ผ่าประเด็นร้อน
ผ่านมาหลายวันยังก้าวไม่ข้าม ทักษิณ ชินวัตร สักที ก็ต้องยอมรับว่ามันยังมีเรื่องน่าค้นน่าสังเกตตามอีกมากมายหลังจากค่ำคืนวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา วันที่คนเสื้อแดงรำลึกครบรอบ 3 ปีที่ราชประสงค์ และเป็นวันที่ได้เห็นร่องรอยความผิดปกติที่เกิดขึ้นระหว่าง "เจ้าของ" กับพวก "ขี้ข้า"ทั้งหลาย โดยเฉพาะความรู้สึกของพวกหลังที่เริ่มแปร่งๆขึ้นมาแบบที่น่าจับตายิ่งนัก ขณะเดียวกันในเหตุการณ์ค่ำคืนวันนั้น เราได้เห็นลีลาของ ทักษิณ ที่ยอมถอยอย่างเป็นทางการเพื่อต้องการประคองสถานการณ์ ต้องการรักษามวลชนเอาไว้ให้มากที่สุดและนานที่สุด
ประกาศยอมถอยร่างกฎหมายปรองดอง ที่เตรียมไฟเขียวให้ รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผลักดันเข้าสภาในสมัยประชุมหน้า โดยอ้างว่านี่เป็นการเดินแบบ "สุดซอย" แบบไม่ยั้งกันไปเลย แบบไหนๆก็ไหนประมาณนั้นแหละ ขณะเดียวกันกลับไม่สนับสนุนร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่เสนอโดย สส.ที่มาจากแกนนำคนเสื้อแดง อย่างเช่น วรชัย เหมะ เป็นต้นที่มีเนื้อหาในเบื้องต้นที่แถลงต่อสาธารณะว่าต้องการลบล้างความผิดเฉพาะชาวบ้านไม่ครอบครอบไปถึงบรรดาแกนนำหรือผู้สั่งการ แม้ว่าอาจมี "หมกเม็ด"รอไว้แก้ไขตบตาในช่วงแปรญัตติก็ได้ แต่เมื่อต้อง "ตีความ"สำหรับ ทักษิณ ถือว่า ไม่ชัวร์เขา"ไม่ได้กำไร" เขาก็ไม่สนับสนุน โดยเปรียบเทียบว่า"เดินไม่สุดซอย" ไม่เหมือนฉบับเฉลิม ถ้าหากผ่าน เขาก็จะพ้นผิด และสามารถร้องขอคืนเงินที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยึดทรัพย์จากคดีทุจริตจำนวน 4.6 หมื่นล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยกลับคืนมาด้วย
ซึ่งเชื่อว่าเนื้อหาสาระของกฎหมายฉบับดังกล่าวที่เดิมมี 6 มาตรา แต่ล่าสุด รตอ.เฉลิม เริ่มเปลี่ยนท่าทีอ้างว่าได้ยอมตัดมาตรา 5 ที่เกี่ยวกับการเยียวยาที่เป็นเรื่องการเงิน และนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องลงนามรับรองก่อนนำเสนอสภาออกไปแล้ว
แต่ถึงอย่างไรนั่นอาจเป็นเล่ห์เหลี่ยมรอบจัดเพื่อหวังให้ น้องสาว ทักษิณ คนนี้ได้ลอยตัว ไม่ต้องมาผูกพันกับกฎหมายฉบับดังกล่าว โดยปล่อยให้เป็นเรื่องของ สส.พรรคเพื่อไทยและสภาดำเนินการกันเอง
อย่างไรก็ตามสำหรับปัญหาที่แท้จริงที่คาดไม่ถึงก็คือในเนื้อหาที่มีเป้าหมายสำคัญที่สุดเพื่อต้องการลบล้างความผิดและคืนเงินให้ทักษิณ ดังกล่าวนั้น ในเมื่อไม่อาจเขียนกฎหมายระบุตรงๆเป็นการเฉพาะว่า "กฎหมายฉบับนี้ต้องการล้างผิด และต้องคืนเงินให้ ทักษิณ ชินวัตร"ได้ ก็จำเป็นต้องเขียนขึ้นมาให้คลุมไปทั่วทุกคนทุกกลุ่มและทุกสี และมันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องทำให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ สุเทพ เทือกสุบรรณ ต้องพ้นผิดไปด้วย
ปัญหาก็เกิดขึ้นทันที เพราะทั้งสองคนดังกล่าว ทั้งตัวทักษิณ เองหรือสั่งผ่านลูกน้องที่เป็นแกนนำคนอื่นๆให้ปลุกระดมมานานและเข้มข้นว่าทั้งคู่เป็น "ฆาตกร" คนสั่งฆ่าคนเสื้อแดงตายเป็นเบือ ต้องลากคอมาลงโทษให้สาสม แต่จู่ๆจะมา "หักมุม" มาปล่อยให้ลอยนวลหน้าตาเฉย แบบนี้มันหมายความว่าอย่างไร คิดว่าคนเสื้อแดงเป็น "กระบือ"หรือไงคิดว่าจะ "จูงจมูก"ไปทางไหนก็ได้อย่างนั้นหรือ
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากบรรยากาศจากเวทีคนเสื้อแดงเมื่อค่ำวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมาช่างแตกต่างกันลิบลับเมื่อราวสองปีก่อนวันที่วีดิโอลิงก์เข้ามาบนเวที ประกาศ "สลัดทิ้งคนเสื้อแดง" แบบว่า "อย่าตามมาจะนั่งรถขึ้นเขาไปตามลำพังแล้ว" ทำนองว่าเมื่อแจวเรือมาส่งถึงฝั่งแล้วก็ขอบคุณ แต่ต่อไปก็ต้องตัดใจกล่าวทำนองให้เข้าใจว่า "ทางใครทางมันก็แล้วกัน" ตอนนั้นยังมั่นใจและห้าวสุดขีดตามนิสัยขี้โม้มาแต่ไหนแต่ไร แต่มาวันนี้ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปจากหน้ามือแทบจะเป็นหลังเท้า อันเนื่องจากระยะเวลาที่ทำให้เปลือยตัวตนออกมาให้เห็นเรื่อยๆ ได้เห็นธาตุแท้ความเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้อยู่ร่ำไป หน้ากากประชาธิปไตยเริ่มหลุดร่อนออกไปเรื่อยๆ
ที่สำคัญผลงานของรัฐบาลน้องสาวตัวเอง ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไรก็ยิ่งเห็นถึงความล้มเหลว มีฝีมือแค่ "ธรรมดาพื้นๆ" ไม่ได้วิเศษกว่ารัฐบาลก่อน นั่นคือห่วยแตกไม่ต่างกัน ขณะเดียวกันลีลานายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้นนับวันก็ยิ่งถูกจับจ้องเรื่องสติปัญญามากขึ้นทุกวัน เพราะหากยิ่งพูดก็ยิ่งเผยให้เห็นความผิดปกติออกมา แต่หากเงียบไม่ตอบโต้หรือว่าตอบโต้ไม่ได้ นานไปก็ยิ่งน่าเบื่อ หลายปัญหาเริ่มขมวดปมเข้ามาเรื่อยๆ ล้วนมีแต่แต้มลบ เอาง่ายๆขนาดหลานสาวตัวเองไปแต่งงานกับหนุ่มเขมรคนสนิทฮุนเซนยังกลายเป็นประเด็นการเมืองที่ทำให้คนไทยไม่น้อยเสียความรู้สึก เพราะดันมาคร่อมในช่วงที่กำลังมีกรณีพิพาทเรื่องดินปราสาทพระวิหารในศาลโลกพอดี
นอกจากนี้ในหมู่คนเสื้อแดงด้วยกันเองระยะหลังเริ่มเห็นอาการไม่ลงรอยชัดเจนขึ้นอย่างน้อยก็มีกลุ่ม "ชมรมคนรักอุดร"ของขวัญชัย ไพรพนา ที่ไม่เอาด้วยกับกลุ่มเสื้อแดง ธิดา ถาวรเศรษฐ์ และล่าสุดแม้กระทัั่งการชี้แจงร่างกฎหมายปรองดอง รตอ.เฉลิม ก็ยังเลือกชี้แจงกับมวลชนที่เวทีจังหวัดอุดรฯเป็นแห่งแรก
ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากท่าทีของ ทักษิณ ล่าสุด ถือว่า"ผิดฟอร์ม"ไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด เพราะการประกาศถอยร่างปรองดองดังกล่าวเอาไว้ก่อน ถือว่า "เดินถอยออกมาจากซอย" แบบที่ไม่เห็นแบบนี้มาก่อน แต่หากเข้าใจก็ต้องบอกว่าเขาต้องการประคองสถานการณ์รักษามวลชนเอาไว้ เหมือนอย่างที่พยายามอ้อนวอนให้ผนึกกำลังเอาไว้เพื่อ "ทำงานใหญ่" ซึ่งในที่นี้ก็ต้องหมายถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เขากลับมามีอำนาจ และหน้ากากที่ใช้ก็ยังเป็นแบบเดิมนั่นคือ ประชาธิปไตย มาหลอกต้มเช่นเคย ซึ่งก็ต้องมาพิจารณากันอีกว่าจะทำได้สำเร็จหรือเปล่า แต่สำหรับนาทีนี้เอาเป็นว่า "มนต์แม้ว"เริ่มไม่ขลังเหมือนก่อนแล้ว !!