ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เชื่อได้ว่า ขณะนี้คนกรุงเทพฯ ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) จำนวนไม่น้อย ยังคงติดกับดักและหลุมพรางทางการเมืองของพรรคการเมือง 2 พรรคใหญ่โดยไม่ทราบว่าจะหาทางออกได้อย่างไร
คนกลุ่มหนึ่งก็หลงใหลได้ปลื้มกับ “ตุ๊กตาจูดี้” จากพรรคเผาบ้านเผาเมือง เพราะเสพติดกับนโยบายประชานิยมที่พรรคการเมืองพรรคนี้นำมา “ตกเขียว” โดยมิได้เคยคำนึงถึงพฤติกรรมในอดีตที่พรรคนี้ได้สมญานามว่าพรรคเผาบ้านเผาเมือง ผสมโรงกับความเกลียดขี้หน้า “คุณชายไวน์เลิฟเวอร์” ที่เสพสุขบนเก้าอี้พ่อเมืองหลวงตลอด 4ปีเต็มแต่ไม่เคยได้สร้างผลงานอะไรให้เห็นเป็นชิ้นเป็นอัน
ขณะที่คนกรุงอีกกลุ่มหนึ่งก็ห่วงหน้าพะวงหลังกับวาทกรรมลวงโลกของ “พรรคขายชาติ” ของ “คุณชายไวน์เลิฟเวอร์” ที่สร้างกระแสความหวาดหวั่นในจิตใจด้วยข้อความประเภท “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” หรือ “อย่าปล่อยให้พรรคเผาบ้านเผาเมืองยึดปราการสุดท้ายของชาติไปได้”
ทั้งๆ ที่จะว่าไปแล้ว ทั้งพรรคเผาบ้านเผาเมืองและพรรคขายชาติต่างก็สร้างหายนะให้กับชาติบ้านเมืองไม่ได้แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย
ที่สำคัญคือ ถ้าจะกล่าวเฉพาะกรุงเทพมหานครก็ปรากฏให้เห็นชัดเจนว่า ผู้สมัครสังกัดพรรคการเมืองมิได้มีผลงานที่โดดเด่นถ้าหากเทียบกับผู้สมัครอิสระทั้งๆ ที่ด้วยความเป็นพรรคน่าจะสร้างคุณประโยชน์ให้ชาติบ้านเมืองได้อย่างเป็นเอกภาพมากกว่า
หลายคนคงยังจำได้ดีกับชื่อของ “พล.ต.จำลอง ศรีเมือง”
หลายคนยังจำได้ดีกับชื่อของ “ดร.พิจิตต รัตตกุล”
หรือแม้กระทั่ง “นายสมัคร สุนทรเวช” ก็ยังเป็นชื่อที่สร้างความประทับใจให้กับคนกรุงเทพฯ ได้ไม่ลืม
นั่นคือประจักษ์พยานให้เห็นว่า ผู้สมัครอิสระสามารถสร้างผลงานและความโดดเด่นได้มากกว่าผู้สมัครจากพรรคการเมืองที่คำนึงผลประโยชน์ของชาติน้อยกว่าผลประโยชน์ของพรรค
ขณะที่เมื่อเทียบตัวผู้สมัครและนโยบายแบบปอนด์ต่อปอนด์ของผู้สมัครสังกัดพรรคการเมือง ก็มิได้มีหลักรับประกันอันใดที่จะสร้างความยั่งยืนสถาพรให้เมืองหลวงของประเทศไทยเลยแม้แต่น้อย
ทุกคนย่อมทราบอยู่แก่ใจว่า “จูดี้” มีสภาพไม่ต่างอะไรกับ “ตุ๊กตาเฟอร์บี้” ที่ได้รับคำสั่งหรือโปรแกรมจากนายใหญ่แห่งดูไบให้พูด คิด อ่านและเขียนตามที่กำหนดไว้เท่านั้น ไม่มีอิสระในการกำหนดและทำนโยบายด้วยตนเอง
จูดี้เหมาะที่จะเป็นคนสับไก่ คนกวาดขยะ คนชงกาแฟหรือคนขับรถเมล์มากกว่าที่จะเป็นผู้ว่าฯ กทม. แถมในช่วงที่เป็นตำรวจก็ไม่เคยปรากฏผลงานทางด้านคดีสำคัญๆ ให้เห็น มีแต่ออกอีเวนท์สร้างภาพให้ปรากฏเป็นข่าวกับโครงการรับฝากบ้านไว้กับตำรวจ
ส่วนนโยบายทุกนโยบายของจูดี้ถอดแบบมาจากพรรคเผาบ้านเผาบ้านเผาเมืองอย่างไม่มีผิดเพี้ยนคือใช้ประชานิยมนำหน้า อาทิ รถเมล์ฟรี เรือโดยสารฟรี ฯลฯ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่า เป็นความเพ้อฝันที่เป็นไปได้ยาก เพราะองค์กรเหล่านั้นมิได้อยู่ภายใต้อำนาจของผู้ว่าฯ กทม.
คนกรุงเทพฯ อยากเห็น กทม.ตกอยู่ในสภาพเดียวกับประเทศไทยที่ต้องบอบช้ำกับนโยบายอย่างโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ด หรือโครงการรถคันแรก กระนั้นหรือ
เพราะฉะนั้น อย่าให้พรรคเผาบ้านเผาเมืองมาหลอกขาย “ตุ๊กตาจูดี้” อีกเลย
แต่นั่นก็มิได้หมายความว่า ไม่เลือกจูดี้แล้วหันไปเลือก“คุณชายไวน์เลิฟเวอร์” จากพรรคขายชาติแทน เพราะก็มิได้มีสภาพที่แตกต่างกันเท่าใดนัก
4 ปี “คุณชายไวน์เลิฟเวอร์”มิได้เคยสร้างความจดจำหรือความประทับใจให้กับคนเมืองหลวง แถมมีแต่เรื่องฉาวๆ ไม่เว้น ทั้งกรณีสนามฟุตซอล กรณีกล้อง CCTV ดัมมี่ กรณีต่อสัญญาว่าจ้างรถไฟฟ้าบีทีเอสล่วงหน้าก่อนที่จะหมดวาระซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินคดีจากดีเอสไอ กรณีอุโมงค์ยักษ์ระบายน้ำที่ใช้เงินมหาศาลแต่ไม่สามารถใช้งานได้เต็มศักยภาพ แถมลงสมัครรับเลือกตั้งใหม่ก็ยังประกาศดันทุรังจะขยายเพิ่มเติมออกไปอีก ฯลฯ
ผลสำรวจที่พบว่าคะแนนนิยมต่ำเตี้ยเรี่ยดิน บวกกับแรงกดดันที่ตนเองก่อไว้ด้วยการหักดิบประกาศตัดหน้าลงผู้ว่าฯ กทม.ก่อนที่พรรคจะมีมติ ทำให้เมื่อถูกถามว่า ถ้าพรรคไม่ส่งลงรักษาเก้าอี้จะหนีไปลงสมัครอิสระ คุณชายถึงกับเบรกแตก “ขึ้นมึงขึ้นกู” บนเวทีปราศรัยพร้อมใบหน้าที่สุดแสนจะโมโหโกรธา
นอกจากนี้ ยังจำกันได้หรือไม่ว่า ใครคือผู้ที่ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ไทย-กัมพูชา 2543 หรือเอ็มโอยู 2543 มิใช่“คุณชายไวน์เลิฟเวอร์” ดอกหรือ และเอ็มโอยู 43 นี้เองที่เป็นต้นกำเนิดของความเสี่ยงที่จะทำให้ราชอาณาจักรไทยเสียดินแดน เพราะเป็นที่มาของ “บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน” หรือเอ็มโอยู 2544 และ JOINT COMMUNIQUE สมัยนายนพดล ปัทมะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำพิพากษาให้เป็นโมฆะเพราะสี่ยงที่จะทำให้เสียดินแดน กระทั่งลุกลามใหญ่โตจนรัฐบาลฮุนเซ็นสามารถนำเรื่องปราสาทพระวิหารขึ้นสู่การพิจารณาของศาลโลกได้สำเร็จ
ถ้าไม่มีเอ็มโอยู 2543 ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์ข้างต้นนี้
แถมระหว่างที่เกิดปัญหาข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา พรรคต้นสังกัดของ“คุณชายไวน์เลิฟเวอร์” ก็ส่ง “จรกาหน้าดำ” ไปดอดเจรจาสวมตอเจรจาสิทธิประโยชน์ในแหล่งพลังงานในอ่าวไทย
หรือล่าสุดกับกรณีของ “นางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์” ที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษจากรัฐบาลกัมพูชา ก็มิเคยปรากฏให้เห็นเลยว่า พรรคต้นสังกัดของชายหมูเอ่ยคำขอโทษในความบรมห่วยของตนเองที่ไม่มีน้ำยาในการช่วยเหลือคนไทย แถมยังสั่งการให้สาวกแมลงสาบออกมาซ้ำเติมนางสาวราตรี อย่างหน้าไม่อายอีกต่างหาก
ขณะที่ผลงานของพรรคต้นสังกัด “คุณชายไวน์เลิฟเวอร์” ระหว่างเถลิงอำนาจเป็นรัฐบาลก็เกิดความฉาวโฉ่มากมาย
ยังจำได้ไหมกับปรากฏการณ์น้ำมันปาล์มขาดแคลนที่สวาปามกันบนความ เดือดร้อนของคนทั้งประเทศ
ยังจำได้ไหมกับนโยบายสุดบรรเจิดอย่าง “โครงการไข่ชั่งกิโล” ที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า
หรือทุจริตปลากระป๋องเน่าที่ทำให้ต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรีตั้งแต่เป็นรัฐบาลได้ไม่นานนัก
ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่คนกรุงเทพฯ จะปลดแอกตัวเองออกจากพรรคขายชาติและพรรคเผาบ้านเผาเมืองกันเสียที โดยทำให้เห็นว่าคนกรุงเทพฯ ไม่ได้ตกอยู่ภายใต้คำข่มขู่ และคัดค้านแผนกินรวบประเทศไทย
โดยเฉพาะเสียงของพลังเงียบซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 40 - 50% ถือเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง และพลังของผู้สมัครอิสระโดยเฉพาะ 3 คนสำคัญ คือ นายโฆษิต สุวินิจจิต, พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส และนายสุหฤท สยามวาลา ที่กำลังรุกหนักซัดเต็มๆ ทั้งพรรคประชาธิปัตย์และเพื่อไทย มีโอกาสที่สร้างปรากฏการณ์พลิกล็อก
แม้ว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะมั่นใจว่า ศึกครั้งนี้ "คุณชายสุขุมพันธุ์" ชนะแน่ แต่ต้องเหนื่อยหน่อยเท่านั้นเอง
ส่วนเพื่อไทย ซึ่งชูสโลแกน "สร้างอนาคตกรุงเทพฯร่วมกับรัฐบาลอย่างไร้รอยต่อ" กำลังถูกตีความเป็นแผนกินรวบประเทศไทย จนกลายเป็นจุดอ่อน เพราะการผูกขาดเบ็ดเสร็จเด็ดขาด การใช้อำนาจบาตรใหญ่ ปกป้องพวกพ้องยิ่งกว่าความถูกต้อง เป็นสิ่งที่คนกรุงเทพฯ รังเกียจอย่างยิ่ง
เรื่องนี้ ผู้สมัครอิสระรู้ดี และพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์จึงได้หยิบเอาประเด็นการรวมหัวกับรัฐบาลอย่างไร้รอยต่อของพล.ต.อ.พงศพัศ มาขึ้นป้ายในช่วงใกล้โค้งสุดท้าย ว่า "หนึ่งเสียงของท่าน ต้านคอรัปชั่นแบบไร้รอยต่อ...ได้!” และอีกป้ายเขียนว่า “หนึ่งเสียงของท่าน หยุดคอรัปชั่นกทม. หยุดกินรวบประทศไทย..ได้!” เรียกได้ว่าซัดผู้สมัครเบอร์ 9 เข้าเต็มๆ
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังชำแหละการเมืองมักจะเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ คนกรุงเทพฯ จะยอมให้พรรคการเมืองมาจับเราไว้เป็นตัวประกันอีกต่อไปหรือไม่ กรุงเทพฯ ต้องปลอดจากการเมือง ไม่ใช่ให้การเมืองมาครอบงำ "ถ้าผมได้เป็นผู้ว่าแล้วมีหลักฐานว่าผมโกง จับผมเข้าคุกได้เลย"
ขณะที่นายโฆษิต สุวินิจจิต ได้ขายแนวคิดไปให้พ้นจากพรรคการเมืองที่เป็นต้นตอก่อให้เกิดความขัดแย้ง ผู้สมัครอิสระจึงเป็นคำตอบที่ถูกต้อง
เช่นเดียวกับนายสุหฤท ที่ย้ำไม่ให้คนกรุงเทพฯ ตกอยู่ภายใต้การข่มขู่ของพรรคการเมืองงใหญ่ "ไม่เลือกเรา เขามาแน่"
การปลดแอกคนกรุงเทพฯ จากพรรคการเมืองใหญ่ จึงเป็นประเด็นร่วมที่ผู้สมัครอิสระเห็นพ้องว่าจะต้องรวมพลังทำให้คนกรุงเทพฯ หลุดพ้นจากพรรคการเมือง
ขณะที่ด้านนโยบายนั้น ทั้งผู้สมัครจากพรรคการเมืองและผู้สมัครอิสระ ไม่ค่อยมีความแตกต่างกันมากนัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของคนกรุงเทพฯ การจัดสรรจัดหาที่ทางในการทำมาหากิน การพัฒนาคุณภาพชีวิต การรักษาพยาบาล การศึกษา การจราจร การกระจายความเจริญ ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่คนกรุงเทพฯรู้อยู่แล้วว่านโยบายขายฝันต่างๆ นาๆ จะทำให้เป็นจริงได้มากน้อยเพียงใด
ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ จึงถึงเวลาที่คนกรุงเทพฯ จะรวมพลังไปสั่งสอนพรรคขายชาติและพรรคเผาเมืองในวันที่ 3 มีนาคม 2556 อย่างพร้อมเพรียงกัน
ถ้าคนกรุงเทพฯ เชื่อแบบเดิมๆ เลือกแบบเดิมๆ สุดท้ายก็ย่อมได้กรุงเทพฯ แบบเดิมๆ