xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“คิม จอง อึน” ฟีเวอร์ ผู้นำ “สุดเกรียน” แห่งโสมแดง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ตลอดระยะเวลาต่อเนื่องแรมเดือนที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่า ประเด็นร้อนที่สุดแห่งแวดวงข่าวต่างประเทศ ที่ดูจะได้รับความสนใจอย่างมาก คงหนีไม่พ้นข่าวความตึงเครียดระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ สองชาติเพื่อนบ้านบนคาบสมุทรเกาหลีที่กำลังระอุด้วยภัยคุกคามจาก“สงครามนิวเคลียร์” ที่อาจก่อตัวขึ้นโดยฝีมือของรัฐบาลเกาหลีเหนือภายใต้การนำของ “คิม จอง อึน” ผู้นำโสมแดง ที่ก้าวขึ้นครองอำนาจต่อจาก ผู้เป็นบิดา คือ นายคิม จอง-อิล ที่ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อปลายปี 2011

นับตั้งแต่ต้นปี 2013 ความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างชัดเจนถือเป็นสถานการณ์ที่คุกรุ่นที่สุดระหว่าง 2 เกาหลีในรอบหลายปี และแน่นอนว่า ผู้ที่เพิ่มดีกรีความร้อนระอุให้กับสถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีได้ไม่เว้นแต่ละวัน จนผู้คนทั่วทั้งโลกพากันหวาดวิตกถึงภัยคุกคามจากสงครามนิวเคลียร์ที่อาจปะทุขึ้น ก็คือหนุ่มน้อยผู้มีนามว่า คิม จอง อึน ผู้นำหนุ่มแห่งเปียงยางนั่นเอง

เมื่อวันที่ 24 มกราคม คิม จอง อึน ออกมาประกาศกร้าวว่า ตนเองมีความปรารถนาแรงกล้าที่จะโจมตีแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐฯด้วยขีปนาวุธและความก้าวหน้าทางนิวเคลียร์ พร้อมตราหน้า รัฐบาลเมืองลุงแซมเป็น “ศัตรูตัวฉกาจ” ตามติดด้วยการประกาศของผู้นำคิมในเดือนมีนาคมที่ขอถอนตัวจากข้อตกลงไม่รุกรานเกาหลีใต้พร้อมสั่งปิดแนวพรมแดนกั้นสองเกาหลี และตัดสายด่วนต่างๆ ที่เชื่อมต่อกับรัฐบาลโซลจนหมดสิ้น

แต่ที่น่าวิตกที่สุด คือ การที่คิม จอง อึน ประกาศยกเลิก “สัญญาสงบศึกชั่วคราว”หลังสงครามเกาหลีที่ทำไว้ในปี ค.ศ.1953 ส่งสัญญาณว่านับจากนี้ การสู้รบครั้งใหม่ระหว่าง 2 เกาหลีพร้อมจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ หลังจากที่สหรัฐฯตัดสินใจส่งเรือพิฆาตหลายลำ รวมถึง เครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน“B-2” เข้ามาในคาบสมุทรเกาหลีเพื่อร่วมซ้อมรบประจำปีกับเกาหลีใต้ ซึ่งเครื่องบินทิ้งระเบิดรุ่นดังกล่าวนี้ เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า มีขีดความสามารถในการติดตั้งระเบิดนิวเคลียร์ได้ ขณะที่ทางกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯหรือ “เพนตากอน”ประกาศว่ามีความพร้อมในระดับสูงสุดในการ“ปกป้องตนเองและชาติพันธมิตร” จากการโจมตีด้วยขีปนาวุธจากเปียงยาง

จากนั้นในวันที่ 2 เมษายน คิม จอง อึน ผู้นำหนุ่มน้อยร่างอ้วนแห่งเปียงยางยังคง “เกรียนไม่เลิก” ด้วยการประกาศเดินเครื่องเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในศูนย์วิจัยในเมืองยอง-บยอน ที่มีศักยภาพในการสร้างอาวุธนิวเคลียร์จาก “พลูโตเนียม” ได้

หลังจากนั้นไม่ถึง 24 ชั่วโมง คือ ในวันที่ 3 เมษายน ทางการเกาหลีเหนือประกาศปิดเขตอุตสาหกรรมร่วม “แกซอง” ไม่ให้เจ้าหน้าที่ของฝ่ายเกาหลีใต้เข้าไปปฏิบัติงานภายใน และตามมาด้วยการถอนแรงงานเกาหลีเหนือที่มีอยู่กว่า 53,000 รายออกจากเขตอุตสาหกรรมดังกล่าว

พฤติกรรมสุดเกรียนแบบไม่สนใจชาวโลกของคิม จอง อึนยังไม่ยุติลงง่ายๆ เพราะในวันที่ 4 เมษายน เขาได้ประกาศ “เปิดไฟเขียว” ให้กองทัพประชาชนเกาหลี (KPA) หรือกองทัพโสมแดง ซึ่งมีกำลังพลประจำการกว่า 9.5 ล้านคน และเป็นหนึ่งในกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในโลกสามารถใช้ “อาวุธนิวเคลียร์” โจมตีสหรัฐฯได้ จนทางชัค เฮเกล รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯต้องแถลงว่าพร้อมดำเนินทุกมาตรการเพื่อขจัดภัยคุกคาม และประกาศติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธที่เกาะกวม ดินแดนในปกครองของสหรัฐฯในแปซิฟิก เพื่อรองรับความเป็นไปได้ที่อาจถูกเกาหลีเหนือเล่นงาน

“ความเกรียน” อีกประการที่ไม่พูดถึงไม่ได้ของผู้นำเกาหลีเหนือ คือ การประกาศผ่านทาง “กระบอกเสียง” ของรัฐบาลโสมแดงอย่างสำนักข่าว “เคซีเอ็นเอ” เตือนให้ชาวต่างชาติรีบอพยพหนีตายออกจากเกาหลีใต้ ก่อนจะมีการเปิดฉากทำ “สงครามนิวเคลียร์” และการไม่ขอรับประกันความปลอดภัยแก่บรรดาเจ้าหน้าที่ทางการทูตของต่างประเทศในกรุงเปียงยางหลังวันที่ 10 เมษายนเป็นต้นไป

จากพฤติกรรมต่างๆข้างต้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่า คิม จอง อึน ซึ่งเพิ่งมีอายุประมาณ 30 ปี ถือเป็นหนึ่งในผู้นำประเทศที่เรียกได้ว่า “เกรียน” ที่สุดในยุคนี้ เห็นได้จากการแสดงท่าทีที่แข็งกร้าวและก้าวร้าวชนิดไม่สนใจ “หน้าอินทร์หน้าพรหม ” ไม่เกรงใจแม้กระทั่งลูกพี่ใหญ่อย่าง รัสเซียกับจีน ที่ทำตัวเป็น “หนังหน้าไฟ ” คอยออกร้อนออกรับแทนรัฐบาลเปียงยางมาโดยตลอดในเวทีโลก รวมถึงไม่สนใจธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับคำว่า “สงบ” และ “สันติ”

ดังนั้นจึงไม่ผิดนักหากหลายต่อหลายคนจะพากันขนานนามให้กับคิม จอง อึน เสียใหม่ว่า “คิม จอง เกรียน” หรือ “ตี๋เกรียนแห่งเปียงยาง”

เมื่อถึงตอนนี้ เชื่อว่า หลายคนคนอยากรู้จักประวัติของคิม จอง อึน ผู้นำรัฐบาลเปียงยางว่าเขามีความเป็นมาเป็นอย่างไร เติบโตมาแบบใด และมีความ “เกรียน” แบบได้ใจเช่นนี้ มาตั้งแต่วัยเด็กหรือไม่
แม้จะไม่เคยมีการเผยแพร่ประวัติอย่างเป็นทางการของคิม จอง อึน สู่การรับรู้ของสาธารณชน แต่ข้อมูลที่ได้จากบรรดาหน่วยข่าวกรองของชาติตะวันตกและบรรดาชาวเกาหลีเหนือที่แปรพักตร์ รวมถึงผู้ที่เคยมีโอกาสพบปะใกล้ชิดกับครอบครัวคิมแห่งเกาหลีเหนือบ่งชี้ว่า คิม จอง อึนถือกำเนิดลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 8 มกราคม ในปี 1983 หรือปี 1984 ขณะที่ทางการเกาหลีเหนือเผยว่า ผู้นำหนุ่มรายนี้เกิดเมื่อวันที่ 8 มกราคม ปี 1982 โดยเป็นบุตรชายคนที่ 3 ของนายพลคิม จอง-อิล อดีตผู้นำเกาหลีเหนือผู้ล่วงลับกับนางโก ยอง ฮี โดยพี่ชายทั้ง 2 ของเขามีนามว่าคิม จอง นัม (พี่ชายต่างมารดา) และคิม จอง ชอล

รายงานข่าวจากสื่อสิ่งพิมพ์หลายสำนักในญี่ปุ่นยืนยันตรงกันว่า คิม จอง อึน ถูกส่งไปเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใกล้กับกรุงเบิร์น เมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์ ขณะที่รายงานข่าวบางกระแสระบุว่า คิม จอง อึนถูกส่งไปเข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนนานาชาติที่เน้นการเรียนการสอนภาคภาษาอังกฤษ ในระหว่างช่วงปี 1993-1998 หรือระหว่างช่วงปี 1998-2000

ข้อมูลจากอดีตเพื่อนนักเรียนร่วมชั้นของคิม จอง อึน ระบุว่า ในช่วงที่อยู่ในโรงเรียน คิมเป็นคน “ขี้อาย” โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กนักเรียนหญิง แต่ต่อมาก็สามารถปรับตัวเข้ากับเพื่อนร่วมชั้นได้ดี และเป็นผู้ที่ชื่นชอบในกีฬาบาสเก็ตบอลเป็นชีวิตจิตใจรวมถึงเป็นแฟนตัวยงของนักกีฬาบาสเก็ตบอลชื่อดังในศึก“เอ็นบีเอ” ของสหรัฐฯ อย่าง ไมเคิล จอร์แดน , โคบี้ ไบรอันต์ ,โทนี คูค็อก และเดนนิส รอดแมน

อย่างไรก็ดี มีรายงานว่า คิม จอง อึนขาดเรียนบ่อยและผลการเรียนของเขาก็อยู่ในเกณฑ์ “ต่ำเตี้ยติดดิน” จนบิดาของเขาต้องสั่งให้ “รี ชอล” เอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำสวิตเซอร์แลนด์ในเวลานั้น ช่วยทำหน้าที่เป็น “ติวเตอร์” พิเศษให้

หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์นานหลายปี คิม จอง อึน ได้รับคำสั่งจากบิดาคือนายคิม จอง-อิลให้เดินทางกลับประเทศเพื่อเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาที่ดีที่สุดของเกาหลีเหนืออย่าง “มหาวิทยาลัยคิม อิล-ซุง” ในกรุงเปียงยาง ระหว่างปี 2002-2007 ก่อนจะสำเร็จการศึกษาใน 2 สาขา ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ สาขา “ฟิสิกส์”

เป็นที่ทราบกันดีว่า แรกเริ่มเดิมทีนั้น คิม จอง-อิลมิได้แลสายตามายังบุตรชายคนเล็กอย่างคิม จอง อึนเท่าใดนัก เนื่องจากเขาหมายมั่นปั้นมือที่จะให้บุตรชายคนโตอย่างคิม จอง นัม ก้าวขึ้นเป็น “ผู้สืบทอดอำนาจ” ในเปียงยาง

แต่เหตุการณ์กลับพลิกผัน เพราะในเวลาต่อมามีรายงานว่า คิม จอง นัม มีปัญหากับผู้เป็นพ่ออย่างรุนแรงหลังจากปี 2001 เมื่อเขาถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของญี่ปุ่นจับกุมตัว ขณะพยายามเดินทางเข้าแดนปลาดิบโดยใช้ “หนังสือเดินทางปลอม” เพื่อไปเที่ยวสวนสนุกโตเกียว ดิสนีย์แลนด์
ขณะที่คิม จอง ชอล พี่ชายคนรอง ซึ่งเป็นพี่ชายร่วมมารดาเดียวกันถูกระบุว่า มีบุคลิกภาพที่คล้ายกับผู้หญิงมากเกินไป จึงถูกมองข้าม

ดังนั้น เมื่อพี่ชายคนโตทำตัวเกเรจนสร้างความเสื่อมเสียแก่วงศ์ตระกูล ขณะที่พี่ชายคนรองก็ “ไม่มีความเป็นชาย” คิม จอง-อิล ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือในเวลานั้น จึงไม่มีทางเลือกอื่นใดเหลืออยู่ นอกจากนั้นตัดสินใจเลือกคิม จอง อึน บุตรชายคนเล็กให้ก้าวขึ้นมาเป็นทายาททางการเมืองในที่สุด นับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2010 เป็นต้นมา

ด้าน “The Sun” หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์จอมแฉแห่งอังกฤษรายงานเมื่อวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา โดยระบุว่า คิม จอง อึนในช่วงที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนนานาชาติที่สวิตเซอร์แลนด์นั้นนอกจากจะเป็นเด็กขี้อายต่อเพศตรงข้ามชื่นชอบบาสเกตบอลและเรียนหนังสือไม่เก่งแล้ว คิม จอง อึน ยังเคยมีส่วนร่วมในการแสดงละครเพลงของโรงเรียนที่นำเอาภาพยนตร์เพลงอเมริกันสุดคลาสสิกแห่งปี 1978 อย่างเรื่อง “Grease” มาดัดแปลงอีกด้วย

รายงานของเดอะ ซันระบุว่า ไม่เพียงแต่จะร่วมร้องร่วมเต้นในละครเพลงสัญชาติอเมริกันดังกล่าวเท่านั้น เชื่อหรือไม่ว่า คิม จอง อึนยังถูกจดจำจากเพื่อนร่วมชั้นในฐานะของผู้ชื่นชอบการ์ตูน เกมคอมพิวเตอร์ และภาพยนตร์ฮอลลีวูดตัวยง โดยเฉพาะภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ผจญภัยเกี่ยวกับไดโนเสาร์เรื่อง “Jurassic Park” ของผู้กำกับชื่อก้อง สตีเวน สปีลเบิร์ก

ขณะที่แหล่งข่าวทางการทูตของชาติตะวันตกเผยว่า ผู้นำหนุ่มแห่งเปียงยางรายนี้ ชื่นชอบผลิตภัณฑ์ยาสูบภายใต้แบรนด์หรู “อีฟส์ แซงต์ โลรองต์” และโปรดปรานน้ำเมายี่ห้อ “จอห์นนี วอล์คเกอร์” รวมถึง มี รถเมอร์เซเดส เบนซ์ 600 ซีดาน ไว้ใช้เป็นการส่วนตัวคันหนึ่ง

จากประวัติในช่วงวัยเด็ก-วัยรุ่นข้างต้นของคิม จอง อึน หลายฝ่ายคงอดสงสัยแกมประหลาดใจไม่ได้ว่า เพราะเหตุใด ผู้นำเกาหลีเหนือรายนี้ซึ่งชื่นชอบบาสเก็ตบอลเอ็นบีเอของสหรัฐฯ และภาพยนตร์ฮอลลีวูดเป็นชีวิตจิตใจ ถึงกลับกลายเป็นบุคคลที่ประกาศตัวเป็นศัตรูกับสหรัฐฯไปได้

เพราะแม้กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ คิม จอง อึน ก็ยังจัดคอนเสิร์ตในกรุงเปียงยางโดยมีตัวการ์ตูนสวมใส่ชุด “มิคกี้ เมาส์” และ “หมีพูห์” ขึ้นเวทีมาแล้ว รวมถึงเพิ่งเชิญเดนนิส รอดแมน หนึ่งในนักบาสเกตบอลในดวงใจที่เป็นชาวอเมริกันไปเยือนเกาหลีเหนือเป็นการส่วนตัวด้วยเช่นกัน

ประเด็นที่ว่า คิม จอง อึนจงเกลียดจงชังสหรัฐฯ จริงหรือไม่นั้น นักวิเคราะห์หลายฝ่ายลงความเห็นว่า ยากจะคาดเดาได้ แต่ที่ผู้คนทั่วทั้งโลกพากันวิตกอยู่ในเวลานี้คือ การแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวต่างๆ ของคิม จอง อึนแบบไม่สนใจประชาคมโลกในช่วงที่ผ่านมา เพราะไม่มีใครทราบได้ว่า ผู้นำหนุ่มรายนี้ของเกาหลีเหนือคิดจะก่อสงครามนิวเคลียร์จริง หรือเพียงแค่ “ขู่” เท่านั้น

จนถึงขณะนี้ ความเห็นของนักวิเคราะห์ทั่วโลกยังคงแตกเป็น 2 ฝ่าย ทั้งฝ่ายที่เชื่อว่า คิม จอง อึน แค่ขู่หรือเรียกร้องความสนใจ หรือแม้แต่ต้องการสร้างการยอมรับจากบรรดาผู้อาวุโสในเปียงยาง กับอีกฝ่ายหนึ่งที่เชื่อว่าคิมจะ “เอาจริง” แน่

แดเนียล พิงก์สตัน ผู้เชี่ยวชาญด้านเกาหลีเหนือจากกลุ่มเอ็นจีโอ อินเตอร์เนชันแนล ไครซิส กรุ๊ป (ไอซีจี) มองว่าท่าทีของผู้นำเกาหลีเหนือเป็น “เรื่องน่าตลก” ที่ต้องการสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดหุ้น แวดวงการเงิน รวมถึงต้องการให้ทั่วโลกเกิดความกังวลเสียมากกว่า

ขณะที่ ซีกฟรีด เฮคเกอร์ ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ศึกษาความมั่นคงและความร่วมมือระหว่างประเทศ แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดของสหรัฐฯ ให้ความเห็นว่า ถึงแม้เกาหลีเหนือจะเคยประสบความสำเร็จในการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ใต้ดินถึง 3 ครั้ง (ครั้งล่าสุดคือเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา) แต่เชื่อว่า เกาหลีเหนือยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะสามารถทำการโจมตีเป้าหมายในสหรัฐฯ หรือแม้แต่การโจมตีเกาหลีใต้ ด้วยขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ได้ดังนั้น ท่าทีก้าวร้าวแบบไร้ความเกรงใจผู้ใดของคิม จอง อึนในช่วงที่ผ่านมาจึงน่าจะเป็นเพียงการทำ “สงครามจิตวิทยา” เพื่อให้เกิดความหวาดกลัวเท่านั้น
อย่างไรก็ดี เดวิด คัง ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและธุรกิจ แห่งมหาวิทยาลัยเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนียและผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับเกาหลีเหนือชื่อ “Nuclear North Korea:A Debate on Engagement Strategies, ”กลับตั้งข้อสังเกตโดยให้มุมมองที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

โดยศาสตราจารย์รายนี้ระบุ พฤติกรรมที่ก้าวร้าวของเกาหลีเหนือในเวลานี้ อาจไม่ใช่เพียงแค่ความพยายามของคิม จอง อึน ในการเรียกร้องความสนใจจากนานาชาติและอาจไม่ได้เป็นเพียงแค่การสร้างฐานอำนาจของคิม ให้แข็งแกร่งและได้รับการยอมรับมากขึ้นจากบรรดาแม่ทัพนายกองและผู้อาวุโสในเปียงยาง

ศาสตราจารย์คังชี้ว่า แม้พฤติกรรมก้าวร้าวในทำนองนี้ จะเคยพบเห็นได้ในผู้นำเกาหลีเหนือที่ล่วงลับไปแล้ว อย่างคิม อิล-ซุง และคิม จอง-อิล แต่ทว่าในกรณีของคิม จอง อึนนั้นแตกต่างออกไป เนื่องจากเขาได้ก้าวขึ้นครองอำนาจสูงสุดทั้งในรัฐบาลและกองทัพเกาหลีเหนือตั้งแต่ที่มีอายุยังน้อย คือ ไม่ถึง 30 ปี ดังนั้น จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ความสุขุมรอบคอบและวุฒิภาวะที่ยังมีไม่มากนักของคิม จอง อึน สมควรเป็นสิ่งที่สหรัฐฯและเกาหลีใต้ไม่อาจ มองข้ามได้

“ถือเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่งยวดที่คนหนุ่มอย่างคิม จอง อึน ซึ่งขาดทั้งประสบการณ์ ขาดความสุขุมในการอ่านเกมทางการเมืองระหว่างประเทศ และปราศจากวุฒิภาวะที่เพียงพอได้ก้าวขึ้นมาบริหารประเทศ การตัดสินใจเพียงชั่ววูบของคนหนุ่มซึ่งมีอาวุธนิวเคลียร์ในมือผู้นี้ อาจนำมาซึ่งหายนะเกินกว่าใครจะคาดเดาได้” ศาสตราจารย์เดวิด คัง กล่าว

กระนั้นก็ดี แม้จะไม่มีใครคาดเดา “ท่าแลกชีวิต” ของคิม จอง อึนว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ วิกฤตความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลี และการแสดงความก้าวร้าวของคิม จอง อึนจะสิ้นสุดลงเมื่อใด และในรูปแบบใด ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครตอบได้ว่า ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่การปะทุของสงครามรอบใหม่ระหว่างสองเกาหลีหรือไม่ แต่ในเวลานี้ต้องบอกว่า ในโลกไซเบอร์ก็มีการกล่าวขานถึงพฤติกรรมแหย่หนวดเสือของผู้นำโสมแดงในทางยกย่องอยู่เช่นกัน เพราะถ้าจะว่าไปแล้วเขาคือผู้นำคนเดียวที่หาญกล้าต่อกรกับมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาที่ชอบจุ้นจ้านทำตัวเป็นตำรวจโลกอย่างไม่สะทกสะท้าน

ที่สำคัญคือสหรัฐอเมริกาจะยิงปูพรมยิงจรวดถล่มเหมือนเมื่อครั้งบุกอิรักหรืออัฟกานิสถานก็ไม่สามารถทำได้ เพราะกริ่งเกรงอาวุธนิวเคลียร์ของคิม จอง อึนที่เพียงแค่กดปุ่มก็สามารถสร้างความฉิบหายให้กับโลกได้ในพริบตา และไม่จำเป็นต้องยิงเข้าใส่สหรัฐฯ เสียด้วยซ้ำไป ขอเพียงแค่สัก 1-2 ลูกตกในดินแดนของญี่ปุ่นหรือเกาหลีใต้ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐฯ แค่นั้นก็ทำให้สหรัฐฯ ง่อยเปลี้ยเสียขาในฉับพลันทันที

เฉกเช่นเดียวกับพลเมืองโสมแดงที่ชื่นชอบพฤติกรรมของคิม จอง อึนที่กล้าต่อกรกับพญาอินทรีซึ่งเป็นศัตรูแห่งชาติได้ชนิดตาต่อตาฟันต่อฟัน โดยที่พญาอินทรีไม่สามารถทำอะไรได้

โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ





กำลังโหลดความคิดเห็น