วานนี้(26 ก.พ.56) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังคงปฏิบัติภารกิจที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ตามคำเชิญของนายเหลียง จุ้นอิง ผู้บริหารสูงสุดฮ่องกง โดยจะโรดโชว์ย้ำถึงโอกาสการลงทุนภายใต้แผนยุทธศาสตร์ประเทศไทย เพื่อดึงดูดนักลงทุนชั้นนำและนักการเงินต่างชาติจากฮ่องกง ซึ่งถือเป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และความพร้อมของไทยที่จะเป็นจุดเชื่อมในภูมิภาค (Connectivity Hub) ตามแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเชื่อมต่อกับฮ่องกง เนื่องจากฮ่องกงมีท่าอากาศยานและท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ และเป็นจุดขนส่งสินค้าที่สำคัญที่มีปริมาณการขนส่งสินค้าเป็นอันดับต้นของโลก
ทั้งนี้ได้พบปะกับผู้บริหารระดับสูงของภาคธนาคารและการลงทุนที่สำคัญของฮ่องกง การพบกับตัวแทนบริษัทท่องเที่ยวชั้นนำของฮ่องกง เพื่อย้ำศักยภาพการท่องเที่ยวในประเทศไทยและจูงใจนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกง อย่างไรก็ตาม ในการนำทีมเศรษฐกิจร่วมหารือกับผู้บริหารชั้นนำระดับสูง ด้านการธนาคาร และการลงทุนของฮ่องกง ตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยนายกรัฐมนตรีได้ให้ความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่มีเสถียรภาพมากขึ้น โดยระบุว่า ปี 2012 เศรษฐกิจไทยเติบโต 6.4 % เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.1 เปอร์เซ็นต์ และในปี 2013 ตั้งเป้าว่า จะสามารถเติบโตเพิ่มขึ้นได้ที่ 5.0 - 6.0 %
นอกจากนี้ มีแผนลงทุนสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน ภายใต้งบประมาณ 2 ล้านล้านบาท หรือ คิดเป็น 7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือ เท่ากับ 17%ของจีดีพี โดยโครงการจะแล้วเสร็จภายใน 7 ปี
มีแผนการลงทุนที่เน้นด้านการคมนาคมและเครือข่ายโลจิสติกส์ ประกอบด้วยเส้นทางรถไฟ 82.6 % ถนน 12.2% เส้นทางเดินเรือ 1.5 % และสาธารณูปโภคตามแนวชายแดน 0.6 % โดยรัฐบาลได้มีมาตรการจูงใจการลงทุนด้วยการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็น 20 %ในปีนี้ ซึ่งต่ำกว่าหลายประเทศในภูมิภาค อาทิ มาเลเซีย 25 % เวียดนาม 25 % อินโดนีเซีย 20 % และฟิลิปปินส์ 30 %
ด้านนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังการประชุมว่า ได้ยืนยันให้นักลงทุนทราบว่าประเทศไทยมีสภาพคล่องทางการเงินของประเทศดี ได้ทำความเข้าใจกับนักลงทุนว่า แม้ประเทศไทยไม่ต้องการเงินทุนจากต่างประเทศก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เนื่องจากมีสภาพคล่องในประเทศมากเพียงพอ แต่ในระยะยาวประเทศไทยยังต้องอยู่ในระดับตลาดการเงินนานาชาติต่อไป
ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา หารือว่า พ.ร.ก.การบริหารจัดการน้ำ ที่ต้องมีการกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท ที่เหลือเวลาเพียง 4 เดือน ทั้งนี้ จะทำอีไอเอ ( EIA)และ เอชไอเอ(HIA) กันอย่างไร เพราะโครงการทั้งหมดล้วนเป็นโครงการที่เข้ามาตรา 67 (2) โดยบริษัทที่ผ่านการกลั่นกรองเพื่อดำเนินโครงการนี้มีทั้งหมด 6 บริษัท แต่บริษัทที่ได้รับการเอาอกเอาใจเป็นพิเศษคือ บริษัท เค - วอเตอร์ ของประเทศเกาหลี ซึ่งบริษัทดังกล่าวไม่ได้เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างแต่เป็นรัฐวิสาหกิจของเกาหลีโดยไม่มีพันธมิตรและผู้ชำนาญการในแต่ละด้านร่วมด้วย เรียกได้ว่ามาแต่ตัว จับเสือมือเปล่า ล่าสุดไจก้า ชี้ว่า การที่รัฐบาลไทยมีแผนจะสร้างทั้ง 10 โครงการ ในงบประมาณ 3.5 แสนล้านบาทนั้น ไม่จำเป็นต้องสร้างทั้งหมด ทำให้งบประมาณก่อสร้างจะลดลงถึงร้อยละ 70 ซึ่งงบประมาณดังกล่าวจะเหลือเพียง 1 แสนล้านบาทเท่านั้น
ด้านสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ขอให้คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการตรวจสอบทุจริตได้ติดตามตรวจสอบว่าเงินกู้ 3.5 แสนล้านมีค่าปากถุงในการกู้เงินเท่าไหร่ปกติจ่ายกันร้อยละ 25 สตางค์หรือที่มีข้อครหา 30เปอร์เซ็นต์เป็นค่าคอมมิชชั่นในการคอรัปชั่น ซึ่งจากข้อมูลของไจการะบุชัดเจนว่าไม่จำเป็นต้องใช้เงินถึง 3.5 แสนล้านบาท ลดลงเหลือแค่ แสนล้านเท่านั้นเองอีก 2.45 แสนล้านจะเอาไปทำอะไรก็ขอให้ติดตาม
ทั้งนี้ได้พบปะกับผู้บริหารระดับสูงของภาคธนาคารและการลงทุนที่สำคัญของฮ่องกง การพบกับตัวแทนบริษัทท่องเที่ยวชั้นนำของฮ่องกง เพื่อย้ำศักยภาพการท่องเที่ยวในประเทศไทยและจูงใจนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกง อย่างไรก็ตาม ในการนำทีมเศรษฐกิจร่วมหารือกับผู้บริหารชั้นนำระดับสูง ด้านการธนาคาร และการลงทุนของฮ่องกง ตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยนายกรัฐมนตรีได้ให้ความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่มีเสถียรภาพมากขึ้น โดยระบุว่า ปี 2012 เศรษฐกิจไทยเติบโต 6.4 % เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.1 เปอร์เซ็นต์ และในปี 2013 ตั้งเป้าว่า จะสามารถเติบโตเพิ่มขึ้นได้ที่ 5.0 - 6.0 %
นอกจากนี้ มีแผนลงทุนสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน ภายใต้งบประมาณ 2 ล้านล้านบาท หรือ คิดเป็น 7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือ เท่ากับ 17%ของจีดีพี โดยโครงการจะแล้วเสร็จภายใน 7 ปี
มีแผนการลงทุนที่เน้นด้านการคมนาคมและเครือข่ายโลจิสติกส์ ประกอบด้วยเส้นทางรถไฟ 82.6 % ถนน 12.2% เส้นทางเดินเรือ 1.5 % และสาธารณูปโภคตามแนวชายแดน 0.6 % โดยรัฐบาลได้มีมาตรการจูงใจการลงทุนด้วยการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็น 20 %ในปีนี้ ซึ่งต่ำกว่าหลายประเทศในภูมิภาค อาทิ มาเลเซีย 25 % เวียดนาม 25 % อินโดนีเซีย 20 % และฟิลิปปินส์ 30 %
ด้านนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังการประชุมว่า ได้ยืนยันให้นักลงทุนทราบว่าประเทศไทยมีสภาพคล่องทางการเงินของประเทศดี ได้ทำความเข้าใจกับนักลงทุนว่า แม้ประเทศไทยไม่ต้องการเงินทุนจากต่างประเทศก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เนื่องจากมีสภาพคล่องในประเทศมากเพียงพอ แต่ในระยะยาวประเทศไทยยังต้องอยู่ในระดับตลาดการเงินนานาชาติต่อไป
ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา หารือว่า พ.ร.ก.การบริหารจัดการน้ำ ที่ต้องมีการกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท ที่เหลือเวลาเพียง 4 เดือน ทั้งนี้ จะทำอีไอเอ ( EIA)และ เอชไอเอ(HIA) กันอย่างไร เพราะโครงการทั้งหมดล้วนเป็นโครงการที่เข้ามาตรา 67 (2) โดยบริษัทที่ผ่านการกลั่นกรองเพื่อดำเนินโครงการนี้มีทั้งหมด 6 บริษัท แต่บริษัทที่ได้รับการเอาอกเอาใจเป็นพิเศษคือ บริษัท เค - วอเตอร์ ของประเทศเกาหลี ซึ่งบริษัทดังกล่าวไม่ได้เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างแต่เป็นรัฐวิสาหกิจของเกาหลีโดยไม่มีพันธมิตรและผู้ชำนาญการในแต่ละด้านร่วมด้วย เรียกได้ว่ามาแต่ตัว จับเสือมือเปล่า ล่าสุดไจก้า ชี้ว่า การที่รัฐบาลไทยมีแผนจะสร้างทั้ง 10 โครงการ ในงบประมาณ 3.5 แสนล้านบาทนั้น ไม่จำเป็นต้องสร้างทั้งหมด ทำให้งบประมาณก่อสร้างจะลดลงถึงร้อยละ 70 ซึ่งงบประมาณดังกล่าวจะเหลือเพียง 1 แสนล้านบาทเท่านั้น
ด้านสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ขอให้คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการตรวจสอบทุจริตได้ติดตามตรวจสอบว่าเงินกู้ 3.5 แสนล้านมีค่าปากถุงในการกู้เงินเท่าไหร่ปกติจ่ายกันร้อยละ 25 สตางค์หรือที่มีข้อครหา 30เปอร์เซ็นต์เป็นค่าคอมมิชชั่นในการคอรัปชั่น ซึ่งจากข้อมูลของไจการะบุชัดเจนว่าไม่จำเป็นต้องใช้เงินถึง 3.5 แสนล้านบาท ลดลงเหลือแค่ แสนล้านเท่านั้นเองอีก 2.45 แสนล้านจะเอาไปทำอะไรก็ขอให้ติดตาม