**กงล้อประวัติศาสตร์เกี่ยวกับปราสาทพระวิหารที่หมุนมาสู่การเผชิญหน้ากันอีกครั้งในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศระหว่างไทยกับกัมพูชา หลังจากที่ 51 ปีที่แล้ว ประเทศไทย เป็นฝ่ายพ่ายแพ้จากการตัดสินที่อยุติธรรมของศาลโลกในขณะนั้น
ซึ่งมีการใช้ข้อสันนิษฐานเอื้อประโยชน์ให้กัมพูชา โดยนำเอาแผนที่ 1:2 แสน ของกัมพูชา มาพิจารณาประกอบการตัดสินคดี ทั้งที่ศาลเองก็ยอมรับแผนที่ดังกล่าวไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากคณะกรรมการปักปันฯ หรือพูดง่าย ๆ ว่า
**แผนที่นี้ไม่ใช่ผลงานของคณะกรรมการปักปันฯนั่นเอง
ไม่เพียงเท่านั้น ศาลฯในปี 2505 ยังยอมรับด้วยว่าแผนที่ที่เขมรนำมาใช้อ้างอิงว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในพื้นที่ของกัมพูชานั้น ไม่เป็นไปตามเส้นสันปันน้ำ ซึ่งกำหนดให้เป็นเส้นเขตแดนตามสนธิสัญญา 1904
แต่ศาลฯ ก็ยังดันทุรังตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา โดยอ้างกฎหมายปิดปากว่า ไทยไม่เคยโต้แย้งแผนที่นี้ จึงต้องยอมรับสภาพการสูญเสียปราสาทพระวิหารด้วย
ผ่านมา 51 ปี คนไทยคงไม่ต้องมานั่งลุ้นใจระทึกกันอย่างนี้ ถ้าบ้านเมืองจะไม่เกิดวิปริตผิดเพี้ยน เพราะมีนักการเมืองไทยใจเขมร เอาแผ่นดินไทยไปแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ของตัวเอง
จึงเป็นที่มาของการสนับสนุนให้เขมรขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว
จุดเริ่มต้นที่ทำให้กัมพูชามีความย่ามใจ เสนอขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว เริ่มจากการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วม ระหว่างไทย-กัมพูชา ในวันที่ 30 พ.ค.-1 มิ.ย.46 (สมัยทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี) โดยมีมติว่า
ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะร่วมมือพัฒนาเขาพระวิหาร และบูรณปฏิสังขรณ์ปราสาทพระวิหาร จากนั้นในวันที่ 31 กรกฎาคม 2549 กัมพูชา ก็ยื่นขอขึ้นปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก แต่ไม่สำเร็จ เพราะรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ส่งกระทรวงการต่างประเทศไปคัดค้าน จนทำให้การประชุมมรดกโลกเพื่อพิจารณาในเรื่องนี้ จนที่ประชุมเลื่อนการพิจารณาออกไป
**แต่ความฝันของกัมพูชามาสำเร็จปิดจ๊อบได้โดยฝีมือของรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ที่มีนพดล ปัทมะ เป็น รมว.ต่างประเทศ ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา สนับสนุนให้เขมรขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว
แถมยังยอมรับที่จะบริหารพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารร่วมกับกัมพูชา โดยไม่ตระหนักถึงการรุกคืบเข้ามารุกล้ำดินแดนไทย ผ่านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาแต่อย่างใด
เลยไม่ใช่เรื่องแปลกที่ นายรอคแมน บุนดี ทนายความกัมพูชา จะหยิบยกความสัมพันธ์ที่ดี ที่กัมพูชามีต่อ ทักษิณ และแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา มาเป็นหลักฐานเพื่อชี้ว่า ไทยเคยยอมรับแผนที่ 1:2 แสน ซึ่งเท่ากับยอมรับว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบปราสาทพระวิหารนั้นเป็นของกัมพูชา
คำแถลงของ ร๊อคแมน ระบุชัดเจนว่า แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่นพดลไปลงนามนั้น ไม่ได้มีการแนบแผนที่อื่นใดเข้ามาประกอบแผนที่ของกัมพูชา ทำให้เกิดความเข้าใจได้ว่า รัฐบาลไทยขณะนั้นยอมรับว่า กัมพูชามีอธิปไตยเหนืออาณาบริเวณนั้น ไม่ใช่มีอธิปไตยเหนือตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้น
แม้ทนายความกัมพูชาจะกล่าวถึงเรื่องนี้เพียง 0.061 % โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ 10 วินาที จาก 16,200 วินาที จากการแถลง 4.30 ชั่วโมง ของการแถลงด้วยวาจาทั้งหมด ตามที่ นพดล ปัทมะ ร้อนตัวออกมาแก้ต่างให้ตัวเองผ่านเฟซบุ๊ก แต่ก็ถือเป็นเวลาสั้นๆ ที่มีความหมายมากพอจะกระชากหน้ากากให้คนไทยเห็นความผิดพลาดของ ทักษิณ และ นพดล ได้เป็นอย่างดี
การอ้างถึงความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในประเทศไทย ไปประกอบการแถลงด้วยวาจาของกัมพูชาในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เป็นหลักฐานที่ทำให้คนไทยได้เห็นชัดเจนว่า หากไม่มีการรัฐประหาร หรือเปลี่ยนแปลงขั้วทางการเมือง ป่านนี้กัมพูชา ก็ฮุบพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเสร็จสมอารมณ์หมายไปนานแล้ว
แต่เพราะมีการเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาลทรราช เขมรจึงเลือดเข้าตา สร้างสถานการณ์โจมตีแผ่นดินไทย เพื่อใช้เป็นข้ออ้างวิ่งโร่ไปฟ้องศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หวังใช้มือศาลฯ มาฮุบแผ่นดินไทยเหมือนที่เคยทำสำเร็จในการได้ยึดครองปราสาทพระวิหาร เมื่อปี 2505
คำฟ้องของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ที่ยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฟ้อง นพดล ปัทมะ ในฐานะ รมว.ต่างประเทศ ที่ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา โดยระบุไว้ตอนหนึ่งว่า
“ นายนพดล ปัทมะ รู้อยู่อย่างถ่องแท้ว่า แถลงการณ์ร่วมนี้อาจมีผลเปลี่ยนแปลงเขตแดนของประเทศไทย มีผลกระทบทางสังคม แต่จำเลยได้กระทำไปโดยปกปิดซ่อนเร้น บิดเบือนข้อมูล ข้อเท็จจริง จำเลยเอาใจฝักใฝ่ในผลประโยชน์ประเทศกัมพูชายิ่งกว่าผลประโยชน์ของประเทศไทย ด้วยเจตนาที่แอบแฝงในประโยชน์ที่ตรงข้ามกับประโยชน์ของประเทศไทย โดยมุ่งหวังให้สมเจตนาแห่งตนโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายด้านอาณาเขตดินแดน และอำนาจอธิปไตยของประเทศ โดยเจตนาไม่สุจริต
จึงถือว่าการกระทำดึงกล่าว เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เหมาะสม ไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรี อำนาจหน้าที่แห่งตน มิได้ยึดถือว่าตนเป็นบุคคลที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยให้ดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กระทำขัดรัฐธรรมนูญ ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา ไม่ส่งเสริมคุ้มครองสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน ไม่รับฟังความเห็นของประชาชน มีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 157 ”
**เอาใจฝักใฝ่ในผลประโยชน์ประเทศกัมพูชายิ่งกว่าผลประโยชน์ของประเทศไทย จะมีนักการเมืองที่ไหนบ้างที่มีพฤติกรรมเยี่ยงนี้ มีแต่ประเทศไทยที่โชคร้าย !
ซึ่งมีการใช้ข้อสันนิษฐานเอื้อประโยชน์ให้กัมพูชา โดยนำเอาแผนที่ 1:2 แสน ของกัมพูชา มาพิจารณาประกอบการตัดสินคดี ทั้งที่ศาลเองก็ยอมรับแผนที่ดังกล่าวไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากคณะกรรมการปักปันฯ หรือพูดง่าย ๆ ว่า
**แผนที่นี้ไม่ใช่ผลงานของคณะกรรมการปักปันฯนั่นเอง
ไม่เพียงเท่านั้น ศาลฯในปี 2505 ยังยอมรับด้วยว่าแผนที่ที่เขมรนำมาใช้อ้างอิงว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในพื้นที่ของกัมพูชานั้น ไม่เป็นไปตามเส้นสันปันน้ำ ซึ่งกำหนดให้เป็นเส้นเขตแดนตามสนธิสัญญา 1904
แต่ศาลฯ ก็ยังดันทุรังตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา โดยอ้างกฎหมายปิดปากว่า ไทยไม่เคยโต้แย้งแผนที่นี้ จึงต้องยอมรับสภาพการสูญเสียปราสาทพระวิหารด้วย
ผ่านมา 51 ปี คนไทยคงไม่ต้องมานั่งลุ้นใจระทึกกันอย่างนี้ ถ้าบ้านเมืองจะไม่เกิดวิปริตผิดเพี้ยน เพราะมีนักการเมืองไทยใจเขมร เอาแผ่นดินไทยไปแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ของตัวเอง
จึงเป็นที่มาของการสนับสนุนให้เขมรขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว
จุดเริ่มต้นที่ทำให้กัมพูชามีความย่ามใจ เสนอขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว เริ่มจากการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วม ระหว่างไทย-กัมพูชา ในวันที่ 30 พ.ค.-1 มิ.ย.46 (สมัยทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี) โดยมีมติว่า
ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะร่วมมือพัฒนาเขาพระวิหาร และบูรณปฏิสังขรณ์ปราสาทพระวิหาร จากนั้นในวันที่ 31 กรกฎาคม 2549 กัมพูชา ก็ยื่นขอขึ้นปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก แต่ไม่สำเร็จ เพราะรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ส่งกระทรวงการต่างประเทศไปคัดค้าน จนทำให้การประชุมมรดกโลกเพื่อพิจารณาในเรื่องนี้ จนที่ประชุมเลื่อนการพิจารณาออกไป
**แต่ความฝันของกัมพูชามาสำเร็จปิดจ๊อบได้โดยฝีมือของรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ที่มีนพดล ปัทมะ เป็น รมว.ต่างประเทศ ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา สนับสนุนให้เขมรขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว
แถมยังยอมรับที่จะบริหารพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารร่วมกับกัมพูชา โดยไม่ตระหนักถึงการรุกคืบเข้ามารุกล้ำดินแดนไทย ผ่านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาแต่อย่างใด
เลยไม่ใช่เรื่องแปลกที่ นายรอคแมน บุนดี ทนายความกัมพูชา จะหยิบยกความสัมพันธ์ที่ดี ที่กัมพูชามีต่อ ทักษิณ และแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา มาเป็นหลักฐานเพื่อชี้ว่า ไทยเคยยอมรับแผนที่ 1:2 แสน ซึ่งเท่ากับยอมรับว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบปราสาทพระวิหารนั้นเป็นของกัมพูชา
คำแถลงของ ร๊อคแมน ระบุชัดเจนว่า แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่นพดลไปลงนามนั้น ไม่ได้มีการแนบแผนที่อื่นใดเข้ามาประกอบแผนที่ของกัมพูชา ทำให้เกิดความเข้าใจได้ว่า รัฐบาลไทยขณะนั้นยอมรับว่า กัมพูชามีอธิปไตยเหนืออาณาบริเวณนั้น ไม่ใช่มีอธิปไตยเหนือตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้น
แม้ทนายความกัมพูชาจะกล่าวถึงเรื่องนี้เพียง 0.061 % โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ 10 วินาที จาก 16,200 วินาที จากการแถลง 4.30 ชั่วโมง ของการแถลงด้วยวาจาทั้งหมด ตามที่ นพดล ปัทมะ ร้อนตัวออกมาแก้ต่างให้ตัวเองผ่านเฟซบุ๊ก แต่ก็ถือเป็นเวลาสั้นๆ ที่มีความหมายมากพอจะกระชากหน้ากากให้คนไทยเห็นความผิดพลาดของ ทักษิณ และ นพดล ได้เป็นอย่างดี
การอ้างถึงความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในประเทศไทย ไปประกอบการแถลงด้วยวาจาของกัมพูชาในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เป็นหลักฐานที่ทำให้คนไทยได้เห็นชัดเจนว่า หากไม่มีการรัฐประหาร หรือเปลี่ยนแปลงขั้วทางการเมือง ป่านนี้กัมพูชา ก็ฮุบพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเสร็จสมอารมณ์หมายไปนานแล้ว
แต่เพราะมีการเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาลทรราช เขมรจึงเลือดเข้าตา สร้างสถานการณ์โจมตีแผ่นดินไทย เพื่อใช้เป็นข้ออ้างวิ่งโร่ไปฟ้องศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หวังใช้มือศาลฯ มาฮุบแผ่นดินไทยเหมือนที่เคยทำสำเร็จในการได้ยึดครองปราสาทพระวิหาร เมื่อปี 2505
คำฟ้องของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ที่ยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฟ้อง นพดล ปัทมะ ในฐานะ รมว.ต่างประเทศ ที่ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา โดยระบุไว้ตอนหนึ่งว่า
“ นายนพดล ปัทมะ รู้อยู่อย่างถ่องแท้ว่า แถลงการณ์ร่วมนี้อาจมีผลเปลี่ยนแปลงเขตแดนของประเทศไทย มีผลกระทบทางสังคม แต่จำเลยได้กระทำไปโดยปกปิดซ่อนเร้น บิดเบือนข้อมูล ข้อเท็จจริง จำเลยเอาใจฝักใฝ่ในผลประโยชน์ประเทศกัมพูชายิ่งกว่าผลประโยชน์ของประเทศไทย ด้วยเจตนาที่แอบแฝงในประโยชน์ที่ตรงข้ามกับประโยชน์ของประเทศไทย โดยมุ่งหวังให้สมเจตนาแห่งตนโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายด้านอาณาเขตดินแดน และอำนาจอธิปไตยของประเทศ โดยเจตนาไม่สุจริต
จึงถือว่าการกระทำดึงกล่าว เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เหมาะสม ไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรี อำนาจหน้าที่แห่งตน มิได้ยึดถือว่าตนเป็นบุคคลที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยให้ดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กระทำขัดรัฐธรรมนูญ ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา ไม่ส่งเสริมคุ้มครองสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน ไม่รับฟังความเห็นของประชาชน มีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 157 ”
**เอาใจฝักใฝ่ในผลประโยชน์ประเทศกัมพูชายิ่งกว่าผลประโยชน์ของประเทศไทย จะมีนักการเมืองที่ไหนบ้างที่มีพฤติกรรมเยี่ยงนี้ มีแต่ประเทศไทยที่โชคร้าย !