xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

นัยสำคัญดอกเบี้ยของ“กิตติรัตน์”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-เมื่อเร็วๆนี้ นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง บอกกับนักข่าวว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ส่งจดหมายถึงผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และประธานคณะกรรมการ ธปท. เพื่อสอบถามความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ค่าเงินบาทในปัจจุบันว่าน่าเป็นห่วงหรือไม่อย่างไร โดยผู้ว่าฯ ธปท.ได้ตอบกลับมาว่า ในฐานะผู้ว่าฯ ธปท.ไม่มีอำนาจก้าวก่ายการตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แต่ ธปท.ป็นห่วงว่าหากลดดอกเบี้ยนโยบายแล้วอาจมีผลต่ออัตราสินเชื่อในตลาด และจะส่งผลให้ราคาอสังหาริมทรัพย์เร่งตัว

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยน โดยจะดำเนินนโยบายแก้ปัญหา หากว่าอัตราแลกเปลี่ยนไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ

กนง. หารือร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อประชุมเพิ่มเติมนัดพิเศษ เพราะนอกจาก ธปท.จะสรุปข้อมูลเศรษฐกิจรายเดือนให้แก่ กนง. ได้รับทราบแล้ว ทางด้าน กนง.ยังได้หารือถึงแนวทางจัดการกับปัญหาเงินบาทที่แข็งค่า โดยใช้เวลาหารือกันตั้งแต่ 15.00 น. ถึงเวลาประมาณ 18.30 น.

การหารือร่วมดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากที่ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ประชุมร่วมกับ ธปท. และ กระทรวงการคลัง เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งนายกิตติรัตน์ ระบุว่าต้องการให้มีการหารือกันในกนง. โดยต้องการให้พิจารณาลดดอกเบี้ยนโยบายลงจากระดับ 2.75 % หรือ กรณีไม่ลดดอกเบี้ยก็ขอให้หามาตรการอื่นเสนอมาให้พิจารณา

แถลงการณ์ของ กนง. ระบุว่า คณะกรรมการ กนง. ได้ประชุมเพื่อรับฟังการรายงานภาวะเศรษฐกิจประจำเดือนจาก ธปท. และร่วมหารือถึงสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยน โดย กนง.ได้ติดตามสถานการณ์การแข็งค่าของเงินบาทอย่างใกล้ชิด ตลอดจนประเมินผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบต่อเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

คณะกรรมการ กนง. ประเมินว่า “การแข็งค่าของเงินบาทช่วงที่ผ่านมา มีสาเหตุสำคัญจากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทย ทำให้นักลงทุนต่างประเทศมีความเชื่อมั่น ซึ่งการแข็งค่าของเงินบาทก็เป็นโอกาสที่เอื้อให้เอกชนสามารถลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต”

สำหรับในแง่ลบนั้น การแข็งค่าของเงินบาทได้ส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออก โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก และผู้ส่งออกที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบในประเทศ สินค้าเกษตร และแรงงานในสัดส่วนที่สูง อย่างไรก็ตาม การปรับตัวอย่างต่อเนื่องของผู้ประกอบการได้ช่วยลดทอนผลกระทบได้ในระดับหนึ่ง ซึ่ง กนง. ประเมินว่า แม้การแข็งค่าของเงินบาทจะมีผลกระทบ แต่เศรษฐกิจในภาพรวมยังขยายตัวได้ สอดคล้องกับการประเมินของหน่วยงานอื่นๆ

“คณะกรรมการฯ มีความห่วงใยต่อความผันผวนและการแข็งค่าอย่างรวดเร็วของเงินบาทในระยะที่ผ่านมา ซึ่งบางช่วงอาจไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ กนง.จึงเห็นพ้องถึงความจำเป็นในการดำเนินนโยบายที่เหมาะสมต่อสถานการณ์ ภายใต้กรอบการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนที่ได้วางไว้แล้ว รวมถึงการผสมผสานมาตรการและการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” แถลงการณ์ของ กนง.ระบุในตอนท้าย

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ กิตติรัตน์ ใช้อำนาจในฐานะที่เป็นผู้รักษา พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีการทำหนังสือถึงประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อสอบถาม 3 ประเด็น ได้แก่ 1. อัตราดอกเบี้ยมีผลต่อเงินทุนไหลเข้าอย่างไร 2. การใช้เงินดูดซับสภาพคล่องจะเกิดผลกระทบอย่างไร และ 3. ข้อเสนอแนะที่ ธปท.มีต่อคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในสถานการณ์อย่างนี้เป็นอย่างไร

ประธานคณะกรรมการ ธปท.ได้มีหนังสือชี้แจงกลับมาว่าไม่มีอำนาจเข้าไปก้าวก่ายการทำงานของ ธปท.

ข้อมูลของเงินไหลเข้าส่วนใหญ่ จะเป็นการลงทุนในพันธบัตรและตราสารหนี้ระยะยาว มากกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นหรือการลงทุนในลักษณะการเก็งกำไรในระยะสั้น โดยการลงทุนส่วนหนึ่งมาจากความมั่นใจในเศรษฐกิจของไทย

ทั้งนี้ การลงทุนในระยะยาว ถือว่าเป็นประโยชน์กับประเทศไทย สถานการณ์ในขณะนี้เป็นเรื่องของการบริหารอนาคต ดังนั้นการจะออกมาตรการอะไรออกมา ต้องพิจารณาให้รอบคอบเพราะในอนาคตประเทศไทย จะมีการลงทุนหลายเรื่องซึ่งอาจเกิดผลกระทบได้

นั่นทำให้ ข้อสังเกตุของ ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผ่านเฟสบุ๊ก มีความน่าสนใจ

เขาให้ความเห็น ถึงสาเหตุของเงินบาทแข็งค่าและแนวทางแก้ไขว่า “รัฐควรเข้าไปดูแลตลาดพันธบัตร ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้บาทแข็ง แต่รัฐไม่ทำเพราะจะทำให้มีเงินมาซื้อพันธบัตรน้อยลงในอนาคต ซึ่งอาจกระทบต่อการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท”

เขาบอกว่า กราฟนี้จัดทำโดย Asian Development Bank แสดงสัดส่วนของพันธบัตรไทย ที่ถือโดยนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา สัดส่วนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว แสดงถึงเงินทุนไหลเข้าที่มุ่งเข้าไปในตลาดพันธบัตรไทยเป็นหลัก และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้บาทแข็ง โดยเงินทุนที่ไหลเข้าในตลาดพันธบัตร เป็นจำนวนเงินที่สูงกว่าเงินที่ไหลเข้าในตลาดหุ้นหลายเท่า

“วิธีลดแรงกดดันเงินบาทที่ได้ผลที่สุด ก็คือการดูแลเงินที่ไหลเข้าตลาดพันธบัตร ซึ่งการลดดอกเบี้ยนโยบายที่มีอายุเพียง 1 วัน จะไม่แก้ปัญหาตรงจุด แต่ต้องใช้มาตรการ capital control ซึ่งสามารถทำได้จากระดับอ่อน ไปถึงระดับเข้มด้วยการเก็บภาษี เริ่มทำเมื่อใด แรงกดดันบาทแข็งก็จะยุติเมื่อนั้น”

“ถามว่าทำไมกระทรวงการคลังจึงไม่เลือกใช้มาตรการด้านนี้ แต่หันไปกดดันแบงก์ชาติให้ลดดอกเบี้ยแทน มาตรการคุมเงินไหลเข้าตลาดพันธบัตร ถึงแม้จะได้ผลในการลดแรงกดดันบาทแข็ง แต่จะทำให้มีเงินมาซื้อพันธบัตรน้อยลงในอนาคต ดังนั้น เมื่อรัฐบาลมีแผนจะกู้เงิน 2 ล้านล้าน ก็อาจจะไม่อยากไปแตะต้องตลาดพันธบัตร เป็นเรื่องธรรมดา”

นอกจากนี้ ธุรกิจที่อาศัยเงินทุนไหลเข้าดังกล่าวไปบูมโครงการต่างๆ โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ แหล่งเงินก็จะมีน้อยลง เขาก็ย่อมไม่ชอบ เป็นเรื่องธรรมดา

ทั้งนี้ ทุกมาตรการมีข้อดีข้อเสียครับ ไม่ว่า ก. แบงก์ชาติลดดอกเบี้ยนโยบาย หรือ ข. ใช้ capital control หรือ ค. แบงก์ชาติเข้าไปแทรกแซงซื้อดอลลาร์ หรือแม้แต่ ง. ปล่อยให้บาทแข็งและบังคับให้ผู้ส่งออกต้องปรับตัว

นั่นคือข้อเสนอที่มีเหตุและผลว่า ทำไมกิตติรัตน์ ถึงกดดันแบงก์ชาติอย่างหนัก

โยนขี้ไปให้ ธปท.นั่นเอง !!!




capital control หยุดบาทแข็งได้ทันที แต่ รบ.กลัวกระทบกู้ 2 ลล. โบรกฯ แนะใช้ยาอ่อนเตือนเม็ดเงินร้อน
capital control หยุดบาทแข็งได้ทันที แต่ รบ.กลัวกระทบกู้ 2 ลล. โบรกฯ แนะใช้ยาอ่อนเตือนเม็ดเงินร้อน
“ธีระชัย” โพสต์เฟซบุ๊ก ชี้ ธปท. มีเครื่องมือพร้อมชะลอบาทแข็ง เริ่มจากระดับอ่อนถึงเข้ม พร้อมแฉ “คลัง” สามารถใช้มาตรการ capital control ซึ่งสามารถทำได้จากระดับอ่อน ไปถึงระดับเข้มด้วยการเก็บภาษีแต่กลับไม่ทำ ระบุชัดหากเริ่มทำเมื่อใดแรงกดดันบาทแข็งก็จะยุติเมื่อนั้น ซึ่งการที่คลังไม่ยอมคุมพันธบัตรแก้บาทแข็ง เพราะกลัวกระทบโครงการกู้เงิน 2 ล้านล้าน ด้านนักวิเคราะห์แนะใช้มาตรการอ่อนเพื่อส่งสัญญาณให้นักลงทุนทราบ แต่ไม่ควรใช้กันสำรอง 30% อาจทำให้ช็อกตลาดได้
กำลังโหลดความคิดเห็น