2549 ผมว่าเป็นเรื่องตลกมากกว่า มันไม่ใช่เรื่องกล้าหาญ ขณะที่ นปช.เองถามว่า จนถึงตอนนี้ปฏิญญาโบนันซ่ามันมีแอ็กชั่นอะไรเป็นรูปธรรมหรือยัง ฉะนั้นถ้าไม่มีแอ็กชั่น เรื่องใหญ่เรื่องโตแค่ไหน ใครก็พูดได้ทั้งหมด”
“หลายครั้งผมเดินในพื้นที่ชุมนุม เริ่มมีเสียงด่าไม่เห็นด้วย อย่างโฟนอินปีที่แล้ว(โฟนอินเรือส่งถึงฝั่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) เสียงด่าเยอะ ปฏิกิริยาตอนนั้นก็ดังมาก เราจะเห็นว่าเวทีเล็กของคนเสื้อแดงเพิ่มขึ้นทุกปี เพราะเส้นทางประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นเจ้าของนั้น เส้นทางบางคนไม่เหมือนกัน คิดไม่เหมือนกัน....ด้วยจุดยืนที่ไม่มั่นคงของ นปช.ทำให้เกิดขบวนการเสื้อแดงที่ตาสว่างจากทักษิณ และจาก นปช.อีกชั้น แตกเป็นกลุ่มแดงอิสระกระจายออกไปทั่วสารทิศ กลายเป็นปรากฏการณ์แดงก้าวข้ามแดงต่อไปเรื่อยๆ”
นั่นคือถ้อยคำจากปากของพันธุ์ศักดิ์ซึ่งสะท้อนปรากฏการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับคนเสื้อแดงใน พ.ศ.นี้ได้เป็นอย่างดี ดังนั้น จึงอย่าแปลกใจว่า ในการสไกป์ล้างสมองของนักโทษชายทักษิณเมื่อ 19 พ.ค.ที่ผ่านมาจึงปฏิเสธแนวทางในการปรองดองฉบับ ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง และมุ่งเน้นไปที่ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับ “วรชัย เหมะ” แทน เพราะถ้านักโทษชายทักษิณยังคงด้านหน้าปรองดองต่อไป คนเสื้อแดงก็จะยิ่งแตกตัวออกเป็นแดงอิสระมากขึ้นเรื่อยๆ
เหตุที่นักโทษชายทักษิณจำเป็นต้องกลับลำ ทั้งๆ ที่มุ่งมาดปรารถนาจะเดินหมากนี้ใจจะขาด ไม่ใช่เป็นเพราะเขาอยากจะเสียสละ แต่เป็นเพราะเสียงคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ฉบับเป็ดเหลิมดังกระหึ่มจากคนเสื้อแดง ดังจะเห็นได้จากบทสัมภาษณ์ของพันธุ์ศักดิ์ ดังนั้น นักโทษชายทักษิณจึงจำต้องเล่นลิเกหลอกคนเสื้อแดงต่อไปเพื่อหวังใช้งานใหญ่ในภายภาคหน้า
ถามว่า ทำไมนักโทษชายทักษิณจึงอยากปรองดอง
แน่นอน ย่อมไม่ใช่เพราะเขาอยากเห็นความสงบเกิดขึ้นในบ้านเมือง หากแต่เป็นเพราะเขาคือผู้ได้ประโยชน์จากร่างกฎหมายฉบับเป็ดเหลิมโดยตรง ที่สำคัญคือถ้ายังปล่อยให้คดีก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมืองดำเนินต่อไป สุดท้ายคนเสื้อแดงที่ยังคงดักดานก็จะรู้ความจริงว่า ใครคือคนที่สั่งเผา ใครคือคนที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้คนเสื้อแดงตาย ดังนั้น จึงจำเป็นต้องล้มล้างความผิดของทุกฝ่าย
หากยังจำกันได้ ก่อนหน้าที่เขาจะกลับลำชนิด 360 องศา ทักษิณ ชินวัตร เคยโอดครวญมาว่า เบื่อลอยคออยู่กลางทะเล จะหนาวตายอยู่แล้ว อยากกลับประเทศไทย ในช่วงนั้นเขาประกาศชัดเจนว่า ไม่เห็นด้วยกับการผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับของ วรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ ที่ยังมีลักษณะกั๊กๆ ไปไม่สุดซอย
และนั่นเองเป็นเหตุให้ “ขี้ข้า” อย่าง เฉลิม อยู่บำรุง ได้ช่อง รีบเอา ร่าง กฎหมายฟอกผิดให้ทักษิณ หรือที่ตั้งชื่อว่า ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ออกมาจากลิ้นชัก ไปให้ส.ส.ในพรรคเพื่อไทยลงชื่อสนับสนุน ซึ่งก็มีส.ส.รีบเสนอหน้าออกมาลงชื่อถึง 149 คน เหลือเพียงรอลายเซ็นของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี เท่านั้น เพราะถือว่าเป็นกฎหมายการเงิน ที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบ เนื่องจากมีเรื่องเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง รวมทั้งการคืนเงิน 4.6 หมื่นล้านบาท ให้ทักษิณด้วย
ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.ฟอกผิดให้ทักษิณ ที่เฉลิมอ้างว่าจะสร้างความปรองดองได้นั้น มี 6 มาตรา เนื้อหาสาระที่สำคัญ คือ ให้ลบล้างความผิดทั้งหมดจากผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทางการเมืองตั้งแต่ ต้นปี 2549 ถึงปัจจุบัน ความหมายก็คือ ทุกคน ทุกฝ่าย ทุกสี ที่มีคดีความ ถ้าเป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณา อยู่ในชั้นตำรวจ อัยการ ศาล รวมทั้งคดีที่มีการตัดสินไปแล้ว ก็ให้หลุดหมด
ส่วนเรื่องเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทของทักษิณ ที่ถูกคำสั่งศาลยึดไปนั้น ถึงไม่ต้องบอกก็รู้อยู่แล้วว่า ในเมื่อกฎหมายนี้เขียนขึ้น เพื่อทักษิณ มีผลครอบคลุมไปถึงคำสั่ง หรือ ผลจากคำสั่งคณะปฏิวัติ คมช. เช่น ในเรื่องตั้ง คตส. ขึ้นตรวจสอบทุจริต ก็ถือว่าไม่มีผล ไม่มีความผิด ดังนั้นเมื่อไม่มีความผิด ก็ต้องคืนเงินที่ศาลสั่งยึดไป มาให้ทักษิณด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
นี่คือบทพิสูจน์ชัดเจนถึงสันดานของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตรได้เป็นอย่างดี
คนเสื้อแดงเคยสนใจที่จะจดจำเหตุการณ์เหล่านี้บ้างหรือไม่
หรือรู้ทั้งรู้ว่าถูกหลอก รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเพียงแค่เหยื่อการต่อรองอำนาจ แต่ก็ยังคงหน้ามืดตามัวดำรงตนเป็นคนเสื้อแดงดักดานต่อไป ไม่กล้าแม้กระทั่งแยกตัวและล้างภาพคนเสื้อแดงออกไป ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นแดงเฉดสีไหน ก็ยังคงเป็นแดงที่เป็นบัวใต้น้ำที่ไม่มีวันหลุดพ้นจากกับดักชื่อทักษิณ ชินวัตรได้อยู่ดี...
เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนั้น.....