xs
xsm
sm
md
lg

ยิ่งลักษณ์ตระบัดสัตย์ พ่นน้ำลายขายชาติ!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สะเก็ดไฟ

“กะหรี่แค่เร่ขายตัว แต่หญิงคนชั่วเที่ยวเร่ขายชาติ”

วลีข้างต้นจากเฟซบุ๊กของ ชัย ราชวัตร การ์ตูนนิสต์ชื่อดัง พร้อมกับภาพประกอบนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระหว่างการปาฐกถาพิเศษ “การประชุมประชาคมประชาธิปไตย มองโกเลีย” เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2556

อาจเรียกได้ว่าร้อนแรงและมีการแชร์อย่างมากในโลกอินเทอร์เน็ต ซึ่งคงเป็นเพราะคำสั้นๆ ที่บอกว่า “กะหรี่แค่เร่ขายตัว แต่หญิงคนชั่วเที่ยวเร่ขายชาติ” นั้น โดนใจคนไทยที่หัวใจไม่ได้เป็นทาสชินวัตรอย่างแรง ที่สำคัญคือสาสมกับพฤติกรรมของ ยิ่งลักษณ์ที่ออกไปให้ร้ายบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองในต่างแดน

ในขณะที่ลิ้นของ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ ใช้ความช่ำชองในฐานะเป็นนักโต้วาที ชมเชยนายกฯ นกแก้วว่า เป็นสุนทรพจน์ที่สรุปสถานการณ์การเมืองได้อย่างแหลมคมและทรงพลัง คนที่เขาอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริงและเห็นความผิดของนักโทษชายทักษิณ ที่กระทำต่อประเทศชาติกลับมองว่า เป็นสุนทรพจน์ที่ตัดตอนการเมืองปกป้องพี่ชาย ใส่ร้ายป้ายสีชาติบ้านเมืองอย่างน่าขยะแขยง

เพราะคำกล่าวที่ยิ่งลักษณ์ อ่านนั้นมีความจริงอยู่เพียงเสี้ยวเดียวนอกนั้นล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น โดยขอไล่เรียงให้เห็นภาพชัดเจน ดังนี้

ยิ่งลักษณ์ อ้างถึงรัฐธรรมนูญปี 40 ว่า เป็นสุดยอดของความเป็นประชาธิปไตย และให้ร้ายรัฐธรรมนูญปี 50 ว่าจำกัดประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ความจริงคือ รัฐธรรมนูญปี 50 ต่อยอดขยายสิทธิเพิ่มอำนาจประชาชนในการตรวจสอบและมีส่วนร่วมกับการกำหนด นโยบายของภาครัฐ เพียงแต่มีบทบัญญัติที่กำหนดกลไกการตรวจสอบที่เข้มแข็ง เปรียบเสมือนสัญญาณกันขโมยที่ทำให้พรรคการเมือง ฝ่ายบริหาร ไม่สามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจโดยง่ายเท่านั้น

องค์กรอิสระที่ยิ่งลักษณ์ไปผรุสวาทด่าทอก็ล้วนแต่มีจุดกำเนิดจาก รธน.ปี 40 ทั้งสิ้น แตกต่างกันก็เพียงแค่ที่มา ซึ่งในรัฐธรรมนูญปี 50 มีการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบการสรรหาใหม่เพื่อไม่ให้การเมืองเข้ามาแทรกแซงจน เกิดการบล็อกโหวตเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในยุคทักษิณ กระทั่งวุฒิสภาในขณะนั้นได้ฉายาว่าเป็น “สภาทาส”

นี่คือความจริงที่ ยิ่งลักษณ์ ไม่ยอมพูดถึง แต่กลับบิดเบือนความจริงให้ร้ายประเทศไทยว่ามีกลุ่มปฏิกิริยาจ้องโค่นล้ม ประชาธิปไตย

ทั้งที่ความจริงคือไม่มีใครในชาตินี้ปฏิเสธระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่เขารังเกียจตระกูลชินวัตรที่เข้ามาเถลิงอำนาจ สวาปามโกงกินแผ่นดิน คิดรวบอำนาจยึดครองประเทศ ใช้อำนาจแบบเผด็จการโดยเอาประชาธิปไตยมาบังหน้า
ยิ่ง ลักษณ์ ไม่พูดถึงความสามานย์ที่พี่ชายนักโทษสร้างความเจ็บปวดให้กับประเทศไทย ทั้งการทุจริตเชิงนโยบาย ปล้นชาติกินแผ่นดิน แทรกแซงองค์กรอิสระ ทำลายกลไกตรวจสอบ ระบบรัฐสภาง่อยเปลี้ยเสียขา ใช้เงินซื้ออำนาจใช้อำนาจมาต่อเงิน มอมเมาประชาชนด้วยนโยบายประชานิยมจนอ่อนแอ ไม่สร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับชาติ ใช้ทุนของประเทศสร้างกำไรให้กับตัวเอง ฯลฯ

แต่ ยิ่งลักษณ์ ในฐานะผู้นำประเทศไทย กลับคร่ำครวญหวนไห้เรียกร้องความเห็นใจจากนานาชาติ โดยอ้างความเจ็บปวดของครอบครัวที่ถูกกระทำจากรัฐประหาร แต่ไม่พูดว่าก่อนถูกรัฐประหารพี่ชายนักโทษได้สร้างความระยำตำบอนอะไรเอาไว้กับประเทศนี้

เลวร้ายไปกว่านั้น ยิ่งลักษณ์ยังกล้าบิดเบือนประวัติศาสตร์ยกย่องการก่อจลาจลเผาบ้านเผาเมืองของคนเสื้อ แดงว่าเป็นการเรียกร้องประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ศาลมีคำสั่งชัดเจนหลายครั้งว่า การชุมนุมดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย มิได้เป็นการชุมนุมที่สงบปราศจากอาวุธจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐ ธรรมนูญ รัฐบาลในขณะนั้นมีหน้าที่ในการดูแลความสงบเรียบร้อยโดยสามารถสลายการชุมนุม ได้ตามกติกาสากล

ทำไมยิ่งลักษณ์ไม่พูดความจริงว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง ทำให้คนธรรมดาไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ทำตัวเป็นอันธพาลปล้นปืนทหาร ตั้งด่านคุกคามประชาชน บุกโรงพยาบาลจุฬาฯ ทำให้สี่แยกราชประสงค์ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจเป็นอัมพาต เผาเมืองหลวงกว่า 30 แห่ง และเผาศาลากลางอีกหลายแห่ง ซึ่งศาลตัดสินจำคุกกันไปแล้ว

ชัดเจนว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่นักโทษการเมือง แต่พวกเขาเป็นเหยื่อจากการปลุกระดมระหว่างการชุมนุมที่ ยิ่งลักษณ์ ก็ไปร่วมด้วย โดยมีพี่ชายนักโทษโฟนอินเข้ามายุยงปลุกปั่นจนนำไปสู่ความรุนแรงและความสูญ เสีย เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการช่วงชิงอำนาจและสร้างความชอบธรรมในการนิรโทษกรรม ให้กับตัวเอง

ทำไม ยิ่งลักษณ์ ไม่พูดความจริงว่ารัฐบาลตัวเองตระบัดสัตย์ จากที่เคยแถลงนโยบายว่าจะสร้างความปรองดองภายในชาติตามข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือ คอป. แต่กลับไม่ปฏิบัติตามข้อเสนอของ คอป. จน คณิต ณ นคร อดีตประธาน คอป. ถึงกับออกมายอมรับว่า “ถูกยิ่งลักษณ์หลอกใช้เป็นเครื่องมือ”

ทำไม ยิ่งลักษณ์ไม่พูดความจริงที่ คอป.ได้สรุปต้นตอของปัญหาว่า พี่ชายนักโทษของเธอนั่นแหละคือชนวนเหตุแห่งความขัดแย้งในบ้านเมือง จากชัยชนะในคดีซุกหุ้นที่ศาลรัฐธรรมนูญในขณะนั้นตัดสินแบบขัดหลักนิติรัฐและ นิติธรรม มีการบิดเบือนรัฐธรรมนูญปี 40 จนเกิดการต่อต้านจากประชาชนและเกิดการรัฐประหารตามมา

บทกลอนเกาะชายกระโปรงเลียหน้าแข้งยิ่งลักษณ์ของ ณัฐวุฒิ ที่เมาเหล้าแล้วลุกขึ้นมาเลียนายตอนตี 2 กว่าของวันที่ 30 เม.ย. 56 ที่ว่า

ยึดอำนาจอธิปไตยข่มใจขื่น
ประชาชนล้มทั้งยืนฝืนก้มหน้า
อยุติธรรมย่ำฟัดกัดฟันมา
ถึงที่สุดเชิดหน้าอย่างทรนง
กลั่นหัวใจบอกกล่าวกับชาวโลก
ลมเสรีที่โชยโบกช่วยพัดส่ง
แม้นอำนาจนอกระบบขบกัดลง
จักปลิดปลงลงแทบตักประชาชน

เป็นเพียงแค่ถ้อยคำเพราะพริ้งที่มีแต่เปลือก แต่ไร้แก่นสารแห่งความเป็นจริง แตกต่างจากบทกลอนตรงไปตรงมาของ สมจิตต์ นวเครือสุนทร ผ่านเฟซบุ๊กของตัวเองที่ว่า

หยุดสงคราม ทำได้ ใยไม่หยุด
เธอกลับจุด ไฟขัดแย้ง ด้วยแปลงสาร
ป้องพี่ตัว ชั่วโยนชาติ ส่อสันดาน
เผด็จการ ยังด้านอ้าง ประชาธิปไตย

หน้าไม่อาย ขายชาติตัว ว่าชั่วชาติ
มุสาวาท ส่อแก้แค้น ไม่แก้ไข
ทุบระบบ รบกับศาล พล่านยึดไทย
สู้จัญไร ไล่อัปรีย์ กาลีเมือง

ขอให้เชื่อเถอะว่า เมื่อความสามานย์ประกาศสงครามกับความดี คนไทยที่มีหัวใจรักชาติจะร่วมกันลุกขึ้นมา “สู้จัญไร ไล่อัปรีย์ กาลีเมือง”
กำลังโหลดความคิดเห็น