ตลอดระยะเวลาต่อเนื่องแรมเดือนที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเด็นร้อนที่สุดแห่งแวดวงข่าวต่างประเทศ ที่ดูจะได้รับความสนใจอย่างมาก คงหนีไม่พ้นข่าวความตึงเครียดระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ สองชาติเพื่อนบ้านบนคาบสมุทรเกาหลีที่กำลังระอุด้วยภัยคุกคามจาก“สงครามนิวเคลียร์” ที่อาจก่อตัวขึ้นโดยฝีมือของรัฐบาลเกาหลีเหนือภายใต้การนำของ “คิม จองอึน” ผู้นำโสมแดงที่ก้าวขึ้นครองอำนาจต่อจากผู้เป็นบิดา คือ นายคิม จองอิล ที่ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อปลายปี 2011
นับตั้งแต่ต้นปี 2013 ความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างชัดเจนถือเป็นสถานการณ์ที่คุกรุ่นที่สุดระหว่าง 2 เกาหลีในรอบหลายปี และแน่นอนว่าผู้ที่เพิ่มดีกรีความร้อนระอุให้กับสถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีได้ไม่เว้นแต่ละวัน จนผู้คนทั่วทั้งโลกพากันหวาดวิตกถึงภัยคุกคามจากสงครามนิวเคลียร์ที่อาจปะทุขึ้น ก็คือหนุ่มน้อยผู้มีนามว่า คิม จองอึน ผู้นำหนุ่มแห่งเปียงยางนั่นเอง
เมื่อวันที่ 24 มกราคม คิม จองอึน ออกมาประกาศกร้าวว่า ตนเองมีความปรารถนาแรงกล้าที่จะโจมตีแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐฯด้วยขีปนาวุธและความก้าวหน้าทางนิวเคลียร์ พร้อมตราหน้ารัฐบาลเมืองลุงแซมเป็น “ศัตรูตัวฉกาจ” ตามติดด้วยการประกาศของผู้นำคิมในเดือนมีนาคมที่ขอถอนตัวจากข้อตกลงไม่รุกรานเกาหลีใต้พร้อมสั่งปิดแนวพรมแดนกั้นสองเกาหลี และตัดสายด่วนต่างๆ ที่เชื่อมต่อกับรัฐบาลโซลจนหมดสิ้น
แต่ที่น่าวิตกที่สุด คือ การที่คิม จองอึน ประกาศยกเลิก “สัญญาสงบศึกชั่วคราว”หลังสงครามเกาหลีที่ทำไว้ในปี ค.ศ. 1953 ส่งสัญญาณว่านับจากนี้ การสู้รบครั้งใหม่ระหว่าง 2 เกาหลีพร้อมจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ หลังจากที่สหรัฐฯ ตัดสินใจส่งเรือพิฆาตหลายลำ รวมถึง เครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน “B-2” เข้ามาในคาบสมุทรเกาหลีเพื่อร่วมซ้อมรบประจำปีกับเกาหลีใต้ ซึ่งเครื่องบินทิ้งระเบิดรุ่นดังกล่าวนี้ เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า มีขีดความสามารถในการติดตั้งระเบิดนิวเคลียร์ได้ ขณะที่ทางกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯหรือ “เพนตากอน”ประกาศว่ามีความพร้อมในระดับสูงสุดในการ“ปกป้องตนเองและชาติพันธมิตร” จากการโจมตีด้วยขีปนาวุธจากเปียงยาง
จากนั้นในวันที่ 2 เมษายน คิม จองอึน ผู้นำหนุ่มน้อยร่างอ้วนแห่งเปียงยางยังคง “เกรียนไม่เลิก” ด้วยการประกาศเดินเครื่องเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในศูนย์วิจัยในเมืองยอง-บยอน ที่มีศักยภาพในการสร้างอาวุธนิวเคลียร์จาก “พลูโตเนียม” ได้
หลังจากนั้นไม่ถึง 24 ชั่วโมง คือ ในวันที่ 3 เมษายน ทางการเกาหลีเหนือประกาศปิดเขตอุตสาหกรรมร่วม “แกซอง” ไม่ให้เจ้าหน้าที่ของฝ่ายเกาหลีใต้เข้าไปปฏิบัติงานภายใน และตามมาด้วยการถอนแรงงานเกาหลีเหนือที่มีอยู่กว่า 53,000 รายออกจากเขตอุตสาหกรรมดังกล่าว
พฤติกรรมสุดเกรียนแบบไม่สนใจชาวโลกของคิม จองอึนยังไม่ยุติลงง่ายๆ เพราะในวันที่ 4 เมษายน เขาได้ประกาศ “เปิดไฟเขียว” ให้กองทัพประชาชนเกาหลี (KPA) หรือกองทัพโสมแดง ซึ่งมีกำลังพลประจำการกว่า 9.5 ล้านคน และเป็นหนึ่งในกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในโลกสามารถใช้ “อาวุธนิวเคลียร์” โจมตีสหรัฐฯได้ จนทางชัค เฮเกล รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯต้องแถลงว่าพร้อมดำเนินทุกมาตรการเพื่อขจัดภัยคุกคาม และประกาศติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธที่เกาะกวม ดินแดนในปกครองของสหรัฐฯในแปซิฟิก เพื่อรองรับความเป็นไปได้ที่อาจถูกเกาหลีเหนือเล่นงาน
“ความเกรียน” อีกประการที่ไม่พูดถึงไม่ได้ของผู้นำเกาหลีเหนือ คือ การประกาศผ่านทาง “กระบอกเสียง” ของรัฐบาลโสมแดงอย่างสำนักข่าว “เคซีเอ็นเอ” เตือนให้ชาวต่างชาติรีบอพยพหนีตายออกจากเกาหลีใต้ ก่อนจะมีการเปิดฉากทำ “สงครามนิวเคลียร์” และการไม่ขอรับประกันความปลอดภัยแก่บรรดาเจ้าหน้าที่ทางการทูตของต่างประเทศในกรุงเปียงยางหลังวันที่ 10 เมษายนเป็นต้นไป
จากพฤติกรรมต่างๆ ข้างต้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่า คิม จองอึน ซึ่งเพิ่งมีอายุประมาณ 30 ปี ถือเป็นหนึ่งในผู้นำประเทศที่เรียกได้ว่า “เกรียน” ที่สุดในยุคนี้ เห็นได้จากการแสดงท่าทีที่แข็งกร้าวและก้าวร้าวชนิดไม่สนใจ “หน้าอินทร์หน้าพรหม” ไม่เกรงใจแม้กระทั่งลูกพี่ใหญ่อย่าง รัสเซียกับจีน ที่ทำตัวเป็น “หนังหน้าไฟ” คอยออกร้อนออกรับแทนรัฐบาลเปียงยางมาโดยตลอดในเวทีโลก รวมถึงไม่สนใจธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับคำว่า “สงบ” และ “สันติ”
ดังนั้นจึงไม่ผิดนักหากหลายต่อหลายคนจะพากันขนานนามให้กับคิม จองอึน เสียใหม่ว่า “คิม จองเกรียน” หรือ “ตี๋เกรียนแห่งเปียงยาง”
เมื่อถึงตอนนี้ เชื่อว่าหลายคนคนอยากรู้จักประวัติของคิม จองอึน ผู้นำรัฐบาลเปียงยางว่าเขามีความเป็นมาเป็นอย่างไร เติบโตมาแบบใด และมีความ “เกรียน” แบบได้ใจเช่นนี้ มาตั้งแต่วัยเด็กหรือไม่
แม้จะไม่เคยมีการเผยแพร่ประวัติอย่างเป็นทางการของคิม จองอึน สู่การรับรู้ของสาธารณชน แต่ข้อมูลที่ได้จากบรรดาหน่วยข่าวกรองของชาติตะวันตกและบรรดาชาวเกาหลีเหนือที่แปรพักตร์ รวมถึง ผู้ที่เคยมีโอกาสพบปะใกล้ชิดกับครอบครัวคิมแห่งเกาหลีเหนือบ่งชี้ว่า คิม จองอึนถือกำเนิดลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 8 มกราคม ในปี 1983 หรือปี 1984 ขณะที่ทางการเกาหลีเหนือเผยว่า ผู้นำหนุ่มรายนี้เกิดเมื่อวันที่ 8 มกราคม ปี 1982 โดยเป็นบุตรชายคนที่ 3 ของนายพลคิม จอง-อิล อดีตผู้นำเกาหลีเหนือผู้ล่วงลับ โดยพี่ชายทั้งสองของเขามีนามว่าคิม จอง นัม (พี่ชายต่างมารดา) และคิม จองชอล
รายงานข่าวจากสื่อสิ่งพิมพ์หลายสำนักในญี่ปุ่นยืนยันตรงกันว่า คิม จองอึนถูกส่งไปเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใกล้กับกรุงเบิร์น เมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์ ขณะที่รายงานข่าวบางกระแสระบุว่า คิม จองอึนถูกส่งไปเข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนนานาชาติที่เน้นการเรียนการสอนภาคภาษาอังกฤษ ในระหว่างช่วงปี 1993-1998 หรือระหว่างช่วงปี 1998-2000
ข้อมูลจากอดีตเพื่อนนักเรียนร่วมชั้นของคิม จองอึน ระบุว่า ในช่วงที่อยู่ในโรงเรียน คิมเป็นคน “ขี้อาย” โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กนักเรียนหญิง แต่ต่อมาก็สามารถปรับตัวเข้ากับเพื่อนร่วมชั้นได้ดี และเป็นผู้ที่ชื่นชอบในกีฬาบาสเก็ตบอลเป็นชีวิตจิตใจรวมถึงเป็นแฟนตัวยงของนักกีฬาบาสเก็ตบอลชื่อดังในศึก“เอ็นบีเอ” ของสหรัฐฯ อย่าง ไมเคิล จอร์แดน, โคบี้ ไบรอันต์ ,โทนี คูค็อก และเดนนิส รอดแมน
อย่างไรก็ดี มีรายงานว่า คิม จองอึนขาดเรียนบ่อยและผลการเรียนของเขาก็อยู่ในเกณฑ์ “ต่ำเตี้ยติดดิน” จนบิดาของเขาต้องสั่งให้ “รี ชอล” เอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำสวิตเซอร์แลนด์ในเวลานั้น ช่วยทำหน้าที่เป็น “ติวเตอร์” พิเศษให้
หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์นานหลายปี คิม จองอึน ได้รับคำสั่งจากบิดาคือนายคิม จอง-อิลให้เดินทางกลับประเทศเพื่อเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาที่ดีที่สุดของเกาหลีเหนืออย่าง “มหาวิทยาลัยคิม อิล-ซุง” ในกรุงเปียงยาง ระหว่างปี 2002-2007 ก่อนจะสำเร็จการศึกษาใน 2 สาขา ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ สาขา “ฟิสิกส์”
เป็นที่ทราบกันดีว่า แรกเริ่มเดิมทีนั้น คิม จอง-อิลมิได้แลสายตามายังบุตรชายคนเล็กอย่างคิม จอง อึนเท่าใดนัก เนื่องจากเขาหมายมั่นปั้นมือที่จะให้บุตรชายคนโตอย่างคิม จอง นัม ก้าวขึ้นเป็น “ผู้สืบทอดอำนาจ” ในเปียงยาง
แต่เหตุการณ์กลับพลิกผัน เพราะในเวลาต่อมามีรายงานว่าคิม จองนัม มีปัญหากับผู้เป็นพ่ออย่างรุนแรงหลังจากปี 2001 เมื่อเขาถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของญี่ปุ่นจับกุมตัว ขณะพยายามเดินทางเข้าแดนปลาดิบโดยใช้ “หนังสือเดินทางปลอม” เพื่อไปเที่ยวสวนสนุกโตเกียว ดิสนีย์แลนด์
ขณะที่คิม จองชอล พี่ชายคนรอง ซึ่งเป็นพี่ชายร่วมมารดาเดียวกันถูกระบุว่า มีบุคลิกภาพที่คล้ายกับผู้หญิงมากเกินไป จึงถูกมองข้าม
ดังนั้น เมื่อพี่ชายคนโตทำตัวเกเรจนสร้างความเสื่อมเสียแก่วงศ์ตระกูล ขณะที่พี่ชายคนรองก็ “ไม่มีความเป็นชาย” คิม จอง-อิล ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือในเวลานั้น จึงไม่มีทางเลือกอื่นใดเหลืออยู่ นอกจากนั้นตัดสินใจเลือกคิม จอง อึน บุตรชายคนเล็กให้ก้าวขึ้นมาเป็นทายาททางการเมืองในที่สุดนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2010 เป็นต้นมา
ด้าน “The Sun” หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์จอมแฉแห่งอังกฤษ รายงานเมื่อวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา โดยระบุว่า คิม จองอึนในช่วงที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนนานาชาติที่สวิตเซอร์แลนด์นั้นนอกจากจะเป็นเด็กขี้อายต่อเพศตรงข้าม ชื่นชอบบาสเกตบอลและเรียนหนังสือไม่เก่งแล้ว คิม จองอึน ยังเคยมีส่วนร่วมในการแสดงละครเพลงของโรงเรียนที่นำเอาภาพยนตร์เพลงอเมริกันสุดคลาสสิกแห่งปี 1978 อย่างเรื่อง “Grease” มาดัดแปลงอีกด้วย
รายงานของเดอะ ซันระบุว่าไม่เพียงแต่จะร่วมร้องร่วมเต้นในละครเพลงสัญชาติอเมริกันดังกล่าวเท่านั้น เชื่อหรือไม่ว่า คิม จองอึนยังถูกจดจำจากเพื่อนร่วมชั้นในฐานะของผู้ชื่นชอบการ์ตูน เกมคอมพิวเตอร์ และภาพยนตร์ฮอลลีวูดตัวยง โดยเฉพาะภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ผจญภัยเกี่ยวกับไดโนเสาร์เรื่อง “Jurassic Park” ของผู้กำกับชื่อก้อง สตีเวน สปีลเบิร์ก
ขณะที่แหล่งข่าวทางการทูตของชาติตะวันตกเผยว่า ผู้นำหนุ่มแห่งเปียงยางรายนี้ เมื่อโตเป็นหนุ่มเต็มตัวก็เริ่มชื่นชอบผลิตภัณฑ์ยาสูบภายใต้แบรนด์หรู “อีฟส์ แซงต์ โลรองต์” และโปรดปรานน้ำเมายี่ห้อ “จอห์นนี วอล์คเกอร์” เป็นพิเศษ รวมถึงมีรถเมอร์เซเดส เบนซ์ 600 ซีดาน ไว้ใช้เป็นการส่วนตัวคันหนึ่ง
จากประวัติในช่วงวัยเด็ก-วัยรุ่นข้างต้นของคิม จองอึน หลายฝ่ายคงอดสงสัยแกมประหลาดใจไม่ได้ว่า เพราะเหตุใดผู้นำเกาหลีเหนือรายนี้ซึ่งชื่นชอบบาสเก็ตบอลเอ็นบีเอของสหรัฐฯ และภาพยนตร์ฮอลลีวูดเป็นชีวิตจิตใจ ถึงกลับกลายเป็นบุคคลที่ประกาศตัวเป็นศัตรูกับสหรัฐฯ ไปได้
เพราะแม้กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ คิม จองอึน ก็ยังจัดคอนเสิร์ตในกรุงเปียงยางโดยมีตัวการ์ตูนสวมใส่ชุด “มิคกี้เมาส์” และ “หมีพูห์” ของค่ายดิสนีย์ ขึ้นเวทีมาแล้ว รวมถึงเพิ่งเชิญเดนนิส รอดแมน หนึ่งในนักบาสเกตบอลในดวงใจที่เป็นชาวอเมริกันไปเยือนเกาหลีเหนือเป็นการส่วนตัวด้วยเช่นกัน
ประเด็นที่ว่า คิม จองอึนจงเกลียดจงชังสหรัฐฯ จริงหรือไม่นั้น นักวิเคราะห์หลายฝ่ายลงความเห็นว่า ยากจะคาดเดาได้ แต่ที่ผู้คนทั่วทั้งโลกพากันวิตกอยู่ในเวลานี้ คือการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวต่างๆ ของคิม จองอึนแบบไม่สนใจประชาคมโลกในช่วงที่ผ่านมา เพราะไม่มีใครทราบได้ว่า ผู้นำหนุ่มรายนี้ของเกาหลีเหนือคิดจะก่อสงครามนิวเคลียร์จริง หรือเพียงแค่ “ขู่” เท่านั้น
จนถึงขณะนี้ ความเห็นของนักวิเคราะห์ทั่วโลกยังคงแตกเป็น 2 ฝ่าย ทั้งฝ่ายที่เชื่อว่า คิม จอง อึน แค่ขู่หรือเรียกร้องความสนใจ หรือแม้แต่ต้องการสร้างการยอมรับจากบรรดาผู้อาวุโสในเปียงยาง กับอีกฝ่ายหนึ่งที่เชื่อว่าคิมจะ “เอาจริง” แน่
แดเนียล พิงก์สตัน ผู้เชี่ยวชาญด้านเกาหลีเหนือจากกลุ่มเอ็นจีโอ อินเตอร์เนชันแนล ไครซิส กรุ๊ป (ไอซีจี)มองว่าท่าทีของผู้นำเกาหลีเหนือเป็น“เรื่องน่าตลก” ที่ต้องการสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดหุ้น แวดวงการเงิน รวมถึง ต้องการให้ทั่วโลกเกิดความกังวลเสียมากกว่า
ขณะที่ ซีกฟรีด เฮคเกอร์ ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ศึกษาความมั่นคงและความร่วมมือระหว่างประเทศ แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดของสหรัฐฯ ให้ความเห็นว่า ถึงแม้เกาหลีเหนือจะเคยประสบความสำเร็จในการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ใต้ดินถึง 3 ครั้ง (ครั้งล่าสุดคือเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา) แต่เชื่อว่า เกาหลีเหนือยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะสามารถทำการโจมตีเป้าหมายในสหรัฐฯ หรือแม้แต่การโจมตีเกาหลีใต้ ด้วยขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ได้ ดังนั้น ท่าทีก้าวร้าวแบบไร้ความเกรงใจผู้ใดของคิม จอง อึนในช่วงที่ผ่านมาจึงน่าจะเป็นเพียงการทำ “สงครามจิตวิทยา” เพื่อให้เกิดความหวาดกลัวเท่านั้น
อย่างไรก็ดี เดวิด คัง ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและธุรกิจ แห่งมหาวิทยาลัยเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนียและผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับเกาหลีเหนือชื่อ “Nuclear North Korea:A Debate on Engagement Strategies, ”กลับตั้งข้อสังเกตโดยให้มุมมองที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
โดยศาสตราจารย์รายนี้ระบุ พฤติกรรมที่ก้าวร้าวของเกาหลีเหนือในเวลานี้ อาจไม่ใช่เพียงแค่ความพยายามของคิม จอง อึน ในการเรียกร้องความสนใจจากนานาชาติและอาจไม่ได้เป็นเพียงแค่การสร้างฐานอำนาจของคิม ให้แข็งแกร่งและได้รับการยอมรับมากขึ้นจากบรรดาแม่ทัพนายกองและผู้อาวุโสในเปียงยาง
ศาสตราจารย์คังชี้ว่า แม้พฤติกรรมก้าวร้าวในทำนองนี้ จะเคยพบเห็นได้ในผู้นำเกาหลีเหนือที่ล่วงลับไปแล้ว อย่างคิม อิล-ซุง และคิม จอง-อิล แต่ทว่าในกรณีของคิม จอง อึนนั้นแตกต่างออกไป เนื่องจากเขาได้ก้าวขึ้นครองอำนาจสูงสุดทั้งในรัฐบาลและกองทัพเกาหลีเหนือตั้งแต่ที่มีอายุยังน้อย คือ ไม่ถึง 30 ปี ดังนั้น จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ความสุขุมรอบคอบและวุฒิภาวะที่ยังมีไม่มากนักของคิม จอง อึน สมควรเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ไม่อาจมองข้ามได้
“ถือเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่งยวดที่คนหนุ่มอย่างคิม จองอึน ซึ่งขาดทั้งประสบการณ์ ขาดความสุขุมในการอ่านเกมทางการเมืองระหว่างประเทศ และปราศจากวุฒิภาวะที่เพียงพอได้ก้าวขึ้นมาบริหารประเทศ การตัดสินใจเพียงชั่ววูบของคนหนุ่มซึ่งมีอาวุธนิวเคลียร์ในมือผู้นี้อาจนำมาซึ่งหายนะเกินกว่าใครจะคาดเดาได้” ศาสตราจารย์เดวิด คัง กล่าว
จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครบอกได้ว่า วิกฤตความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลี และการแสดงความก้าวร้าวของคิม จอง อึนจะสิ้นสุดลงเมื่อใด และในรูปแบบใด ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครตอบได้ว่า ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่การปะทุของสงครามรอบใหม่ระหว่างสองเกาหลีหรือไม่ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดต่อไป