xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

โปรดเข้าใจ.... กะหรี่แค่ขายตัว แต่หญิงชั่วเที่ยวเร่ขายชาติ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ปาฐกถาของ “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีของไทยในการประชุมประชาคมประชาธิปไตยที่เมืองอูลันบาตอร์ สาธารณรัฐประชาชนมองโกเลียเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2556 กล่าวได้ชัดเจนว่า เป็นปาฐกถาที่ “ไม่ปกติ” และสะท้อนให้เห็นว่า ระบอบทักษิณส่งสัญญาณ “ท้ารบ” ทุกสถาบันที่เป็นศัตรูของเขา

ไม่เช่นนั้น เจ้าของฉายานายกฯ นกแก้วที่ปกตินิยมชมชอบเล่นบทหนูไม่รู้และแต่งตัวสวยเดินไปเดินมาไปวันๆ คงไม่กล้าเล่นบทโหดจนสังคมเกิดความกังขาในพฤติกรรมอันผิดปกติในครั้งนี้

เพราะถึงวันนี้ชัดเจนแล้วปาฐกถาดังกล่าวไม่ได้กลั่นมาจากรอยหยักในสมองของนางสาวยิ่งลักษณ์ หากแต่เป็นบทที่มีผู้เขียนให้และเธอเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ได้รับคำสั่งให้อ่านตามบทที่กำหนดไว้เท่านั้น และคนที่สามารถสั่งนางสาวยิ่งลักษณ์ได้ก็มิใช่ใครอื่นหากแต่เป็นโคลนนิ่งผู้พี่ “นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร” ผู้เป็นพี่ชายคนเดียวเท่านั้น

ขณะเดียวกันผลพวงของปาฐกถาดังกล่าวยังขยายวงกว้างกลายเป็นความขัดแย้งที่ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขรมทั่วทั้งแผ่นดินไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อความที่อ้างว่ามาจากทวิตเตอร์ของ “ชัย ราชวัตร” นักเขียนการ์ตูนชื่อดังแห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐที่ระบุว่า “โปรดเข้าใจ กะหรี่ไม่ใช่หญิงคนชั่ว กะหรี่แค่เร่ขายตัว แต่หญิงคนชั่วเที่ยวเร่ขายชาติ” กระทั่งทำให้คนเสื้อแดงต้องยกโขยงกันไปที่หน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เพื่อวางพวงหรีดและเรียกร้องให้ นสพ.ไทยรัฐ ตรวจสอบการทำงานของการ์ตูนนิสต์รายนี้ เพราะเข้าใจว่าเป็นข้อความที่หมายถึงนายกรัฐมนตรีของคนเสื้อแดง

**ปู โรบอทโปรแกรมใหม่ รุ่นทำลายประเทศตัวเอง

“หากตัวดิฉันและครอบครัวของดิฉันต้องเจ็บปวดแต่ฝ่ายเดียวก็คงจะปล่อยวาง แต่การรัฐประหารทำให้ไทยถอยหลังและสูญเสียความน่าเชื่อถือต่อนานาชาติ หลักนิติธรรมและกระบวนการกฎหมายถูกทำลาย โครงการที่พี่ชายดิฉันริเริ่มตามที่ประชาชนต้องการถูกยกเลิก ประชาชนเกิดความรู้สึกว่าสิทธิเสรีภาพของเขาถูกปล้นไปคนไทยได้ลุกขึ้นต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้ได้เสรีภาพคืนมา แต่ในเดือน พ.ค. 2553 มีการสลายการชุมนุมของผู้เรียกร้องกลุ่มคนเสื้อแดง ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 91 คน ในใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ คนบริสุทธิ์ถูกลอบยิงโดยสไนเปอร์ แม้แต่ทุกวันนี้ยังคงมีเหยื่อทางการเมืองจากการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยที่ติดคุกอยู่ รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นในรัฐบาลภายใต้คณะรัฐประหารได้ใส่กลไกที่ตีกรอบเพื่อจำกัดความเป็นประชาธิปไตย ตัวอย่างเห็นได้จากจำนวนครึ่งหนึ่งของวุฒิสภาไทยมาจากการเลือกตั้ง แต่อีกครึ่งหนึ่งกลับได้รับการแต่งตั้งโดยกลุ่มคนเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นกลไกที่เรียกว่าองค์กรอิสระได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตแทนประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริง”

นั่นคือข้อความส่วนหนึ่งในปาฐกถาของนางสาวยิ่งลักษณ์บนเวทีอูลันบาร์ตอที่ทำให้สังคมสงสัยถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ เพราะประชาชนมักจะเห็นและเจนตากับเธอในภาพ “หุ่นยนต์นายกหญิงคนแรกของโลก” ที่สนุกสนานกับการเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย แต่งตัวสวยๆ เดินกรีดกรายโชว์ความงามแห่งเรือนร่างไปวันๆ แถมถูกกำหนดโปรแกรมให้ตอบคำถามเอาไว้ล่วงหน้าอีกต่างหาก

อาทิ เมื่อถามเรื่องการบริหาร ตอบว่าทุกอย่างต้องคำนึงถึงพี่น้องประชาชนส่วนรวม ถามเรื่องกฎหมาย ตอบว่า ทุกอย่างต้องอยู่บนความถูกต้องของกฎหมาย ถามเรื่องนโยบาย ตอบว่า ทุกอย่างต้องดูในรายละเอียด ถามเรื่องประชาชน ตอบว่า กำลังดำเนินการแก้ไข ถามเรื่องวิธีแก้ไข ตอบว่า ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ ฯลฯ

แต่ปาถกฐาที่เวทีประชุมประชาคมประชาธิปไตย ที่เมืองอูลันบาตอร์ สาธารณรัฐประชาชนมองโกเลีย เมื่อวันที่ 29เม.ย.ที่ผ่านมา เสมือนหนึ่งเธอได้ถูกปรับโหมดหรือเปลี่ยนโปรแกรมให้กลายเป็นหุ่นยนต์ตัวใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว

ที่ต้องขีดเส้นใต้ไว้ก็คือเมื่อชำแหละ แยกแยะ วิเคราะห์ สปีชคำพูดแทบจะทุกระเบียดนิ้วของเธอแล้วคงจะต้องบอกได้ว่า นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 2ปี ที่เธอในฐานะนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดตามคำบัญชาของน.ช.ทักษิณ ชินวัตร จะออกมาแสดงท่าทีทางการเมืองค่อนข่างชัดกว่าทุกครั้ง จนแทบไม่น่าเชื่อนี่คือคำกล่าวจากจิตใต้สำนึกของคนชื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่คนไทยทั้งประเทศรู้ดีว่า ตัวตนที่แท้จริงเธอเป็นเยี่ยงไรและมีศักยภาพในการพูดสื่อสารเพียงแค่ไหน ซึ่งหากใครได้ยินที่เธอกล่าวปาฐกถาที่ร้อนแรงด้วยแล้วอาจพาลไปนึกว่าวิญญาณนช.ทักษิณ เข้าสิงพูดกล่อมสาวกคนเสื้อแดงเหมือนที่เคยเป็นมาตลอดอย่างไรอย่างนั้นทีเดียว

ทั้งนี้ เมื่อพินิจพิเคราะห์ คำพูดสาระที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ สื่อสารออกไปก็จะเห็นชัดเจนว่า เธอพุ่งเป้าที่ไปเหตุการณ์รัฐประหารปี 2549 โดยกล่าวหาว่าเป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย โค่นล่มรัฐบาลนช.ทักษิณ แถมยังปล่อยหมัดฮุก จุกกันถ้วนหน้า ทั้งศาล ทหาร สว.สรรหา ยันองค์กรอิสระกันเลยทีเดียว

ประโยคเด็ดประโยคหนึ่งของเธออยู่ตรงที่ว่า “เราทุกคนคิดว่ายุคใหม่ของประชาธิปไตยไทยมาถึงแล้ว และจะเป็นยุคสมัยที่ไร้การรัฐประหารแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น รัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งถึงสองครั้งสองหนด้วยเสียงส่วนใหญ่ถูกล้มลงในปี 2549 ประเทศไทยเสมือนรถไฟตกรางและประชาชนคนไทยใช้เวลาเกือบ 10 ปีกว่าที่จะได้เสรีภาพแห่งประชาธิปไตยกลับคืนมา หลายคนที่อยู่ในที่ประชุมแห่งนี้รู้ว่ารัฐบาลที่ตนพูดถึงคือรัฐบาลที่พี่ชายของตน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการเลือกตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

“หลายคนที่ไม่รู้จักดิฉัน อาจบอกว่าเธอจะบ่นไปทำไม เป็นเรื่องปกติในกระบวนการการเมืองที่รัฐบาลมาแล้วก็ไป ซึ่งหากตัวดิฉันและครอบครัวของดิฉันต้องเจ็บปวดแต่ฝ่ายเดียว ดิฉันก็คงจะปล่อยวาง แต่นั่นก็ไม่ใช่ความเป็นไปที่เกิดขึ้น จากการรัฐประหารประเทศไทยต้องถอยหลังและสูญเสียความน่าเชื่อถือต่อนานาชาติ หลักนิติธรรมและกระบวนการกฎหมายถูกทำลาย โครงการและแผนงานที่พี่ชายของดิฉันริเริ่มตามที่ประชาชนต้องการถูกยกเลิก ประชาชนเกิดความรู้สึกว่าสิทธิเสรีภาพของเขาถูกปล้นไป”

เรียกว่าชัดแจ้งแจ่มแจ๋วกับบทดรามาที่เหมือนถูกออกแบบมาฟอกผิดชุบตัวให้ นช.ทักษิณว่า ประเทศไทยมีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เลวร้ายอยู่จนทำให้นช.ทักษิณต้องมีสภาพเฉกเช่นในปัจจุบัน โดยเลือกที่จะไม่กล่าวถึงต้นสายปลายเหตุว่าทำไมจึงเกิดการรัฐประหารขึ้น ไม่กล่าวถึงต้นเหตุของทหารเข้ามาควบคุมสถานการณ์อันมาจากความขัดแย้งการเมืองรุนแรง จากการที่ประชาชน เสื่อมศรัทธา นช.ทักษิณ ซึ่งใช้อำนาจควบคุมกลไกราชการ แทรกแซงองค์กรอิสระอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำลายกลไกตรวจสอบ ระบบรัฐสภาง่อยเปลี้ยเสียขา ใช้เงินซื้ออำนาจใช้อำนาจมาต่อเงิน มอมเมาประชาชนด้วยนโยบายประชานิยมจนอ่อนแอ ไม่สร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับชาติ ใช้ทุนของประเทศสร้างกำไรให้กับตัวเอง เปิดโอกาสให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่นเบ่งบาน เป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องเจอกับการรัฐประหาร จนต้องระเห็จหนีเร่ร่อนเป็นสัมภเวสีบินวนเวียนทำร้ายประเทศไทยอยู่ตลอดเวลา

ขณะที่องค์การอิสระที่นางสาวยิ่งลักษณ์กล่าวหาและใส่ร้ายนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นองค์กรที่ยังไม่ถูกระบอบทักษิณกินรวบไปได้นั้นเองและยังไม่สามารถสั่งหันซ้ายหันขวาได้เหมือนฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารที่ถูกครอบงำแบบเบ็ดเสร็จ

เช่นเดียวกับความมั่วในการอ้างตัวเลขผู้เสียชีวิต 91 ศพในเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 ที่ถูก “นางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม” ภรรยาของพล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรมที่โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวย้อนเกล็ดเอาไว้อย่างเจ็บแสบว่า “การเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้าและทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ในคืนวันที่ 10 เมษายน 2553 ไม่ควรถูกนำไปรวมอยู่ในกลุ่มผู้เสียชีวิต 91 ศพในบริบทของสุนทรพจน์ที่นายกรัฐมนตรีได้กล่าวต่อชาวโลกที่มองโกเลีย เพราะเหตุผลและเจตนารมณ์ต่างกัน ทั้งนี้ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกเป็นภาษาอังกฤษถึงที่ประชุมประชาคมประชาธิปไตย มองโกเลีย เพื่อชี้แจงความจริง พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม สามีไปปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบ ไม่ได้เรียกร้องประชาธิปไตย เพราะประเทศไทยมีประชาธิปไตยอยู่แล้ว พร้อมยกรายงาน คอป.ที่ยืนยันมีชายชุดดำติดอาวุธโจมตีทหาร โดยคนเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากการ์ด นปช.....”

อย่างไรก็ตาม หากจะกล่าวถึงตัวน.ส.ยิ่งลักษณ์ด้วยแล้ว แน่นอนหลายคนคงจะรู้สึกแปลกใจว่าทำไมหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนโปรแกรมที่พูดได้ไม่กี่ประโยคในการบริหารประเทศ ถึงได้อาจหาญ เปิดหน้าชกเอาประเทศไทยมุมที่ทำให้พี่ชายเธอเสียประโยชน์มาประจานต่อหน้าชาวโลกแบบนี้

“ก่อนหน้านี้เนื้อหาไม่ใช่แบบนี้ เพราะก่อนเดินทางจะมีการประชุมเตรียมการก่อนไปเยือน และกระทรวงการต่างประเทศได้รับมอบหมายในการจัดทำร่างปาฐกถาของนายกฯ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้สอบถามนายกฯว่าจะพูดเรื่องอะไร โดยนายกฯบอกว่าจะพูดเรื่องประชาธิปไตยในไทยและเรื่องการศึกษา ซึ่งนายกฯก็พูดแค่นั้น และหลังจากนั้นกระทรวงการต่างประเทศก็ส่งร่างปาฐกถามาที่ตึกไทยคู่ฟ้าจำนวนเนื้อหาประมาณ 6-7 หน้าเอสี่ และหลังจากนั้นคณะทำงานด้านการจัดทำสคริปต์ให้นายกฯ นำโดยนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ก็มีการปรับเนื้อหาให้กระชับขึ้นแล้วส่งให้นายกฯ ดู จนมาถึงวันที่ 27 เม.ย.”

“วันเดินทางเนื้อหาในปาฐกถาก็ยังไม่นิ่ง เห็นว่านายกฯคุยกับคณะทำงานและนายสุรนันทน์บนเครื่องบินระหว่างบินไปมองโกเลีย นายกฯบอกให้แก้ไข อยากให้พูดให้เขียนให้ชัดเจน ตรงๆไปเลย ใส่ชื่อพี่ชายคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรไปเลย รวมทั้งอยากให้พูดถึงคนที่ติดคุกจำนวนมากด้วยซ้ำแต่ก็ถูกตัดออก ระหว่างการเดินทาง 5 ชั่วโมงบนเครื่องบินมีการแก้ไข แล้วก็ปริ๊นด้วยเครื่องปริ๊นไร้สาย (Portable) ปริ๊นแล้วก็แก้ ปริ๊นแล้วก็แก้ ในที่สุดจนได้เนื้อหาตามที่นายกฯ ต้องการ คือไม่ใช่ภาษาทางการทูตและภาษาที่สวยงามของกระทรวงการต่างประเทศ” แหล่งข่าวกล่าว

คำถามที่ตามมาก็คือเธออยู่ในสภาวะกดดันอะไรอย่างไรหรือไม่ ทำไมเธอถึงต้องฉีกบทนายกฯหุ่นเชิดใสซื่ออย่างที่เป็นอยู่

แต่เมื่อพิจารณาเหตุและปัจจัยโดยรอบด้านแล้วก็จะเห็นว่า นางสาวยิ่งลักษณ์กำลังเผชิญกับมรสุมลูกใหญ่ที่สั่นคลอนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีก็คงจะว่าได้ โดยสัญญาณที่เด่นชัดที่สุดที่เห็นก็คือการกลับเข้ามาสู่วงจรอำนาจของเจ๊แดง นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ที่สามารถกลับมาเป็น ส.ส. ได้สำเร็จ และขึ้นแท่นเป็นนายกรัฐมนตรีสำรองของระบอบทักษิณในฉับพลับทันที หากนายกฯ นกแก้วประสบอุบัติเหตุทางการเมืองหรือดึงดันที่จะไม่เล่นตามเกมของโคลนนิ่งผู้พี่

นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ว่า นช.ทักษิณอาจบีบน.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้ต้องเลิกเล่นบทนายกใสซื่อ เลิกเล่นบทตีกรรเชียงได้อีกต่อไป เปลี่ยนมาเป็นบทแรงๆ อย่างที่ประกาศต่อหน้าชาวโลก เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของระบอบทักษิณที่กำลังเร่งเกมรุกแก้รัฐธรรมนูญเพื่อล้มศาลรัฐธรรมนูญ ทำลายองค์กรอิสระ และฟอกความผิดของตนเองอย่าง “สุดซอย” และเต็มอัตราศึกอยู่ในขณะนี้

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือการที่นักโทษชายหนีคดีทักษิณสไกป์เข้ามายังที่ประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2556 ที่ผ่านมา โดยระบุว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย ขณะที่คนเสื้อแดงก็สู้ตายถวายหัวด้วยการประกาศระดมพลนับแสนเพื่อกดดันศาลรัฐธรรมนูญตามคำบัญชาของนายใหญ่

ดังนั้น คงไม่เกินเลยไปนักที่จะกล่าวว่า ปาฐกถาของนางสาวยิ่งลักษณ์ที่มองโกเลียคือเกมที่ “พี่ชาย” กำหนดไว้ให้น้องสาวปฏิบัติตามอย่างไม่มีเงื่อนไข โดยมีเป้าหมายเพื่อปักหมุดเริ่มต้นแห่งสัญญาณการท้ารบกับทุกสถาบันอันมีเป้าหมายสูงสุดก็คือ การที่นักโทษชายหนีคดีสามารถกลับประเทศไทยโดยที่ไม่ต้องรับโทษทัณฑ์และความผิดที่ได้ก่อไว้แต่ประการใด

**เมื่อเสียงด่าดังกระหึ่มทั้งแผ่นดิน

แน่นอน เมื่อน.ส.ยิ่งลักษณ์กล้าเปิดหน้าเอาความจริงเพียงเสี้ยวเดียวของประเทศมาเปิดเผยต่อประชาคมโลกเพื่อช่วยพี่ชายของตนเองโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศชาติ ปาฐกถาดังกล่าวของนางสาวยิ่งลักษณ์ได้นำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างหนักหน่วงไม่แพ้กัน

เพราะถ้าจะว่าไปแล้ว สิ่งที่นายกฯยิ่งลักษณ์กล่าวก็มิต่างอะไรจากสุนทรพจน์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปลุกเร้าข้าทาสคนเสื้อแดงให้ฮึกเหิมและเหิมเกริมเท่านั้น

สุรชัย ศิริไกร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นต่อปาฐกถาดังกล่าวเอาไว้ว่า ถือว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่งในการเอาปัญหาภายในประเทศไปบอกให้ต่างประเทศได้รับทราบ อีกทั้งถือเป็นการผิดธรรมเนียมปฏิบัติที่ได้ทำกันมา เพราะไม่มีผู้นำประเทศไทยเอาเรื่องภายในไปบอกให้คนอื่นรับรู้โดยที่เขาไม่ได้ถาม ยกตัวอย่างเช่น บารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งเดินทางมาเยือนประเทศไทยก็ไม่เคยนำปัญหาภายในสหรัฐฯ มาบอกให้ประเทศไทยรับทราบ

ขณะที่ อัษฏา ชัยนาม อดีตอธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ก็มีความเห็นไปในทำนองเดียวกันว่า การกระทำดังกล่าวถือว่าไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา และก็ไม่มีใครทำกัน อีกทั้งเป็นการแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาภายในประเทศได้

เฉกเช่นเดียวกับ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตหัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทได้โพสต์ข้อความผ่านเฟ็ซบุ๊ค 'Vasit Dejkunjorn' ถึงเหตุการณ์การกดดันศาลรัฐธรรมนูญของกลุ่มเสื้อแดง และปาฐกาถาของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มองโกเลียว่า เป็นหนึ่งในแผนการยึดประเทศไทยของทักษิณและพวก

“มีคนเขียนแสดงความเห็นกันไปแล้วเป็นอันมาก แต่ผมก็ยังเห็นอยู่ว่าผมต้องเขียนด้วยในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง ทีแรกตั้งใจจะเขียนเรื่องเดียวคือเรื่อง นปช.เสื้อแดง และนายกรัฐมนตรี สมคบกันคุกคามและบังคับไม่ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทำหน้าที่ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายโดยเจตนา บัดนี้มีอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีไปแสดงปาฐกถาที่มองโกเลีย ประจานเมืองไทย เรื่องแรกนั้นมีผู้แจ้งความต่อตำรวจกองปราบปรามแล้ว และคงรู้กันในไม่ช้าว่าตำรวจจะทำอะไรหรือไม่และเพียงใด ส่วนเรื่องที่สอง ผมเห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์คงไม่เข้าใจบทบาทของนายกรัฐมนตรี จึงได้นำเอาทุกข์ของตนและของพี่ชายไปเปิดเผยเป็นเชิงขอความเห็นใจในที่ ประชุมนานาชาติ ที่ทุเรศที่สุดก็คือทุกข์ที่ว่านั้นเป็นผลของความทุจริตประพฤติมิชอบของพี่ ชายตนเอง แต่ไปโยนความผิดให้คนอื่น ผมได้อ่านต้นฉบับ (text) ภาษาอังกฤษที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์อ่านในที่ประชุมที่มองโกเลียแล้ว เชื่อว่าคนอื่นเขียนให้ เพราะความรู้ภาษาอังกฤษของ น.ส.ยิ่งลักษณ์มีไม่พอที่จะเขียนได้อย่างนั้น แต่ใครจะเป็นคนเขียนก็ตาม คนที่เอาไปอ่านนอกจากจะโกหกอย่างหน้าด้านแล้ว ยังแสดงความโง่ของตนด้วยอย่างแน่นอน โง่ตรงที่ไปบอกเขาว่าบ้านเมืองยังไม่สงบแล้วก็เชิญชวนให้เขามาลงทุน และโง่ตรงที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลที่คุมเสียงข้างมากในรัฐสภา คุมทั้งทหารและตำรวจ แล้วไปยอมรับว่ายังทำอะไรกับผู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับประชาธิปไตยไม่ได้ ปาฐกถาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้นฟังแล้วเหมือนกับฟังนายก ฯ ของรัฐบาลพลัดถิ่นกำลังร้องขอความช่วยเหลือให้ต่างประเทศมาช่วยยึดอำนาจคืน ให้ตน ผมเห็นว่า การขู่บังคับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และปาฐกถาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้เป็นเรื่องบังเอิญหรือพ้องกัน แต่เป็นไปตามแผนของทักษิณกับพวก ที่จะยึดประเทศไทยทั้งประเทศให้ได้เท่านั้นเอง”พล.ต.อ. วสิษฐ ระบุไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว

แน่นอน ความเห็นของ พล.ต.อ.วสิษฐไม่ได้ผิดจากความเป็นจริงเลยแม้แต่น้อย เพราะต้องบอกว่าวิธีการดังกล่าวเป็นวิธีที่นักโทษชายทักษิณถนัด และมักใช้ยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศอยู่บ่อยครั้งยามเมื่อมีอะไรมาขัดขวางการกินรวบประเทศของเขา

และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ นช.ทักษิณ เริ่มจะกลับมาสู่โหมดอาละวาดอย่างที่เคยเป็นอีกแล้ว ไม่เช่นนั้นคงจะไม่เห็นบรรดาลิ่วล้อนช.ทักษิณ ตั้งแต่หัวยันหางออกมา เชิดชูยกยอสปีซเอาแต่ได้ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไล่ตั้งแต่ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หัวโจกเสื้อแดงนายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ นายพานทองแท้ ชินวัตร นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

เรียกว่าพร้อมยกยอปอปั้นกันสุดลิ่มทิ่มประตู

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากความเห็นดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์สำคัญที่กำลังกลายเป็นประเด็นที่มีความร้อนแรงถึงขีดสุดในขณะนี้เมื่อมีการนำถ้อยความที่อ้างว่านำมาจากทวิตเตอร์ของ “ชัย ราชวัตร” หรือนายสมชัย กตัญญุตานันท์ คอลัมนิสต์การ์ตูนล้อการเมืองชื่อดังแห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ มาเผยแพร่ในโลกออนไลน์

ข้อความดังกล่าวเขียนเอาไว้ว่า “โปรดเข้าใจ กะหรี่ไม่ใช่หญิงคนชั่ว กะหรี่แค่เร่ขายตัว แต่หญิงคนชั่ว เที่ยวเร่ขายชาติ”

และเป็นข้อความที่ทำให้กองทัพแดงของระบอบทักษิณดิ้นพลาดๆ ราวกับไส้เดือนถูกน้ำร้อนลวก จนเป็นเหตุให้กลุ่มคนเสื้อแดงนำโดย นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ ยกขบวนไปประท้วงที่หน้าสำนักพิมพ์ไทยรัฐ ถนนวิภาวดีรังสิต

เพื่อกดดันให้สำนักพิมพ์ปลดชัย ราชวัตร ให้พ้นจากการทำหน้าที่ เนื่องจากไม่พอใจที่นักเขียนคนดังกล่าวด่านายกรัฐมนตรีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างเสียหาย พร้อมประกาศชัดว่าหากไม่ทำตามข้อเรียกร้อง จะหยุดสนับสนุนและไม่อ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐอีกต่อไป

ขณะที่ นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก แบบชัดถ้อยชัดคำว่า “....กรณีที่มีคนปัญญาอ่อนไปอ่านข้อความที่มีผู้เขียนด่าประเทศตัวเองให้ชาวโลกฟังจนเป็นน่าเวทนาสำหรับคนไทยที่ยังมีจิตวิญญาณเป็นไทยและรักประเทศไทยดังที่ทราบกันแล้วนั้น ขอให้ทราบกันว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรม และศาลปกครอง ไม่ได้เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญทุกฉบับรวมทั้งฉบับปัจจุบันบัญญัติไว้ในมาตรา 3 ว่า อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อํานาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังกล่าวมีความหมายชัดเจนว่า ศาลจึงเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยในทางตุลาการหรือการพิจารณาพิพากษาคดี มีฐานะเท่าเทียมกับรัฐสภาที่เป็นผู้อำนาจอธิปไตยทางนิติบัญญัติและคณะรัฐมนตรีที่เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยทางบริหาร ดังนั้นที่ผู้เขียนพูดถึงองค์กรอิสระถ้าหมายถึงศาลรัฐธรรมนูญก็แสดงว่า ไม่รู้ถึงหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ทั่วโลกยึดถือว่า ศาลเป็นผู้ใช้อธิปไตยทางตุลาการ ไม่รู้ถึงบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญของประเทศไทยที่บัญญัติไว้เช่นนี้ทุกฉบับ

“หรือถ้ารู้ก็มีเจตนาบิดเบือนให้คนที่ไม่รู้เข้าใจผิดว่า ศาลเป็นเพียงองค์กรอิสระ อันเป็นการลดฐานะการเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยให้ตกต่ำลงเพื่อความชอบธรรมในการที่พวกขี้ข้าทักษิณจะไม่ยอมรับอำนาจศาล รวมทั้งการที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการเข้าสู่ตำแหน่งของตุลาการเพื่อพวกมันจะสามารถควบคุมได้สำหรับผู้อ่านตามที่ผู้เขียนให้นั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะคงเหมือนกับนกแก้วนกขุนทองที่พูดตามคำที่มีผู้สอนโดยไม่รู้ว่าคำที่พูดหมายความว่าอย่างไร”

ขณะที่รายการโทรทัศน์ผ่านทาวเทียว “HOT NEWS” ของนางลีน่า จังจรรจา หรือ ลีน่า จัง ที่โพสต์คลิปของตัวเองออกมาสู่สาธารณะผ่านทางยูทูป มียอดวิวสูงกว่า 4,000 วิว และมีคนเข้ามาแสดงความเห็นกันอย่างเผ็ดร้อน เช่น “อีด...เดินแบบ” “ไสหัวไป” “สารเลว” โดยมีภาพนายกรัฐมนตรีปรากฏชัดเจนและพูดในลักษณะเดียวกันหลายครั้ง

ด้าน ไพวรินทร์ ขาวงาม กวีซีไรต์ ปี 2538 เขียนกวีออกมาเพื่อระบายความในใจว่า“คุณคร่ำครวญแต่ความเจ็บปวดที่ครอบครัวคุณได้รับ แต่ให้ร้าย ประเทศชาติ และใส่ร้ายว่ามีฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตย ประเด็นไม่ได้อยู่แค่เพียง คุณควรพูด/ไม่ควรพูด เรื่องรัฐประหารมันเป็นข้อเท็จจริง ถ้าต้องพูดมันก็พูดได้!ปัญหามันยังอยู่ที่ 'ฐานะผู้พูด' และ 'ท่าทีเจตนาในการพูด' คุณเป็นนายกฯ ที่อ้างว่าจะดูแลแก้ไขปัญหาบ้านเมือง คำพูดคร่ำครวญของคุณแทนที่จะงดงามทรงพลัง กลับแสดงความอ่อนแอ เห็นแก่ตัว และขยายความแตกแยก! คุณบอกว่าพูดความจริง แต่คุณพูดความจริงด้านเดียว ด้านที่คุณจะได้จากการฟ้องชาวโลกว่าพี่ชายคุณถูกรังแก คุณบอกว่าพูดความจริง แต่คุณบิดเบือนความจริงด้วย ตรงนี้น่าเกลียดน่ากลัวยิ่งสำหรับปากที่คร่ำครวญหาความยุติธรรม!
คุณก็ไม่ได้พูดว่า...พี่ชายคุณเริ่มต้นจากคณะรัฐประหาร รสช.? พี่ชายคุณหนีคดีทุจริตคอรัปชั่นบ้านเมือง? พี่ชายคุณโฟนอินสั่งโน่นสั่งนี่ทั้งเหตุการณ์ ๒๕๕๒, ๒๕๕๓? แม้กระทั่ง...พี่ชายคุณยังแทรกแซงการบริหารประเทศของคุณเอง?!”

สุดท้ายแล้ว ถามว่านช.ทักษิณ รู้หรือไม่ว่ากระทำอะไรไว้กับประเทศนี้บ้าง

แน่นอน เขาย่อมรู้แก่ใจ ชนิดที่มาถึงวันนี้ไม่ต้องมานั่งคำถามกันแล้วว่าเจตนาของนช.ทักษิณ เป็นอย่างไร ห่วงใยประเทศไทยอยากให้เป็นประชาธิปไตยเจริญก้าวหน้าอย่างที่ตัวเองและน.ส.ยิ่งลักษณ์ โกหกพกลมให้ทั่วโลกรับรู้หรือไม่

ยิ่งถ้าหากนำปาฐกถาของ MR. TAKHIAGIIN ELBEGDORJ ประธานาธิบดีมองโกเลีย ที่แสดงให้เห็นวิสัยทัศน์ในเวทีเดียวกับนายกยิ่งลักษณ์ก็จะเห็นภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในยุคที่คนเสื้อแดงเรืองอำนาจได้เป็นอย่างดี จะมีก็แต่เพียงคนเสื้อแดงเท่านั้นกระมังที่ยังเชื่ออย่าง นช.ทักษิณ อย่างไม่ลืมหูลืมตา

ประธานาธิบดีมองโกเลียกล่าวเอาไว้ว่า .....

“จากประสบการณ์ของประเทศที่ล้มเหลวหรือไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างประชาธิปไตยพบว่า ปัญหาส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากประชาชน แต่เกิดจากรัฐบาลที่ใช้ธรรมาภิบาลด้านเลว หลักการประชาธิปไตยในหลายกรณีถูกคุกคามและทำลายไม่ได้จากปัจจัยภายนอก แต่เกิดจากปัจจัยภายในประเทศ และจากภายในตัวรัฐบาลเองประชาชนเป็นผู้เสียหายจากการทุจริตคอรัปชั่นของนักการเมืองโดยผู้ได้ประโยชน์ก็คือเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมืองผู้ทุจริตนั้น

การฉ้อราษฎร์บังหลวง เงินทุจริต และโครงข่ายที่สกปรกมักทรงพลัง

การทุจริตคอรัปชั่นนี่เอง คือ ตัวบ่อนทำลายความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย ทุกคนย่อมรู้ดีว่าการทุจริตคอรัปชั่นและการใช้ธรรมาภิบาลด้านเลว คือศัตรูตัวฉกาจของเสรีภาพและการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

การต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่น คือ บททดสอบที่แสนยากสำหรับทางการ
การที่จะเปลี่ยนจากการใช้กฎกติกาที่กำหนดโดยผู้มีอำนาจมาเป็นการใช้กฎกติกาตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดจึงเป็นความท้าทายที่ยากที่สุดในการพัฒนาประเทศและประชาธิปไตยตามที่มุ่งมาดปรารถนารัฐต้องไม่เป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจ แต่ต้องรับใช้ประชาชนเช่นเดียวกับกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม การปฏิรูปองค์กรสาธารณะก็เพื่อการรับใช้ประชาชนการเปลี่ยนแปลงความนึกคิดเหล่านี้ล้วนต้องใช้เวลาด้วยความอดทนและความเพียร”

ล้อมกรอบ//
ศาลรธน.งัดข้อระบอบทักษิณ ศึกนี้ไม่มีใครยอมใคร

สงสัยจะด้วยว่าอยากกลับบ้านจนตัวสั่น สำหรับ นช.ทักษิณ ชินวัตร ที่ล่าสุดอดรนทนไม่ไหวออกมาสไกป์เข้ามายังห้องประชุมส.ส.พรรคเพื่อไทยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การแก้ไขมาตรา 68 การแก้รัฐธรรมนูญ รวมไปถึงพ.ร.บ.ปรองดอง ไม่ได้เป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย

ทั้งนี้ นช.ทักษิณได้ส่งสัญญาณการเมืองวรรคสำคัญที่ออกมาจากก้นบึ้งจิตใจเขาด้วยว่า “ขอให้ ส.ส.สามัคคีกันไว้ให้แน่น ให้นึกถึงผมบ้าง ยังลอยคอในทะเล อย่าให้ลอยคอนาน มันหนาว จะเป็นปอดบวมตายอยู่แล้ว อยากกลับบ้าน ฝากบอกพรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องกังวล กลับมาแล้วไม่ได้ประสงค์อะไร ไม่ขอมีตำแหน่งอะไร ไม่เอาแล้ว ปล่อยให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ที่ยังแข็งแรงอยู่บริหารไป ท่านก็เก่งแล้ว ส่วนผมอายุมากแล้ว ขอใช้สมองช่วยงานอยู่ข้างหลัง อะไรพอช่วยได้ก็จะช่วยเพื่อบ้านเมือง หากมีปัญหาอะไรให้ยึดประชาชนเป็นที่ตั้ง เพราะเรามาจากประชาชน”

เป็นอันว่า ชัดเจนในประกาศิตที่ว่าต้องเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องออกกฎหมายนิรโทษกรรม ต้องล้มล้างศาลรัฐธรรมนูญ

ขณะที่ลิ่วล้อคนเสื้อแดงที่ไปชุมนุมกันอยู่ที่หน้าศาลก็ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ 1.คณะตุลาการศาล รธน.ต้องลาออกจากตำแหน่งทันที เนื่องจากได้กระทำการละเมิดพระราชอำนาจ และ 2.ยกระดับการชุมนุมภายใต้สโลแกน “8 พฤษภา มาเป็นแสน ขับไล่ตลก. ยกเลิก ม.309” โดยวิธีการชุมนุมโดยสงบ สันติ ตามรัฐธรรมนูญ และจะรวบรวม รายชื่อทำการถอดถอนคณะตุลาการฯ ผ่านรัฐสภา

ด้านข้าทาสในระบบรัฐสภานำโดยนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้แถลงผลการประชุมส.ส.พรรคว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นสมาชิกรัฐสภา มีมติเห็นด้วยกับมติสมาชิกรัฐสภาเสียงข้างมากในการไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ โดยไม่ส่งคำชี้แจงไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นที่ประชุมจะส่งจดหมายเปิดผนึก 12หน้า เพื่อปฏิเสธอำนาจศาลรัฐธรรมนูญไปยังองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญทุกแห่ง ยกเว้นศาลรัฐธรรมนูญ

สาระสำคัญในจดหมายเปิดผนึกคือ การชี้แจงว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับคำร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้พิจารณา เพราะมาตรา 291 ระบุชัดเจนว่า การแก้รัฐธรรมนูญเป็นอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับเรื่องโดยตรงตามมาตรา 68 โดยที่ไม่ผ่านอัยการสูงสุด รวมถึงมาตรฐานการรับคำร้องของศาลรัฐธรรมนูญไม่อาจยอมรับได้

ขณะเดียวกันข้ามฟากไปที่ศาลรัฐธรรมนูญในที่สุดก็ดูเหมือนว่าจะไม่ยอมเป็นเบี้ยล่างให้ระบอบทักษิณย่ำยีตามอำเภอใจ แม้จะยังไม่แตกหักกับคำร้องของนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหาและนายบวร ยสินธร แกนนำกลุ่มราษฎรอาสาที่ให้ศาลวินิจฉัยการทำหน้าที่ของประธานรัฐสภาและสมาชิกรัฐสภารวม 312 คนที่ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ว่าเป็นการตัดสิทธิประชาชนในการร้องตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ ด้วยการอนุญาตให้ส่งคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายในวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ แต่ในขณะเดียวกันศาลก็มีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 3 รับคำร้องที่ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา 68 ว่า การที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา กับ ส.ส.และ ส.ว.รวม 312 คนกระทำการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

นั่นหมายความว่า ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องค้านแก้รัฐธรรมนูญ พร้อมั้งเมินเสียงข่มขู่จาก ส.ส.และส.ว.312 คนที่จะบอยคอต

ดังนั้น แผนรุกฆาตประเทศไทย ที่นช.ทักษิณ สั่งลุยแหลกแตกหักจึงดูเหมือนว่าจะไม่ง่ายอย่างที่คิด


นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขณะกำลังปาฐกถาที่เมืองอูลานบาร์ตอ สาธารณรัฐประชาชนมองโกเลีย
กลุ่มคนเสื้อแดงนำโดย นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ ยกโขยงไปที่หน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เหตุที่ไม่พอใจข้อความตำหนินายกรัฐมนตรี ซึ่งมีการอ้างว่าเป็นข้อความจากทวิตเตอร์ของชัย ราชวัตร การ์ตูนนิสต์ของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
พลตำรวจเอก วสิษฐ เดชกุญชร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Vasit Dejkunjorn ตำหนิปาฐกถาของนายกรัฐมนตรีไทย
ภาพจากหน้าเพจเฟซบุ๊กของนายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา
ลีน่า จังจรรยา เปิดฉากฉะนายกฯนกแก้วไปหลายดอก โดยสามารถรับชมได้ทาง http://www.youtube.com/watch?v=1gxxgxeFunk4.
กำลังโหลดความคิดเห็น