ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
สังคมไทยในยามนี้มีพฤติกรรมหลายรูปแบบ หลายประการของกลุ่มบุคคลหลายกลุ่มทั้งนักการเมือง นักวิชาการ และสื่อมวลชนที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนจำนวนมากให้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย เอือมระอา และบางส่วนถึงกับรังเกียจคำว่า ประชาธิปไตย ไปเลยทีเดียว และผมประเมินว่ากระแสของความรู้สึกรังเกียจประชาธิปไตยจะขยายตัวออกไปมากยิ่งขึ้น หากสถานการณ์การเมืองยังไม่เปลี่ยนแปลง
การกระทำที่กระตุ้นความรู้สึกรังเกียจต่อประชาธิปไตยอย่างรุนแรงขึ้นมาในกลุ่มของประชาชนจำนวนมากคือ พฤติกรรมของ นช.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษผู้ต้องอาญาแผ่นดิน ผู้ใช้อิทธิพลเหนือกฎหมายและนอกจารีตประเพณีทางการเมืองแบบประชาธิปไตย เพื่อเข้าไปกำหนด สั่งการ และควบคุม นโยบายและแนวทางการตัดสินใจทางการเมืองและการบริหารของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยอย่างต่อเนื่อง และนับวันก็ยิ่งกระทำอย่างเหิมเกริม โจ่งแจ้ง และไม่คำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรมใดๆตามหลักการระบอบประชาธิปไตยแม่แต่น้อย
ทักษิณ สั่งให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญและเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมตั้งแต่ พ.ศ. 2555 เพื่อล้างความเป็นอาชญากรของตนเอง บรรดาสมุนทั้งที่เป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทยและแกนนำเสื้อแดง ต่างก็ร่วมกันปฏิบัติตามอย่างไม่รั้งรอ จวบจนบัดนี้มีร่างกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับการนิรโทษกรรมถูกบรรจุเข้าไปในวาระการประชุมของสภาผู้แทนราษฎรแล้วถึง 5 ฉบับ
สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 นั้น ความตั้งใจเริ่มต้นของทักษิณ คือ การเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยให้ ส.ส. เสนอแก้ไขมาตรา 291 อันนำไปสู่การจัดตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญชุดใหม่ขึ้นมาเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ให้เป็นไปในแนวทางที่ตนเองกำหนด แต่ทว่าได้รับการคัดค้านจากภาคประชาชนอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งล้มเหลวไป
แต่ทักษิณ ก็ยังคงเป็น ทักษิณ เมื่อไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล ความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้สั่งการให้แก้ไขรายมาตรา ทักษิณ ได้สไกป์เข้าไปในการประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2556 ว่า อยากให้แก้ไขรายมาตรา เพราะถ้าเดินหน้าแก้ทั้งฉบับจะมีปัญหา ถูกยื่นตีความให้รัฐบาลล้มได้ แต่ถ้าแก้รายมาตราไม่มีปัญหาอะไร สามารถทยอยแก้ไขได้
การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราเป็นกลยุทธที่ทักษิณสั่งให้ ส.ส.เพื่อไทยทำต่อไปทันที และ ส.ส.เพื่อไทยก็ตอบสนองโดยทันทีและปฏิบัติตามคำสั่งนี้อย่างลนลาน
แน่นอนว่ากลยุทธเช่นนี้ของทักษิณ คงจะเริ่มจากการเสนอให้แก้ไขประเด็นที่มีความขัดแย้งน้อยๆก่อนเพื่อเป็นการลองเชิงและหยั่งปฏิกิริยาการต่อต้านจากภาคประชาชน หากแก้ไขได้สำเร็จก็คงทยอยแก้ไขประเด็นอื่นๆต่อไปอย่างเป็นระบบ จนกระทั่งบรรลุประเด็นที่ตนเองอยากให้มีการแก้ไขมากที่สุดนั่นคือ มาตรา 309
ทักษิณ ยังได้เข้ามากำหนด สั่งการและผลักดันนโยบายสำคัญของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด เช่น นโยบายจำนำข้าว ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ การกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท กรณีนโยบายจำนำข้าวซึ่งประสบความล้มเหลวสร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยอย่างเหลือคณานับ ก็สั่งให้ ส.ส.เพื่อไทยไปชี้แจงให้ชาวบ้าน โดยให้บอกว่านโยบายประสบความสำเร็จ ทั้งที่ในความจริงเชิงประจักษ์ มีหลักฐานมากมายที่บ่งชี้ถึงความล้มเหลวของนโยบายนี้ จนกระทั่งกำลังเป็นปัญหาและกระทบกับความมั่นคงของอาหารในสังคมไทย
ส่วนการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และกำกับให้รัฐบาลไทยเจรจากับกลุ่มผู้ก่อการร้ายบางกลุ่ม ก็ส่งผลให้กลุ่มผู้ก่อการร้ายกลุ่มอื่นๆเกิดความไม่พอใจและสร้างความรุนแรงยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ ล่าสุดที่อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส มีนายตำรวจระดับรองผู้กำกับและผู้ใต้บังคับบัญชาอีก 2 คน เสียชีวิตจากการโจมตีของฝ่ายก่อการร้าย
เรียกได้ว่าเรื่องใดที่นักโทษรายนี้เข้าไปเกี่ยวข้อง เรื่องนั้นมีอันต้องเกิดปัญหาที่รุนแรงและสร้างความเสียหายต่อประเทศชาติเพิ่มขึ้นทุกครั้งไป
อำนาจในการแต่งตั้งรัฐมนตรี เป็นอีกเรื่องที่นักโทษชายคนนี้ได้ประกาศอย่างชัดเจนภายในการประชุมพรรคเพื่อไทยว่าเป็นของตนเอง เขากล่าวว่า ตำแหน่งประธานกรรมาธิการชุดต่างๆที่จะทำงานครบ 2 ปี ก็ต้องมีการหมุนเวียนตำแหน่งกัน ขณะนี้ประธานกรรมาธิการมีเวลาเหลืออีก 5-6 เดือน ก็ขอให้เร่งสร้างผลงาน เพื่อนำส่วนนี้พิจารณาให้เป็นรัฐมนตรีต่อไป
คนที่จะพูดแบบนี้ได้ หากมิใช่คนสติไม่ดี หรือเป็นคนที่ชอบอวดโอ่เกินจริง ก็แสดงว่าเขามีอำนาจอย่างเต็มที่ในการบริหารจัดการภายในพรรคเพื่อไทย และสามารถสั่งการกำหนดได้ว่าใครจะได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ไม่ทราบว่าประเทศไทยจะเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบไหนที่นักโทษสามารถสั่งรัฐบาลได้ว่าจะเอาใครเป็นรัฐมนตรี
ล่าสุดพฤติกรรมที่เสมือนเป็นการตบหน้าคนไทยทั้งประเทศ คือ การสั่งให้นายเกษม นิมมลรัตน์ ส.ส. พรรคเพื่อไทย จังหวัดเชียงใหม่ ลาออกจากตำแหน่ง ส.ส.เพื่อให้นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ลงสมัครตำแหน่ง ส.ส. แทน ในเรื่องนี้ผมอ่านจากที่ นช. ทักษิณ พูดแล้วก็ได้แต่นึกปลง เขากล่าวว่า นางเยาวภา เสนอตัวอีกครั้งไปช่วยงานในสภา ไม่ได้เป็นนายกฯสำรอง แต่เพื่อให้พวกเรา (ส.ส.) มีความอบอุ่น ส.ส.หญิงจะได้มีเพื่อนอีกคน
นช.ทักษิณ พูดราวกับว่า นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ได้รับเลือกให้เป็น ส.ส.อย่างแน่นอน ประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่คงไม่มีความหมายใดๆ พรรคเพื่อไทยจะทำอะไรก็ได้ เพราะคราวที่แล้ว แม้พรรคนี้เอาคนขับรถในบ้านนางเยาวภา ลงสมัคร ส.ส. ประชาชนในเขตเลือกตั้งนั้นก็ยังเลือกเข้าไปได้เลย ดังนั้นหากนางเยาวภา ลงสมัคร ส.ส.ด้วยตนเอง พวกเขาก็คงประเมินว่าคงได้รับเลือกตั้งแน่ๆ สิ่งนี้คือความเป็นจริงที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกสำหรับประชาชนชาวเชียงใหม่และคนไทยทั่วไป
ผมไม่แน่ใจว่าจะมีประเทศใดบ้างที่ประกาศต่อชาวโลกว่าประเทศตนเองเป็นประชาธิปไตย แต่มีพรรคการเมืองและรัฐบาลที่อยู่ภายใต้การบงการของนักโทษคดีอาญา มีประเทศใดบ้างที่ผู้มีอิทธิพลในพรรคให้คนขับรถสมัคร ส.ส. แทนตน จากนั้นเมื่อตนเองอยากได้ตำแหน่งคืน ก็ให้คนขับรถลาออกไป แล้วตนเองก็ลงสมัครแทน
พวกเขาเหล่านั้นทั้งไม่เคารพสิทธิและไม่แยแสศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของชาวบ้านที่เลือกเขาเข้ามาแม้แต่น้อย ไม่เคยสนแม้แต่นิดเดียวว่าประเทศชาติสูญเสียงบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีของประชาชนไปเท่าไร สิ่งที่พวกเขาสนใจก็คือ การตบหน้า เหยียดหยาม ดูถูกประชาชน ว่าในแผ่นดินนี้พวกเขาจะทำอะไรก็ได้ ตามที่ใจปรารถนา
พฤติกรรมของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ส.ส. พรรคเพื่อไทย และคณะรัฐมนตรีทั้งหมดที่ได้กล่าวมาและรวมไปถึงอีกมากมายมหาศาลที่ยังไม่ได้กล่าว ล้วนแล้วแต่บั่นทอนหลักการประชาธิปไตย ละเมิดสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนไทยทั้งสิ้น
แต่ที่น่าประหลาดยิ่งกว่าก็คือ มีนักวิชาการบางคนและสื่อมวลชนบางกลุ่ม กลับเห็นดีเห็นงามกับพฤติกรรมชั่วร้ายเหล่านี้ หลับหูหลับตาสนับสนุนกลุ่มคนเหล่านี้ ด้วยเหตุที่กลัวการรัฐประหารและการปฏิวัติจากประชาชนจนอุจจาระขึ้นสมอง
คนเหล่านี้ปากก็จะท่องมนต์ดำประจำตัวว่า ต้องปกป้องประชาธิปไตย หัวมุดอยู่ในตัวหนังสือและทฤษฎี ดุจผีเฝ้าหลุมศพของตัวเอง ไม่เคยสนใจหรือพยายามจะเข้าใจโลกของความเป็นจริงแม้แต่น้อย ว่าประชาธิปไตยที่พวกเขาท่องบ่นว่าต้องปกปักรักษานั้น มันเป็นเพียงโครงกระดูกที่ผุกร่อน ซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยผ้าคลุมศพ ส่วนเนื้อหานั้นถูกหนอนเน่าของระบอบทักษิณ นักการเมืองทุนสามานย์เจาะไชกลืนกินไปหมดแล้ว
พฤติกรรมที่ทำลายประชาธิปไตยอย่างโจ่งแจ้งของกลุ่มนักการเมือง จนทำให้ประชาธิปไตยไทยกลายเป็นประชาธิปไตยแบบอนาถาซึ่งเน่าเฟะไปด้วยหนอนแมลงที่ดูดเลือดเนื้อจนเหลือแต่กระดูกผุ และพฤติกรรมที่ปกป้องซากอันเน่าเหม็นของประชาธิปไตยแบบอนาถาโดยนักวิชาการและสื่อมวลชน ล้วนแล้วแต่ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากเกิดความเบื่อหน่ายและรังเกียจประชาธิปไตยแบบนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บางที ตอนนี้อาจถึงเวลาแล้ว ที่ประชาชนจะช่วยกันขุดหลุม เพื่อฝังซากอันเน่าเหม็นของประชาธิปไตยแบบอนาถานี้เสียที