(14 ก.พ.2556)
เกริ่นนำ
ในที่นี้ ผู้เขียนขอนำเสนอบทวิเคราะห์เรื่อง “การนำ” ในบริบทการขับเคลื่อนของขบวนการการเมืองภาคประชาชน นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่กำลังดำเนินไปอย่างจริงจัง ในอันที่จะทำการเปลี่ยนแปลงใหญ่ประเทศไทยให้ได้ ในที่สุด โดย “โฟกัส”ไปที่ การนำของพันธมิตรฯ
ทั้งนี้ ผู้เขียนมุ่งสะท้อน “แก่นแท้” หรือ “กฎ”การนำของแกนนำพันธมิตรฯ ที่ผู้เขียนได้มีส่วนร่วมรับรู้ทั้งในทางความคิดและทางปฏิบัติ ตลอดระยะเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมา โดยนำเสนอในรูปแบบทฤษฎีที่เป็น “นามธรรม” มากกว่า “รูปธรรม” คือไม่เดินเรื่องว่าใครทำอะไร ? ที่ไหน ? อย่างไร ? แต่เดินเรื่องว่าเป็นเรื่องอะไร ? เป็นอย่างไร ? และทำอย่างไร ?
ที่ทำเช่นนี้ ก็เพราะการนำเสนอเชิงทฤษฎี สะท้อน “แก่นแท้”หรือ “กฎ”สิ่งต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นในท่ามกลางกระบวนการการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยครั้งประวัติศาสตร์นี้ เป็นภารกิจของผู้เขียนโดยตรง ในการที่จะนำชาวพันธมิตรฯเข้าถึง “สัจธรรม”ที่ดำรงอยู่ ซึ่งเมื่อใดที่พวกเราชาวพันธมิตรฯหลุดจากเรื่องรูปธรรม สามารถ “เข้าถึง” และ “ยึดกุม” ได้ในข้อสัจธรรมเหล่านี้ สภาวะ “ตื่นรู้”ก็จะอุบัติขึ้นได้ในตัวเราทันที
สภาวะตื่นรู้ที่ว่านี้ ก็คือ “รู้จริง” – รู้ว่าอะไรเป็นอะไรในระดับภาพรวม(ของประเทศไทย ของโลก) ? รู้ว่าต้นตอของปัญหาอยู่ตรงไหน(ปัจจัยกำหนดหลักที่ทำให้ปัญหานั้นๆื ดำรงอยู่) ?
จากนี้จะนำไปสู่การ “รู้คิด” คือคิดต่อได้ว่า จำเป็นต้องทำอะไรบ้าง ? และควรทำแบบไหน (เพื่อแก้ไขปัญหานั้นๆให้ตกไป) ?
เมื่อนำความคิดเบื้องต้นนี้ประยุกต์เข้ากับการปฏิบัติของตนเอง หรือนำเสนอต่อหน่วยงานสังกัด ก็ย่อมจะนำไปสู่การกำหนดแผนปฏิบัติ และยุทธศาสตร์ยุทธวิธีที่จะนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง ตรงเป้า ไม่สะเปะสะปะ นี่คือการ “รู้ทำ”
ด้วยความตื่นรู้เช่นนี้ เราจะยิ่งเข้าใจลึกซึ้งถึงความถูกต้องของการนำของแกนนำพันธมิตรฯ หรือหากมีความผิดพลาดประการใด ก็สามารถนำเสนอข้อคิดเห็นและวิธีการแก้ไขได้อย่างถูกต้อง ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมในการสร้าง “การนำ”ของพันธมิตรฯ นั่นคือเป้าหมายสูงสุดของผู้เขียน ซึ่งจำเป็นต้องให้เวลาเป็นตัวช่วย
แต่เฉพาะหน้านี้ ผู้เขียนขอเพียงเพื่อนพ้องน้องพี่ชาวพันธมิตรฯ ตั้งใจอ่าน ศึกษาทำความเข้าใจ แลกเปลี่ยน ถกเถียง ซึ่งอาจจะเกิดคำถามมากมาย หรือได้คำตอบไม่น้อย
ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิด !
เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นของความ “ตื่นรู้” !
อนึ่ง ในบทวิเคราะห์นี้ ผู้เขียนขอนำมาเสนอประเด็นสำคัญๆ ดังนี้
1.อะไรคือการนำ ?
2.การนำของพันธมิตรฯ เป็นแบบไหน ? อย่างไร ?
3.การนำทางความคิด หมายถึงอะไร ?
4.การนำทางความคิด ต้องทำอะไรบ้าง ? และทำอย่างไร ?
5.การนำทางปฏิบัติของพันธมิตรฯ เป็นอย่างไร ?
6.บุคลิกการนำ
7.ข้อคิดการนำ
โปรดติดตาม...
1.อะไรคือการนำ ?
เมื่อมีการเคลื่อนไหวมวลชน ย่อมต้องมีการนำ เฉกเช่นกองทัพ ย่อมต้องมีแม่ทัพและไพร่พล เพียงแต่แตกต่างกันตรงที่ ในขบวนการเคลื่อนไหวของมวลชน ผู้นำกับมวลชนผนึกรวมกันเป็นหนึ่งเดียวทางปัญญาตื่นรู้มากกว่าการรับคำสั่ง โดยผูกสัมพันธ์กันเข้าด้วยความคิดอุดมการณ์ ความตระหนักรู้ในความเป็นจริงที่ดำรงอยู่ ตั้งอยู่บนฐานความต้องการที่ตรงกัน มีจุดประสงค์และเป้าหมายเดียวกัน ดำเนินการเคลื่อนไหวประสานกันไปตามยุทธศาสตร์ยุทธวิธีที่กำหนดไว้ พร้อมแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าอย่างพลิกแพลง และพลิกทุกวิกฤติให้เป็นโอกาส ช่วงชิงให้ได้มาซึ่งชัยชนะในทุกขั้นตอน
ด้วยความเป็นหนึ่งเดียวกันทางความคิด ความตระหนักรู้ ความต้องการ จุดประสงค์และเป้าหมายเหล่านี้ การขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงใดๆก็จักดำเนินไปได้อย่างมีพลัง และประสบความสำเร็จได้ในที่สุด
ทั้งหมดนั้น คุณภาพและประสิทธิภาพของขบวนการมวลชนโดยรวม คือ “ปัจจัยชี้ขาด” ในฐานะที่เป็น “องค์หลัก”ของการขับเคลื่อน ตั้งแต่ต้นจนจบ
ด้วยเหตุนี้ ภารกิจหลักของ “การนำ” จึงอยู่ที่การสร้างขบวนการมวลชนให้ใหญ่โต ทรงพลังสูงสุด ในการนี้ จำเป็นต้องเสริมสร้างความคิดอุดมการณ์ และความตระหนักรู้ในความเป็นจริงที่ดำรงอยู่เป็นเบื้องต้น เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพทางความคิด เกิดความชัดเจนของจุดประสงค์และเป้าหมายยิ่งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ความเป็นเอกภาพทางการปฏิบัติต่อไป
“การนำ” ที่ว่า จึงเป็นเรื่องของการอธิบาย วิเคราะห์ แจกแจง ประมวล สรุปในเรื่องต่างๆที่กำลังเป็นไปในชีวิต ในสังคม ตลอดจนในโลกมนุษย์โดยรวม เพื่อให้มวลชนเกิดปัญญาตื่นรู้ เข้าถึงความจริง เกิดความนึกคิด และลงมือปฏิบัติการแก้ไขเปลี่ยนแปลง”โลก” และดัดแปลง “ตนเอง”ได้อย่างยั่งยืน กระทั่งพัฒนาตนเองขึ้นสู่ความเป็น “ผู้ตื่นรู้”ยิ่งๆขึ้น ทั้งใน “สัจธรรมเฉพาะ” (ได้จากการปฏิบัติ-รับรู้-ปฏิบัติของตนเองโดยตรง) และ “สัจธรรมทั่วไป” (ได้จากการปฏิบัติ-รับรู้-ปฏิบัติร่วมกันทั้งขบวนการ)
นี่คือการนำของขบวนการการเมืองภาคประชาชน ที่ยึดเอา “ปัญญาตื่นรู้” เป็นตัวตั้ง ถือเอามวลชนเป็นศูนย์กลาง มุ่งให้มวลชนเกิดความตื่นรู้ และก้าวขึ้นสู่ความเป็น “ผู้ตื่นรู้” ในท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้ในที่สุด
การนำเช่นนี้ ตรงกันข้ามกับการนำในกลุ่มการเมืองอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่ถือเอา “การยึดติด” เป็นตัวตั้ง โดยผู้นำพยายามทำให้มวลชนหลงและยึดติดในผลประโยชน์เฉพาะหน้า หรือในตัวผู้นำอย่างไม่ลืมหูลืมตา ด้วยอามิสสินจ้าง หรือด้วยความเท็จ ซึ่งในที่สุดแล้ว ผู้นำของพวกเขาก็จะกลายเป็น “ผู้หลอกใช้”มวลชน ส่วนมวลชนก็จะตกเป็น “เครื่องมือ”ของผู้นำ ดำเนินการเคลื่อนไหวเพื่อผลประโยชน์ของผู้นำและกลุ่มแกนนำเป็นสำคัญ แน่ละ พวกเขาไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “เอกภาพทางความคิด” แต่ประการใด เพราะมวลชนไม่ได้ตื่นรู้ ไม่มีความคิดเป็นของตนเอง มีแต่หลงติดอยู่ใน “ชุดความคิดสำเร็จรูป” ที่กลุ่มผู้นำ “ครอบ”ให้ ทำให้มวลชนเหล่านั้นพูดไปตามที่ผู้นำพูดแบบนกแก้วนกขุนทอง
ในแง่ปรัชญา การนำของพันธมิตรฯ ขับเคลื่อนอย่างเป็นพลวัตอยู่ในกรอบจินตภาพของ “สงครามมวลชน” โดยตีความได้ว่า “การนำ เป็นองค์ประกอบสำคัญของการทำสงครามมวลชน” และหัวใจของการนำ ก็คือ “การตื่นรู้”
ตราบใดที่ “สงครามมวลชน” ยังดำเนินไปอย่างคึกคัก ก็แสดงว่า “การนำ”ของขบวนพันธมิตรฯถูกต้อง สอดคล้องกับความเป็นจริง !
2. การนำของพันธมิตรฯ เป็นแบบไหน ? อย่างไร ?
ณ บัดนี้ ภายใต้การนำของแกนนำฯ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขับเคลื่อนตัวเองมาตามเส้นทางแห่งการสร้าง”พลังอำนาจดี”มาเจ็ดปีเต็ม ประสบชัยชนะมาเป็นลำดับ ขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเติบใหญ่เข้มแข็งเป็น “ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก” ต้านยันการโกงบ้านกินเมืองของนักการเมืองชั่วและข้าราชการเลว แสดงบทบาททางประวัติศาสตร์ ในฐานะ “อำนาจกำหนด”ขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงใหญ่ประเทศไทยชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปใหญ่ประเทศไทย พัฒนาและปฏิวัติชีวิตคนไทย ให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ในที่สุด
“การนำ” จึงเป็นเรื่องสำคัญ สมควรที่ชาวพันธมิตรฯจะทำความเข้าใจ และนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานของตนเอง ช่วงชิงชัยชนะในการเคลื่อนไหวทางการเมือง ทั้งในห้วง “ปกติ” ไม่มีการชุมนุมใหญ่ และในห้วง “ไม่ปกติ”เมื่อมีการชุมนุมใหญ่
ในความเข้าใจของผู้เขียน การนำหลักๆแล้วประกอบไปด้วย การนำทางความคิด และการนำทางปฏิบัติ โดยการนำทางความคิดประกอบไปด้วยระบบความคิดชี้นำที่นำเสนอสู่มวลชน และวิธีการปลูกฝังที่จะทำให้มวลชนเกิดความตื่นรู้ทั้งในเชิงทฤษฎีและเชิงปฏิบัติ ส่วนการนำทางปฏิบัติ ผู้นำหรือแกนนำจะต้องแสดงตนเป็นแบบอย่างทั้งในด้านการยึดมั่นในความคิดอุดมการณ์ ในด้านความทุ่มเทเสียสละ ในด้านความยืนหยัดมั่นคง ไม่ยอมจำนนต่อวิกฤติหรือปัญหาใดๆที่ถาโถมเข้าใส่ในระหว่างการเคลื่อนไหวต่อสู้ ทั้งในห้วง “ปกติ” และ “ไม่ปกติ”
ทั้งการนำทางความคิดและการนำทางปฏิบัติ ถ้าผู้นำหรือแกนนำทำได้ดี ก็จะสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาขึ้นในหมู่มวลชนได้เป็นลำดับ ตรงกันข้าม ถ้าทำได้ไม่ดี ก็จะทำให้มวลชนขาดความเชื่อมั่น และเสื่อมศรัทธาลงไปเรื่อยๆ จำเป็นที่จะต้องมีการทบทวนตรวจสอบ แก้ไขปรับปรุง พัฒนายกระดับ “การนำ” เป็นระยะๆ ในทุกขั้นตอนของการเคลื่อนไหว ทั้งในสภาวะ “ปกติ” และ “ไม่ปกติ”
3. การนำทางความคิดหมายถึงอะไร ?
การนำทางความคิด ก็คือการนำเสนอความคิดที่ถูกต้องสู่มวลชน เป็นกระบวนการ “ติดอาวุธทางปัญญา” เพื่อให้มวลชนมีความคิดชี้นำในการทำความเข้าใจสภาวะและสถานการณ์ที่เป็นจริงของประเทศไทยและของโลก ของ“เขา”ของ”เรา” ตลอดจนแนวทางปฏิบัติ ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีที่จำเป็นต้องใช้ในการปฏิบัติงานของตนเอง
ความคิดชี้นำถูกต้อง จะต้องได้จากการประมวลองค์ความรู้จากสภาพความเป็นจริงอย่างรอบด้าน สามารถลำดับให้เห็นถึงปมปัญหาหรือ “ความขัดแย้งหลัก” ที่กำหนดการขับเคลื่อนของสังคมไทยอย่างชัดเจน ซึ่งก็คือสามารถสะท้อนแก่นแท้ของปัญหา และเข้าถึง “กฎ” ที่มี “ตัวการ”กำหนดการขับเคลื่อนของสังคมไทย และ “กฎ”ที่มี “ตัวการ” กำหนดการขับเคลื่อนในบริบทของสังคมโลกได้อย่างชัดเจน
การมีความคิดชี้นำที่ถูกต้อง จะทำให้เราและเพื่อนพ้องร่วมอุดมการณ์แยกแยะได้อย่างถูกต้องว่า การขับเคลื่อนของสังคมไทยในปัจจุบัน ยังประโยชน์แก่ใคร ? และหากเราจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข จำเป็นต้องทำอย่างไร ? เพื่อผลประโยชน์ของใคร ?
นั่นหมายถึงว่า การมีความคิดชี้นำที่ถูกต้อง จะทำให้เราชาวพันธมิตรฯมีจุดยืนที่ถูกต้อง สามารถยืนหยัดอยู่กับความถูกต้องได้อย่างมั่นคง และเกิดความคิดที่จะทำอะไรต่อมิอะไรมากมาย ประสานกับแกนนำฯและมวลชนรอบข้างต่อไป
ในความเข้าใจของผู้เขียน ปัจจุบัน “กฎ” การขับเคลื่อนของสังคมไทย ถูกกำหนดโดย “ปัจจัยทางการเมือง” โดยอำนาจกำหนดของกลุ่มการเมืองในระบบรัฐสภา ซึ่งก็คือกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณเป็นหลัก จะต้องถูกโค่นล้มลงไป ด้วยพลังอำนาจของประชาชน ซึ่งก็คือขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แล้วสถาปนาระบบสภาประชาชนขึ้นแทนที่
อีกนัยหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จากการเมืองน้ำเน่าไปเป็นการเมืองสะอาดสร้างสรรค์ คือ “กฎ”ของการพัฒนาก้าวหน้าของสังคมไทยโดยรวม
ด้วยเหตุนี้ เป้าหมายทางการเมืองของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงใหญ่ทางการเมือง ชูธง “ขับไล่นักการเมืองโกงกินรอร์รัปชั่น” ไม่เอาระบบรัฐสภาที่เป็นเพียงเครื่องมือของกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ หรือระบอบอื่นใด
การชุมนุมขับไล่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตรและรัฐบาลหุ่นเชิดในอดีตและปัจจุบัน ก็เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่ทางการเมือง ภารกิจหลักก็คือล้มอำนาจกลุ่มทุนที่กำลังจะฮุบกินประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ เลิกระบบรัฐสภาที่ปัจจุบันได้ตกเป็นเครื่องมือแบบเบ็ดเสร็จของกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณฯและกลุ่มทุนสามานย์อื่นๆ สถาปนาระบบสภาประชาชน ดำเนินระบอบประชาธิปไตยประชาชนอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เพื่อบรรลุภารกิจหลักนี้ พวกเราชาวพันธมิตรฯ มีหน้าที่สำคัญร่วมกันคือ ปลุกให้คนไทยตื่นรู้ด้วยการ “จุดเทียนปัญญา” นำเอาความจริงมาตีแผ่ หักล้างความเท็จ นำเสนอความคิดอุดมการณ์ ที่ถูกต้อง หักล้างความคิดอุดมการณ์จอมปลอม กำหนดเป้าหมายและแนวทางการปฏิบัติอย่างสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง สามารถปฏิบัติได้สำเร็จจริง ด้วยยุทธศาสตร์ยุทธวิธี ที่ยืดหยุ่น พลิกแพลง เป็นต้น
ทั้งนี้ เราต้องเชื่อมั่นเสมอว่า การทำหน้าที่ของเรา จะต้องสำเร็จด้วยดี ทั้งในสภาวะ “ปกติ” และ “ไม่ปกติ” เพราะสิ่งที่เราทำ เป็นสิ่งที่จะต้องเป็นไปอยู่แล้ว ตาม “กฎ”พัฒนาการของสังคมไทย ที่เรา “เข้าถึง” ส่วนการที่เราแสดงตัวเป็น “เจ้าภาพ” รวมกันเข้าเป็น “พลังอำนาจดี” ขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย ก็เพื่อไม่ปล่อยให้ประเทศชาติตกอยู่ในกำมือของกลุ่ม “พลังอำนาจชั่ว”อีกต่อไป
อีกทั้ง ณ วันนี้ ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 มาร่วม 80 ปี ประเทศไทยภายใต้การบริหารของกลุ่มทหารในอดีตและกลุ่มทุนในปัจจุบัน ได้ก้าวมาถึงจุดติดตัน ไม่สามารถดิ้นหลุดจากปัญหาที่ครอบงำได้สำเร็จ หนำซ้ำกลุ่มผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ ยังกระทำการต่างๆในทางมิชอบ จนเป็นเหตุของวิกฤติร้ายแรงมากมาย เช่นเหตุการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ การทุจริตในวงราชการ โดยเฉพาะการโกงกินงบประมาณของชาติ การฮุบบริษัทปตท. การค้ายาเสพติด ฯลฯ อันนำมาซึ่งปัญหาสังคมมากมาย เช่นปัญหาหนี้สินในครัวเรือน ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาโสเภณี ปัญหาการศึกษาและจริยธรรมของเยาวชน ฯลฯ จำเป็นที่ภาคประชาชนต้องก้าวขึ้นมาแบกรับภารกิจทางประวัติศาสตร์ แสดงตนเป็น “เจ้าภาพ” ดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และขับเคลื่อนประเทศไทย ให้พัฒนาไปตามแนวทางอารยะ ที่อำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ดำเนินระบอบประชาธิปไตยประชาชนอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยการสถาปนาระบบสภาประชาชนขึ้นแทนที่ระบบรัฐสภากลุ่มทุน จัดตั้งรัฐบาลประชาชนขึ้นบริหารประเทศ ขับเคลื่อนกระบวนการปฏิรูปใหญ่ประเทศไทย ที่จะนำไปสู่การปฏิวัติชีวิตคนไทยในทุกๆด้าน ที่จะนำไปสู่ความเป็นอิสรภาพอย่างแท้จริงทั้งทางด้านวัตถุและจิตใจ
4.การนำทางความคิด ต้องทำอะไรบ้าง ? และทำอย่างไร ?
จากประสบการณ์ของผู้เขียน การนำทางความคิด ก่อนอื่นใด จะต้องนำมวลชนทำการ “ล้างพิษสมอง”ของตนเอง เพื่อให้สมองปลอดจากเชื้อโรคหรือสิ่งปฏิกูล ที่หมักหมมมานาน
การล้างพิษสมอง จะทำให้สมองสดชื่น บริสุทธิ์ สามารถรับความคิดดีๆ และเกิดความคิดใหม่ๆได้มากขึ้นเรื่อยๆ เฉกเช่นการ “ล้างพิษตับ” ที่ชาวพันธมิตรฯ กำลังนิยม
วิธีการ “ล้างพิษสมอง” หลักๆ ก็คือการ “ศึกษา”ทำความเข้าใจในความคิดทฤษฎีที่นำเสนอโดยแกนนำฯ ควบคู่ไปกับการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ในเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการนำเอาหลักความคิดหรือทฤษฎีเหล่านั้นไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติจริง เพื่อหาข้อสรุปที่เป็นองค์ความรู้เฉพาะของตนเอง
สรุปสั้นๆ การ “ล้างพิษสมอง” ก็คือการสร้างความพร้อมสำหรับการพัฒนาองค์ความรู้เฉพาะของตนขึ้นมา ในท่ามกลางการนำเอาความคิดทฤษฎีของแกนนำมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติจริง
การ “ล้างพิษสมอง” เป็นช่องทางนำไปสู่การเกิดปัญญาตื่นรู้ ใน “สัจธรรม” ที่สอดคล้องกับ “กฎ” ที่กำหนดการขับเคลื่อนของสังคมไทยและสังคมโลก เช่นสัจธรรมที่ว่า “การเมืองฉ้อฉลคืออุปสรรคใหญ่สุดของการพัฒนาประเทศ นักการเมืองโกงกินคือผู้ทำลายชาติ ทำลายชีวิตคนไทย” ซึ่งเมื่อนำมาพิจารณาเข้ากับ “ค่านิยม”ของการเมืองยุคใหม่ ที่ปฏิเสธนักการเมืองโกงกิน คอรัปชั่นแล้ว เราก็สามารถสรุปได้อีกว่า นักการเมืองโกงกิน ประเภท “โคตรโกง โกงทั้งโคตร” คือพวกนักการเมือง “ตกยุค” ไม่ว่าพวกเขาจะมีอำนาจอิทธิพลมากแค่ไหน ในที่สุดก็จะต้องถูกขจัดพ้นไปจากวงการการเมืองของประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยอย่างแน่นอน
จากนี้ เราก็จะได้ข้อสรุปชัดเจนเป็นรูปธรรมว่า นักการเมือง “โคตรโกง โกงทั้งโคตร” อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตรกับพวก เป็น “นักการเมืองตกยุค” ไม่อยู่ในฐานะที่จะบริหารประเทศได้อีกต่อไป ตราบใดที่พวกเขายังดื้อ พยายามรั้งอำนาจไว้ในมือ ก็จะต้องถูกประชาชนผู้ตื่นรู้เคลื่อนไหวต่อต้าน ขับไล่อย่างไม่หยุดหย่อน
ด้วยการ “ล้างพิษสมอง” เช่นนี้ ชาวพันธมิตรฯก็จะยิ่งฉลาดรู้ยิ่งขึ้น มีปัญญาญาณลึกซึ้งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และแสดงบทบาทเป็น “ผู้นำ”ในหมู่มวลชนได้โดยธรรมชาติ
อีกนัยหนึ่ง วิธีการเช่นนี้ จะทำให้เราเกิดความตื่นรู้ คือรู้จริงในสิ่งที่กำลังทำ รู้คิดหาวิธีการที่จะจัดการกับสิ่งที่กำลังทำ และรู้จักทำให้สิ่งนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ตนกำหนด จนกระทั่งบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ในที่สุด
โดยภาพรวม การล้างพิษสมอง จะช่วยยกระดับความตื่นรู้ของผู้นำและมวลชนได้เป็นอย่างดี ทั้งในห้วงการเคลื่อนไหวในสภาวะ “ปกติ” และในสภาวะ “ไม่ปกติ”
นั่นหมายถึงว่า การนำทางความคิด ที่เริ่มต้นด้วยการ “ล้างพิษสมอง” ถึงที่สุดแล้วก็คือการทำให้มวลชนมีความคิดเป็นของตนเอง ด้วยการรับเอาความคิดทฤษฎีที่แกนนำเป็นผู้นำเสนอมาชี้นำการปฏิบัติ จากนี้ไปสรุปหาคำตอบเฉพาะที่สะท้อน “กฎ” หรือ “สัจธรรม” เฉพาะของสิ่งที่ตนกำลังกระทำอยู่ ซึ่งข้อสรุปเฉพาะเหล่านั้น ก็จะเป็นองค์ความรู้เฉพาะของตนเอง
นั่นหมายถึงว่า พวกเราชาวพันธมิตรฯจะเคารพความคิดเห็น องค์ความรู้ที่สรุปจากการปฏิบัติจริงของคนทำงานจริงเสมอ โดยไม่คิดว่า งานใดสำคัญกว่าหรือไม่ประการใด เพราะต่างก็รู้ดีแก่ใจว่า อะไรที่ตนไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติจริง ย่อมไม่รู้เท่ากับผู้ที่เขาปฏิบัติจริง
ในทำนองเดียวกัน เราสามารถใช้กระบวนการ “ล้างพิษสมอง” ทำความเข้าใจใน “กฎ” การขับเคลื่อนของสังคมโลก โดยใช้หลัก “หาสัจจะจากความเป็นจริง” ไม่อิงตามข้อสรุปของนักวิชาการตะวันตก ที่ยังเชิดชูค่านิยมชนชั้นนายทุน สนับสนุนกระบวนการ “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” ตามหลักลัทธิเสรีนิยมใหม่
ในมุมมองของผู้เขียน ปัจจุบัน “กฎ” ที่กำหนดการขับเคลื่อนของสังคมโลก อยู่ที่การย้ายแกนขับเคลื่อนของเศรษฐกิจโลก จาก “ตะวันตก” มายัง “ตะวันออก” โดยดำเนินไปในรูปของ “ลมตะวันออกพัดกลบลมตะวันตก” กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่มีจีนเป็นแกนหลัก ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำหนดทิศทางพัฒนาการของเศรษฐกิจการค้าโลก ให้เป็นไปในรูปของ “ความร่วมมือกัน” และ “ยังประโยชน์ซึ่งกันและกัน” มากกว่าการ “กีดกันกัน” “เอารัดเอาเปรียบกัน” และ “ข่มเหงรังแกกัน” ดังที่เคยเป็นมาตลอดยุคที่ “ตะวันตก” เป็นผู้กำหนดแบบเบ็ดเสร็จ
ปรากฏการณ์ “ลมตะวันออกพัดกลบลมตะวันตก” มีนัยสำคัญทางประวัติศาสตร์ตรงที่ สังคมโลกจะก้าวเข้าสู่ยุค “สันติภาพและการพัฒนา”อย่างยั่งยืน ประเทศต่างๆทั่วโลกจะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่าง “กลมกลืน” ปลอดจากสงครามทำลายล้างดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วอย่างต่อเนื่องในยุคมหาอำนาจตะวันตกครองโลก
เมื่อเข้าถึง “กฎ” เราก็สามารถนำเสนอความคิดชี้นำที่สอดคล้องกับ “กฎ”ได้ นั่นคือความคิดที่ว่า ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยน คือเปลี่ยนจากประเทศที่ถูกครอบงำโดยกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ(หรือระบอบอื่น) และมหาอำนาจตะวันตก เป็นประเทศที่ถูกกำหนดโดยอำนาจของประชาชน เป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ประชาชนโดยขบวนการการเมืองภาคประชาชน สามารถแสดงบทบาทเป็น “เจ้าภาพ” ดำเนินการขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ต้นจนจบ ด้วยการทำ “สงครามมวลชน” ใช้กองทัพมวลชนตื่นรู้ต่อสู้เอาชนะกลุ่มทุนสามานย์ฯ แล้ว สถาปนาอำนาจประชาชนขึ้นแทนที่อำนาจกลุ่มทุน ดำเนินระบอบประชาธิปไตยประชาชนอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ในทางสากล ต้องประกาศจุดยืน ไม่เข้าเป็นสมาชิกองค์กรทางทหารใดๆ และประกาศตนเป็นประเทศเศรษฐกิจใหม่ เชื่อมตนเองเข้าเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการ “ลมตะวันออก”ดำเนินความสัมพันธ์กับทุกประเทศอย่างเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง พัฒนาความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจการค้าและด้านอื่นๆกับทุกประเทศอย่างเสมอภาค เท่าเทียมกัน ยังประโยชน์ซึ่งกันและกัน และร่วมกับนานาประเทศทั่วโลกแก้ไขปัญหาระดับโลก เพื่อให้โลกใบนี้มีความน่าอยู่ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
สรุปคือ การ “ล้างพิษสมอง” ก็คือการปลูกฝังความคิดที่ตั้งอยูบนฐานของการเข้าถึง “แก่นแท้” หรือ “กฎ” ของปัญหาของเหตุการณ์ แทนที่ความคิดที่เกิดจากความรู้ความเข้าใจที่ผิวเผิน กระทั่งผิดพลาดที่มีอยู่เดิม
มันเป็นกระบวนการชำระสะสางขยะทางความคิดให้หมดไปจากสมองของตนเอง ซึ่งสามารถกระทำได้ด้วยการใช้ความคิดที่ถูกต้องที่สะท้อน “สัจธรรมทั่วไป” ชี้นำการปฏิบัติ แล้วสรุปหาองค์ความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติ และประมวลออกมาเป็น “สัจธรรมเฉพาะ” ที่ตนเท่านั้นสามารถอรรถาธิบายได้
5.การนำทางปฏิบัติของพันธมิตรฯเป็นอย่างไร ?
ในห้วงเจ็ดปีที่ผ่านมา แกนนำพันธมิตรฯได้แสดงออกถึงความเป็น “ผู้นำ” ในทางปฏิบัติในหลายๆด้าน ซึ่งล้วนแต่สะท้อนถึงความเป็น “ผู้นำมวลชน”อย่างแท้จริง คือมีความเป็นหนึ่งเดียวกับมวลชน เป็นที่ยอมรับและเชื่อมั่นศรัทธาของมวลชนอย่างแท้จริง
สามารถกล่าวได้ว่า ณ วันนี้ แกนนำฯกับมวลชนชาวพันธมิตรฯ ได้ประกอบกันเข้าเป็นสองด้านของเหรียญแห่งขบวนการการเมืองภาคประชาชนยุคใหม่ มีความเป็นเอกภาพหนึ่งเดียวกันโดยไม่อาจแยกออกจากกันได้ บนฐาน “ปัญญาตื่นรู้” ร่วมกัน
การนำทางปฏิบัติของแกนนำพันธมิตรฯ ที่เด่นๆพอสรุปได้ดังนี้
ประการแรก เอาความจริงมาพูด
การเอาความจริงมาพูด โดยนัยก็คือการ “จุดเทียนปัญญา” ที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นผู้นำเสนอตั้งแต่เริ่มการจัดทำรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ในสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ในปลายเดือนกันยายน พ.ศ.2548 นับเป็นจุดเด่นยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดของแกนนำพันธมิตรฯ เป็น “ท่วงทำนอง”ที่แตกต่างจากไปจาก “ผู้นำ”ในแวดวงนักการเมืองอย่างสิ้นเชิง
ที่สำคัญคือ การเอาความจริงมาพูดของแกนนำพันธมิตรฯ ไม่ได้เริ่มจากเหตุผลส่วนตัว แต่เริ่มจากเหตุผลสาธารณะ ไม่ได้เริ่มจากผลประโยชน์ส่วนตน แต่เริ่มจากผลประโยชน์ส่วนรวม ดังนั้น ทุกเรื่องก็ว่าได้ที่เอามาพูด ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของส่วนรวม ประเทศชาติและ ประชาชน เช่นการเอาความจริงเกี่ยวกับการทุจริตคิดมิชอบของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตรมาแฉ เผยแพร่อย่างกว้างขวางผ่านทางสื่อเอเอสทีวีผู้จัดการ ในห้วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวมวลชนขนานใหญ่ ขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชิตร จนกระทั่งนำไปสู่การรัฐประหาร “19 ก.ย.49”
“ความจริง” กลายเป็นอาวุธทรงอานุภาพร้ายแรงถล่มใส่นักการเมืองชั่วผู้ทรงอิทธิพล จนแตกกระเจิง นักการเมืองชั่ว “ทุกค่าย” จึงหาทางทำลาย สะกัดยับยั้ง ปิดกั้น ด้วยการไล่ล่าฟ้องร้องแกนนำฯอย่างดุเดือด และหาทางตัดเส้นชีวิตสื่อเอเอสทีวีผู้จัดการทุกวิถีทาง ใช้กลไกอำนาจรัฐในมือ ปิดช่องทางการเสนอความจริงในสื่อของรัฐแบบเบ็ดเสร็จ ตลอดจน “ซื้อ”สื่อมวลชนที่ครองส่วนแบ่งตลาดมากๆ ออกข่าวตอบโต้และบิดเบือนไปจากข้อเท็จจริง เหล่านี้ เป็นต้น
มาตรการปิดกั้นและตอบโต้ของกลุ่มพรรคการเมืองที่ครองอำนาจรัฐ ทั้งที่นำโดยพรรคไทยรักไทย(พรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทยในเวลาต่อมา) และพรรคประชาธิปัตย์ แต่แกนนำฯก็สามารถร่วมกับมวลชนชาวพันธมิตรฯ แก้ไขวิกฤติต่างๆที่เกิดขึ้นได้ทีละเปลาะๆ สามารถยืนหยัดปฏิบัติภารกิจของตนเองได้อย่างห้าวหาญ จนถึงทุกวันนี้
ประการที่สอง เอาธรรมนำหน้า
“ธรรม”หมายถึงสิ่งถูกต้อง แกนนำพันธมิตรฯเลือกที่จะพูดและทำทุกอย่างโดย “เอาธรรมนำหน้า”ในทุกๆเรื่อง ในทุกสถานการณ์
การชูธง “เอาธรรมนำหน้า” ทำให้คนไทยที่รักความเป็นธรรม มองเห็นความปราถนาดีต่อประเทศชาติและประชาชนของชาวพันธมิตรฯ สามารถนำไปสู่การยอมรับ สนับสนุน และเข้าร่วมได้ในที่สุด
“ธรรม” ของพันธมิตรฯ ตั้งอยู่บนฐานของผลประโยชน์ประเทศชาติและประชาชน เมื่อนำมาประสานเข้ากับการเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมือง ก็สามารถใช้เป็น “สิ่งจำแนก”มิตรกับศัตรูได้เป็นอย่างดี นั่นคือ ใครก็ตามที่ยึดมั่นใน “ธรรม” ถือเอาความถูกต้อง และผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นตัวตั้ง ก็เป็น “มิตร” ของเราโดยอัตโนมัติ ตรงกันข้าม ใครก็ตามที่ไม่ยึดมั่นใน“ธรรม” ไม่ว่าจะอ้างตนว่าเป็น “ซ้าย-ก้าวหน้า”แค่ไหน อย่างไร ก็ไม่อาจถือว่าเป็น “มิตร”เราได้
ประการที่สาม มีใจเป็นประธาน
อาจกล่าวได้ว่า เพราะมี “ใจ” ทำให้เรายืนหยัดอยู่ได้จนทุกวันนี้
และเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า ด้วย “ใจ” เช่นนี้ ในที่สุดพวกเราก็จะสามารถพัฒนาเติบใหญ่ ต่อสู้เอาชนะนักการเมืองชั่ว เปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้สำเร็จ
เมื่อมองลึกลงไปใน “ใจ” ของเราเอง ก็จะพบว่า ด้วยปัญญาตื่นรู้นี่เอง ชาวพันธมิตรฯจึงมี “ใจ”ให้กับการปฏิบัติภารกิจทางประวัติศาสตร์ครั้งนี้อย่างถึงที่สุด
นั่นหมายความว่า “ใจ”ของเรา จะเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยวแค่ไหน ย่อมแยกไม่ออกความพร้อมของปัจจัยอื่นๆ เช่น ความคิดอุดมการณ์ที่ถูกต้อง จุดยืนที่มั่นคง และระดับความ “ตื่นรู้” เป็นต้น
ดังนั้น การยกให้ใจเป็น “ประธาน” จึงแยกไม่ออกจากการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับปัจจัยอื่นๆ ทั้งการถือเอาความจริงเป็นตัวตั้ง การ“ล้างพิษสมอง” ตลอดจนการยึดมั่นในธรรม มุ่งใช้ธรรมต่อสู้ เอาชนะอธรรม เหล่านี้เป็นต้น
ด้วยวิธีการเหล่านี้ จะทำให้เราสามารถยืนหยัดในความถูกต้องอย่างเสมอต้นเสมอปลาย มี”จิตใจ”ที่หนักแน่น มั่นคง กล้าหาญ เสียสละ ทนต่อการทดสอบได้ในทุกสถานการณ์
ประการที่สี่ นำรวมหมู่
พันธมิตรฯ มีแกนนำรุ่นหนึ่งและรุ่นสองอยู่จำนวนหนึ่ง ทำงานประสานกันไปตามสภาวะที่เป็นจริงอย่างเสมอต้นเสมอปลาย โดยมีคุณสนธิ ลิ้มทองกุล และพลตรี จำลอง ศรีเมือง เป็นผู้นำอาวุโสที่ทุกคนเคารพเป็นแกนกลางอีกที
ในการทำงาน แกนนำทุกคนจะใช้หลัก “ประชาธิปไตย” รับฟังความเห็นซึ่งกันและกันอย่างเต็มที่ รวมทั้งคอยสดับตรับฟังสุ้มเสียงของมวลชนชาวพันธมิตรฯที่ส่งถึงตลอดเวลา
กล่าวโดยทั่วไป “มติ”ของแกนนำฯ มักจะออกมาในรูปของ “ฉันทมติ” อันเนื่องมาจากการทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เกิดความรับรู้ร่วมกันในระดับ “ตื่นรู้”นั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ ลักษณะการนำของแกนนำพันธมิตรฯจึงมีลักษณะโดดเด่นออกมาทางด้านการใช้ “ปัญญา” อาศัยความ “ตื่นรู้” อย่างรอบด้าน มารองรับการตัดสินใจในแต่ละครั้ง ซึ่งในที่สุดก็จะได้มติเป็นเอกฉันท์เสมอ
ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับการนำแบบ “สั่งการ” จากแดนไกล ดังที่เป็นอยู่ในกลุ่มพรรคนักการเมืองชั่วและคนเสื้อแดง “นปช.” เพราะพรรคเป็นเพียงสมบัติส่วนตัวของ “หัวโจก” ส่วนกลุ่มนักการเมืองและมวลชนในสังกัด ก็เป็นเพียง “ลิ่วล้อ” คอยรับคำบัญชา
6.บุคลิกการนำ
บุคลิกการนำ หมายถึงพฤติกรรมการแสดงออกของบรรดาผู้นำในขบวนการพันธมิตรฯ ที่มีลักษณะ "ร่วมกัน” หรือ “คล้ายคลึงกัน” มิใช่บุคลิกของปัจเจกผู้นำ ที่แต่ละคนมีเอกลักษณ์ของตนเอง พอสรุปได้ดังนี้
หนึ่ง พูดความจริง ไม่พูดความเท็จ และกล้าพูดความจริงที่คนอื่นไม่กล้าพูด หากวิเคราะห์แล้วว่า การนำความจริงนั้นๆ มาพูด จะทำให้ส่วนรวมได้ประโยชน์
สอง ฉลาดพูด รู้จักพูดในสิ่งที่จำเป็นต้องพูด ไม่พูดในสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องพูด โดยคำนึงถึงผลที่จะเกิดต่อส่วนรวมเป็นที่ตั้ง แสดงถึงความมีปฏิภาณไหวพริบและจุดยืนที่ชัดเจนของผู้นำ
สาม มีความ “ตื่นรู้”อยู่เป็นนิจ คือ รู้จริง รู้คิด รู้ทำ อยู่เป็นนิจ (ตามคำนิยามของผู้เขียนที่ว่า “ตื่นรู้” หมายถึงความรู้จริงในสิ่งที่ทำ รู้คิดที่จะทำ และรู้ทำให้สำเร็จ)
สี่ มีวิสัยทัศน์ เล็งการณ์ไกล ความตื่นรู้ของผู้นำ มาจากการมองเห็นภาพรวมหรือ “ป่าทั้งป่า”อยู่เสมอ เช่นมองเห็นทิศทางหรือแนวโน้มที่สังคมโลกจะขับเคลื่อนไป มองเห็นสถานการณ์โดยรวมของประเทศไทย มองเห็นสภาวะการณ์โดยรวมของขบวนพันธมิตรฯ เหล่านี้เป็นต้น
ความเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ เล็งการณ์ไกล จะทำให้สามารถกำหนดยุทธศาสตร์การต่อสู้ได้อย่างถูกต้อง จึงเป็นผู้ไม่หวั่นไหวกับเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่ไม่เกี่ยวกับสถานการณ์โดยรวมของการเคลื่อนไหว เช่น เมื่อครั้ง “เสธ.อ้าย” เรียกชุมนุมมวลชนครั้งใหญ่ในเดือนพฤศจิกายน 2555 แกนนำพันธมิตรฯ จึงวางเฉย ไม่เข้าร่วม เพราะเล็งเห็นแล้วว่า สถานการณ์ยังไม่ “สุกงอม”
ห้า เปิดกว้าง หันหน้าหามวลชน พร้อมรับฟังแนวคิดที่แตกต่างจากนอกขบวนการฯ และเคารพองค์ความรู้หรือ “สัจธรรมเฉพาะ”ของผู้ปฏิบัติงานในขบวนการพันธมิตรฯเสมอ รวมทั้งเมื่อใดเผชิญกับวิกฤติ หรือต้องการการตัดสินใจครั้งสำคัญๆ ก็จะหันหน้าหามวลชน ฟังเสียงประชาชน
หก ไม่จนแต้ม แกนนำพันธมิตรฯ เป็นคนไม่จนแต้ม ไม่ว่าจะถูกรุกไล่ต้อนแค่ไหนอย่างไร ในที่สุดแล้ว ก็จะหาทางออกได้ และเดินหน้านำขบวนพันธมิตรฯต่อไป ที่เห็นชัดก็เช่นการถูกฟ้องร้องดำเนินคดีร้อยแปด โดยการกลั่นแกล้งของกลไกรัฐภายใต้การบงการของนักการเมืองในสังกัดกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณและใน “ระบอบอภิสิทธิ์”(เมื่อครั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรี ระหว่างปี 2552-54)
ที่โดดเด่นก็คือการแก้วิกฤติทางการเงินของสื่อเอเอสทีวีผู้จัดการ คณะแกนนำพันธมิตรฯ ได้ระดมสรรพกำลังทุกวิถีทาง ในการที่จะยืนอยู่ได้บนลำแข้งตนเอง ในที่สุดด้วยความช่วยเหลือบริจาคของชาวพันธมิตรฯและบุคคลผู้เป็นมิตรในทุกสาขาอาชีพ และการสนับสนุนเงินรายได้จากการขายปุ๋ย “ขวัญดิน” และเครื่องทำน้ำด่าง เป็นอาทิ ในที่สุดกลุ่มสื่อเอเอสทีวีผู้จัดการ ที่เป็น “อาวุธ” ทรงพลังของขบวนการพันธมิตรฯ ก็สามารถขับเคลื่อนตัวเองไปได้อย่างมีชีวิตชีวา
ณ วันนี้ เราจะเห็น “บุคลิกการนำ” ทั้งเจ็ดประการนี้ปรากฏอยู่ในตัวแกนนำพันธมิตรฯได้ไม่ยาก สร้างความเชื่อมั่นให้แก่เรามาก แต่กระนั้น ทุกฝ่ายก็ควรส่งเสริมให้เกิดแกนนำใหม่ๆ ที่เพียบพร้อมด้วย “บุคลิกการนำทั้ง 7” นี้ เพื่อเป็นหลักประกันให้แก่การเติบใหญ่ของขบวนการพันธมิตรฯ สามารถดำเนิน “สงครามมวลชน”ต่อสู้เอาชนะกลุ่มการเมืองน้ำเน่า เปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้สำเร็จในเร็ววัน
7. ข้อคิดการนำ
ข้อแรก ขบวนการพันธมิตรฯ เป็นขบวนการการเมืองภาคประชาชน ที่ยืนหยัดอยู่ได้ด้วยลำแข้งตนเอง จากการสนับสนุนของมวลชนพันธมิตรฯ และความคิดริเริ่มของแกนนำฯ ทำการแก้ไขวิกฤติได้เป็นเปลาะๆ นี่คือจุดแข็งของพันธมิตรฯ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากกลุ่มองค์กรการเมืองภาคประชาชนอื่นๆ ทำให้พันธมิตรฯมีความพร้อมที่จะยืนหยัดอยู่ได้ เติบใหญ่และเข้มแข็งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ตามการนำของแกนนำฯ
ข้อที่สอง ขบวนการพันธมิตรฯ ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาประเทศชาติ โดยประชาชนแสดงบทบาทเป็น “เจ้าภาพ” เป็นหนึ่งในสามขบวนการฯร่วมสมัย ที่มุ่งหมายเปลี่ยนแปลงประเทศไทยอย่างแท้จริง โดยใช้พลังมวลชนเป็น “องค์หลัก”ทำการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน
สามขบวนการฯที่ว่านี้ ประกอบด้วย 1.พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย 2.กลุ่ม “นปช.” และ 3.พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย มุ่งเปลี่ยนแปลงประเทศไทยด้วยการทำสงครามประชาชน ตามทฤษฎี “ความคิดเหมาเจ๋อตง” ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพเป็นจริงของประเทศไทยในบริบทของสังคมโลกที่กำลังเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจอันเนื่องจากความก้าวหน้าทางวิทยาการไฮเทคและการขยายตัวของระบบสวัสดิการในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้า
ต่อมา เมื่อประเทศจีนปรับเปลี่ยนแนวคิดการสร้างชาติ ด้วยการปฏิรูปและเปิดประเทศ เชื่อมตนเองเข้ากับระบบโลก เปิดสัมพันธ์ฉันมิตรกับโลกทุนนิยม รวมทั้งได้เปิดสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศไทยอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ.2518 และพรรคฯจีนได้ยุติการสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยอย่างสิ้นเชิง
หลังจากนั้นไม่นาน รัฐบาลไทยก็ดำเนินนโยบายต้อนรับชาวพรรคคอมมิวนิสต์เข้าเป็น “ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย” ยุติการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ ปิดฉากสงครามประชาชนอย่างถาวร
ปัจจุบัน พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เหลือแต่ชื่อ ไม่มีมวลชน และไม่มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆ
กลุ่ม “นปช.” (แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อเป็น “เครื่องมือ”สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรโดยตรง พวกเขายกประโยชน์ให้แก่กล่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ ตามข้อวินิจฉัยที่ว่า “ทุนสามานย์ดีกว่าศักดินาล้าหลัง” กำหนดแผนยุทธศาสตร์สองขั้น คือขั้นที่หนึ่ง สนับสนุนกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณโค่นล้มศักดินา(ที่พวกเขาเลี่ยงเรียกว่า “อำมาตย์”) สร้างรัฐไทยใหม่
ขั้นที่สอง รวมพลังประชาชนโค่นล้มกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ ปฏิวัติสังคมนิยม
ทว่า ข้อวินิจฉัยที่ว่า “ทุนสามานย์ดีกว่าศักดินาล้าหลัง” ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับสภาพความเป็นจริงของประเทศไทยยุคปัจจุบัน ทำให้การเคลื่อนไหว “ล้มเจ้า”ของพวกเขาถูกสังคมต่อต้านอย่างหนัก อีกทั้ง การยกย่องนักการเมือง “โคตรโกง โกงทั้งโคตร” อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่สอดคล้องกับขั้นพัฒนาการทางการเมืองของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหม่ในภูมิเอเชียแปซิฟิก เช่นจีน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ มาเลเซีย เป็นต้น (ที่สะท้อนค่านิยมทางการเมืองยุคใหม่ “ไม่เอานักการเมืองขี้โกง” ปฏิเสธการใช้อำนาจไปในทางมิชอบอย่างสิ้นเชิง) ทำให้การเคลื่อนไหวทางการเมืองของกล่ม “นปช.”นับวันตีบตัน รวมทั้งมีสัญญาณหลายครั้งแล้วว่า ถึงที่สุดแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรก็ต้องการที่จะปรองดองกับ “อำมาตย์” และจะไม่ให้ความสำคัญต่อกลุ่ม “นปช.”อีกต่อไป
เชื่อว่า บทบาทของกลุ่ม “นปช.”จะฝ่อแฟบลงไปเรื่อยๆ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นับเป็นขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่มีอนาคตที่สุด
จากการที่ผู้เขียนได้สัมผัสและเข้าร่วม เห็นได้ชัดว่าพันธมิตรฯ “เดินมาถูกทาง” เริ่มตั้งแต่การ “จุดเทียนปัญญา”ในปี 2548 (ในรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ก่อนการก่อตั้งพันธมิตรฯ) จนกระทั่งถึงการประกาศหลักการปกครองประเทศไทย 15 ข้อ ของที่ประชุมใหญ่แกนนำพันธมิตรฯทั่วประเทศในเดือนมีนาคม 2555 อันเป็นการประกาศเจตนารมณ์ทางการเมืองอย่างชัดเจน ในอันที่จะเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปใหญ่ประเทศไทย
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะแกนนำพันธมิตรฯเล็งการณ์ไกล เริ่มจากความเป็นจริงของประเทศไทยในบริบทของสังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์ รวมทั้งได้สรุปบทเรียนการเคลื่อนไหวต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยและกลุ่มการเมืองภาคประชาชนอื่นๆ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
ที่สำคัญคือ แกนนำพันธมิตรฯ ตลอดจนมวลหมู่ผู้ปฏิบัติงานของพันธมิตรฯทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ต่างพากัน “ตื่นรู้” ในท่ามกลางการเคลื่อนไหวที่เป็นจริง ได้ข้อสรุปที่เป็น “สัจธรรมเฉพาะ” ชี้นำการปฏิบัติของตน โดยไม่ยึดติดกับทฤษฎีสำเร็จรูปของต่างประเทศ และหลักทฤษฎีของปรมาจารย์
บทส่งท้าย
เมื่อเร็วๆนี้ มีชาวพันธมิตรฯท่านหนึ่งเขียนเสนอความเห็นท้ายข่าวในเว็บไซท์เอเอสทีวีผู้จัดการว่า “อยากให้คุณสนธิเป็นนายกฯ ประเทศไทยจะได้แก้ไขปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น” โดยให้เหตุผลว่า “ท่านเป็นคนรู้จริง รู้ลึก รู้แนวทางแก้ไขปัญหา” และว่า “ประเทศไทยต้องได้คนแบบนี้มาเป็นผู้นำ ชาติจึงจะเจริญก้าวหน้า ปัญหาคอร์รัปชั่น ความแตกแยก การคิดล้มสถาบันฯ การทำลายศาสนา การด้อยการศึกษา นโยบายต่างประเทศที่ขายชาติ บ่อนการพนัน ยาเสพติด จะหมดไปก็ต้องให้ท่านเป็นผู้นำ”
ในทัศนะของผู้เขียน คุณสนธิ จะเป็นนายกฯ หรือไม่ ไม่สำคัญ แต่สำคัญตรงที่ว่า นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ในยุคที่ขบวนการพันธมิตรฯนำพาประชาชนชาวไทยทั้งชาติเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้สำเร็จแล้ว ผู้นำประเทศไม่ว่าใครก็ตาม จักต้องมี “บุคลิกการนำ” เฉกเช่นที่คุณสนธิมี
สุดท้ายนี้ ผู้เขียนขอฝาก “ว่าด้วยการนำ” บทนี้ ให้เป็นการบ้านของทุกๆท่าน คิดต่อ วาดหวังต่อ สานต่อ หรือกระทั่ง “ลบทิ้ง ทำใหม่” ก็ไม่ว่า....
เกริ่นนำ
ในที่นี้ ผู้เขียนขอนำเสนอบทวิเคราะห์เรื่อง “การนำ” ในบริบทการขับเคลื่อนของขบวนการการเมืองภาคประชาชน นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่กำลังดำเนินไปอย่างจริงจัง ในอันที่จะทำการเปลี่ยนแปลงใหญ่ประเทศไทยให้ได้ ในที่สุด โดย “โฟกัส”ไปที่ การนำของพันธมิตรฯ
ทั้งนี้ ผู้เขียนมุ่งสะท้อน “แก่นแท้” หรือ “กฎ”การนำของแกนนำพันธมิตรฯ ที่ผู้เขียนได้มีส่วนร่วมรับรู้ทั้งในทางความคิดและทางปฏิบัติ ตลอดระยะเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมา โดยนำเสนอในรูปแบบทฤษฎีที่เป็น “นามธรรม” มากกว่า “รูปธรรม” คือไม่เดินเรื่องว่าใครทำอะไร ? ที่ไหน ? อย่างไร ? แต่เดินเรื่องว่าเป็นเรื่องอะไร ? เป็นอย่างไร ? และทำอย่างไร ?
ที่ทำเช่นนี้ ก็เพราะการนำเสนอเชิงทฤษฎี สะท้อน “แก่นแท้”หรือ “กฎ”สิ่งต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นในท่ามกลางกระบวนการการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยครั้งประวัติศาสตร์นี้ เป็นภารกิจของผู้เขียนโดยตรง ในการที่จะนำชาวพันธมิตรฯเข้าถึง “สัจธรรม”ที่ดำรงอยู่ ซึ่งเมื่อใดที่พวกเราชาวพันธมิตรฯหลุดจากเรื่องรูปธรรม สามารถ “เข้าถึง” และ “ยึดกุม” ได้ในข้อสัจธรรมเหล่านี้ สภาวะ “ตื่นรู้”ก็จะอุบัติขึ้นได้ในตัวเราทันที
สภาวะตื่นรู้ที่ว่านี้ ก็คือ “รู้จริง” – รู้ว่าอะไรเป็นอะไรในระดับภาพรวม(ของประเทศไทย ของโลก) ? รู้ว่าต้นตอของปัญหาอยู่ตรงไหน(ปัจจัยกำหนดหลักที่ทำให้ปัญหานั้นๆื ดำรงอยู่) ?
จากนี้จะนำไปสู่การ “รู้คิด” คือคิดต่อได้ว่า จำเป็นต้องทำอะไรบ้าง ? และควรทำแบบไหน (เพื่อแก้ไขปัญหานั้นๆให้ตกไป) ?
เมื่อนำความคิดเบื้องต้นนี้ประยุกต์เข้ากับการปฏิบัติของตนเอง หรือนำเสนอต่อหน่วยงานสังกัด ก็ย่อมจะนำไปสู่การกำหนดแผนปฏิบัติ และยุทธศาสตร์ยุทธวิธีที่จะนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง ตรงเป้า ไม่สะเปะสะปะ นี่คือการ “รู้ทำ”
ด้วยความตื่นรู้เช่นนี้ เราจะยิ่งเข้าใจลึกซึ้งถึงความถูกต้องของการนำของแกนนำพันธมิตรฯ หรือหากมีความผิดพลาดประการใด ก็สามารถนำเสนอข้อคิดเห็นและวิธีการแก้ไขได้อย่างถูกต้อง ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมในการสร้าง “การนำ”ของพันธมิตรฯ นั่นคือเป้าหมายสูงสุดของผู้เขียน ซึ่งจำเป็นต้องให้เวลาเป็นตัวช่วย
แต่เฉพาะหน้านี้ ผู้เขียนขอเพียงเพื่อนพ้องน้องพี่ชาวพันธมิตรฯ ตั้งใจอ่าน ศึกษาทำความเข้าใจ แลกเปลี่ยน ถกเถียง ซึ่งอาจจะเกิดคำถามมากมาย หรือได้คำตอบไม่น้อย
ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิด !
เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นของความ “ตื่นรู้” !
อนึ่ง ในบทวิเคราะห์นี้ ผู้เขียนขอนำมาเสนอประเด็นสำคัญๆ ดังนี้
1.อะไรคือการนำ ?
2.การนำของพันธมิตรฯ เป็นแบบไหน ? อย่างไร ?
3.การนำทางความคิด หมายถึงอะไร ?
4.การนำทางความคิด ต้องทำอะไรบ้าง ? และทำอย่างไร ?
5.การนำทางปฏิบัติของพันธมิตรฯ เป็นอย่างไร ?
6.บุคลิกการนำ
7.ข้อคิดการนำ
โปรดติดตาม...
1.อะไรคือการนำ ?
เมื่อมีการเคลื่อนไหวมวลชน ย่อมต้องมีการนำ เฉกเช่นกองทัพ ย่อมต้องมีแม่ทัพและไพร่พล เพียงแต่แตกต่างกันตรงที่ ในขบวนการเคลื่อนไหวของมวลชน ผู้นำกับมวลชนผนึกรวมกันเป็นหนึ่งเดียวทางปัญญาตื่นรู้มากกว่าการรับคำสั่ง โดยผูกสัมพันธ์กันเข้าด้วยความคิดอุดมการณ์ ความตระหนักรู้ในความเป็นจริงที่ดำรงอยู่ ตั้งอยู่บนฐานความต้องการที่ตรงกัน มีจุดประสงค์และเป้าหมายเดียวกัน ดำเนินการเคลื่อนไหวประสานกันไปตามยุทธศาสตร์ยุทธวิธีที่กำหนดไว้ พร้อมแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าอย่างพลิกแพลง และพลิกทุกวิกฤติให้เป็นโอกาส ช่วงชิงให้ได้มาซึ่งชัยชนะในทุกขั้นตอน
ด้วยความเป็นหนึ่งเดียวกันทางความคิด ความตระหนักรู้ ความต้องการ จุดประสงค์และเป้าหมายเหล่านี้ การขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงใดๆก็จักดำเนินไปได้อย่างมีพลัง และประสบความสำเร็จได้ในที่สุด
ทั้งหมดนั้น คุณภาพและประสิทธิภาพของขบวนการมวลชนโดยรวม คือ “ปัจจัยชี้ขาด” ในฐานะที่เป็น “องค์หลัก”ของการขับเคลื่อน ตั้งแต่ต้นจนจบ
ด้วยเหตุนี้ ภารกิจหลักของ “การนำ” จึงอยู่ที่การสร้างขบวนการมวลชนให้ใหญ่โต ทรงพลังสูงสุด ในการนี้ จำเป็นต้องเสริมสร้างความคิดอุดมการณ์ และความตระหนักรู้ในความเป็นจริงที่ดำรงอยู่เป็นเบื้องต้น เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพทางความคิด เกิดความชัดเจนของจุดประสงค์และเป้าหมายยิ่งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ความเป็นเอกภาพทางการปฏิบัติต่อไป
“การนำ” ที่ว่า จึงเป็นเรื่องของการอธิบาย วิเคราะห์ แจกแจง ประมวล สรุปในเรื่องต่างๆที่กำลังเป็นไปในชีวิต ในสังคม ตลอดจนในโลกมนุษย์โดยรวม เพื่อให้มวลชนเกิดปัญญาตื่นรู้ เข้าถึงความจริง เกิดความนึกคิด และลงมือปฏิบัติการแก้ไขเปลี่ยนแปลง”โลก” และดัดแปลง “ตนเอง”ได้อย่างยั่งยืน กระทั่งพัฒนาตนเองขึ้นสู่ความเป็น “ผู้ตื่นรู้”ยิ่งๆขึ้น ทั้งใน “สัจธรรมเฉพาะ” (ได้จากการปฏิบัติ-รับรู้-ปฏิบัติของตนเองโดยตรง) และ “สัจธรรมทั่วไป” (ได้จากการปฏิบัติ-รับรู้-ปฏิบัติร่วมกันทั้งขบวนการ)
นี่คือการนำของขบวนการการเมืองภาคประชาชน ที่ยึดเอา “ปัญญาตื่นรู้” เป็นตัวตั้ง ถือเอามวลชนเป็นศูนย์กลาง มุ่งให้มวลชนเกิดความตื่นรู้ และก้าวขึ้นสู่ความเป็น “ผู้ตื่นรู้” ในท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้ในที่สุด
การนำเช่นนี้ ตรงกันข้ามกับการนำในกลุ่มการเมืองอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่ถือเอา “การยึดติด” เป็นตัวตั้ง โดยผู้นำพยายามทำให้มวลชนหลงและยึดติดในผลประโยชน์เฉพาะหน้า หรือในตัวผู้นำอย่างไม่ลืมหูลืมตา ด้วยอามิสสินจ้าง หรือด้วยความเท็จ ซึ่งในที่สุดแล้ว ผู้นำของพวกเขาก็จะกลายเป็น “ผู้หลอกใช้”มวลชน ส่วนมวลชนก็จะตกเป็น “เครื่องมือ”ของผู้นำ ดำเนินการเคลื่อนไหวเพื่อผลประโยชน์ของผู้นำและกลุ่มแกนนำเป็นสำคัญ แน่ละ พวกเขาไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “เอกภาพทางความคิด” แต่ประการใด เพราะมวลชนไม่ได้ตื่นรู้ ไม่มีความคิดเป็นของตนเอง มีแต่หลงติดอยู่ใน “ชุดความคิดสำเร็จรูป” ที่กลุ่มผู้นำ “ครอบ”ให้ ทำให้มวลชนเหล่านั้นพูดไปตามที่ผู้นำพูดแบบนกแก้วนกขุนทอง
ในแง่ปรัชญา การนำของพันธมิตรฯ ขับเคลื่อนอย่างเป็นพลวัตอยู่ในกรอบจินตภาพของ “สงครามมวลชน” โดยตีความได้ว่า “การนำ เป็นองค์ประกอบสำคัญของการทำสงครามมวลชน” และหัวใจของการนำ ก็คือ “การตื่นรู้”
ตราบใดที่ “สงครามมวลชน” ยังดำเนินไปอย่างคึกคัก ก็แสดงว่า “การนำ”ของขบวนพันธมิตรฯถูกต้อง สอดคล้องกับความเป็นจริง !
2. การนำของพันธมิตรฯ เป็นแบบไหน ? อย่างไร ?
ณ บัดนี้ ภายใต้การนำของแกนนำฯ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขับเคลื่อนตัวเองมาตามเส้นทางแห่งการสร้าง”พลังอำนาจดี”มาเจ็ดปีเต็ม ประสบชัยชนะมาเป็นลำดับ ขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเติบใหญ่เข้มแข็งเป็น “ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก” ต้านยันการโกงบ้านกินเมืองของนักการเมืองชั่วและข้าราชการเลว แสดงบทบาททางประวัติศาสตร์ ในฐานะ “อำนาจกำหนด”ขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงใหญ่ประเทศไทยชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปใหญ่ประเทศไทย พัฒนาและปฏิวัติชีวิตคนไทย ให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ในที่สุด
“การนำ” จึงเป็นเรื่องสำคัญ สมควรที่ชาวพันธมิตรฯจะทำความเข้าใจ และนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานของตนเอง ช่วงชิงชัยชนะในการเคลื่อนไหวทางการเมือง ทั้งในห้วง “ปกติ” ไม่มีการชุมนุมใหญ่ และในห้วง “ไม่ปกติ”เมื่อมีการชุมนุมใหญ่
ในความเข้าใจของผู้เขียน การนำหลักๆแล้วประกอบไปด้วย การนำทางความคิด และการนำทางปฏิบัติ โดยการนำทางความคิดประกอบไปด้วยระบบความคิดชี้นำที่นำเสนอสู่มวลชน และวิธีการปลูกฝังที่จะทำให้มวลชนเกิดความตื่นรู้ทั้งในเชิงทฤษฎีและเชิงปฏิบัติ ส่วนการนำทางปฏิบัติ ผู้นำหรือแกนนำจะต้องแสดงตนเป็นแบบอย่างทั้งในด้านการยึดมั่นในความคิดอุดมการณ์ ในด้านความทุ่มเทเสียสละ ในด้านความยืนหยัดมั่นคง ไม่ยอมจำนนต่อวิกฤติหรือปัญหาใดๆที่ถาโถมเข้าใส่ในระหว่างการเคลื่อนไหวต่อสู้ ทั้งในห้วง “ปกติ” และ “ไม่ปกติ”
ทั้งการนำทางความคิดและการนำทางปฏิบัติ ถ้าผู้นำหรือแกนนำทำได้ดี ก็จะสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาขึ้นในหมู่มวลชนได้เป็นลำดับ ตรงกันข้าม ถ้าทำได้ไม่ดี ก็จะทำให้มวลชนขาดความเชื่อมั่น และเสื่อมศรัทธาลงไปเรื่อยๆ จำเป็นที่จะต้องมีการทบทวนตรวจสอบ แก้ไขปรับปรุง พัฒนายกระดับ “การนำ” เป็นระยะๆ ในทุกขั้นตอนของการเคลื่อนไหว ทั้งในสภาวะ “ปกติ” และ “ไม่ปกติ”
3. การนำทางความคิดหมายถึงอะไร ?
การนำทางความคิด ก็คือการนำเสนอความคิดที่ถูกต้องสู่มวลชน เป็นกระบวนการ “ติดอาวุธทางปัญญา” เพื่อให้มวลชนมีความคิดชี้นำในการทำความเข้าใจสภาวะและสถานการณ์ที่เป็นจริงของประเทศไทยและของโลก ของ“เขา”ของ”เรา” ตลอดจนแนวทางปฏิบัติ ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีที่จำเป็นต้องใช้ในการปฏิบัติงานของตนเอง
ความคิดชี้นำถูกต้อง จะต้องได้จากการประมวลองค์ความรู้จากสภาพความเป็นจริงอย่างรอบด้าน สามารถลำดับให้เห็นถึงปมปัญหาหรือ “ความขัดแย้งหลัก” ที่กำหนดการขับเคลื่อนของสังคมไทยอย่างชัดเจน ซึ่งก็คือสามารถสะท้อนแก่นแท้ของปัญหา และเข้าถึง “กฎ” ที่มี “ตัวการ”กำหนดการขับเคลื่อนของสังคมไทย และ “กฎ”ที่มี “ตัวการ” กำหนดการขับเคลื่อนในบริบทของสังคมโลกได้อย่างชัดเจน
การมีความคิดชี้นำที่ถูกต้อง จะทำให้เราและเพื่อนพ้องร่วมอุดมการณ์แยกแยะได้อย่างถูกต้องว่า การขับเคลื่อนของสังคมไทยในปัจจุบัน ยังประโยชน์แก่ใคร ? และหากเราจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข จำเป็นต้องทำอย่างไร ? เพื่อผลประโยชน์ของใคร ?
นั่นหมายถึงว่า การมีความคิดชี้นำที่ถูกต้อง จะทำให้เราชาวพันธมิตรฯมีจุดยืนที่ถูกต้อง สามารถยืนหยัดอยู่กับความถูกต้องได้อย่างมั่นคง และเกิดความคิดที่จะทำอะไรต่อมิอะไรมากมาย ประสานกับแกนนำฯและมวลชนรอบข้างต่อไป
ในความเข้าใจของผู้เขียน ปัจจุบัน “กฎ” การขับเคลื่อนของสังคมไทย ถูกกำหนดโดย “ปัจจัยทางการเมือง” โดยอำนาจกำหนดของกลุ่มการเมืองในระบบรัฐสภา ซึ่งก็คือกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณเป็นหลัก จะต้องถูกโค่นล้มลงไป ด้วยพลังอำนาจของประชาชน ซึ่งก็คือขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แล้วสถาปนาระบบสภาประชาชนขึ้นแทนที่
อีกนัยหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จากการเมืองน้ำเน่าไปเป็นการเมืองสะอาดสร้างสรรค์ คือ “กฎ”ของการพัฒนาก้าวหน้าของสังคมไทยโดยรวม
ด้วยเหตุนี้ เป้าหมายทางการเมืองของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงใหญ่ทางการเมือง ชูธง “ขับไล่นักการเมืองโกงกินรอร์รัปชั่น” ไม่เอาระบบรัฐสภาที่เป็นเพียงเครื่องมือของกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ หรือระบอบอื่นใด
การชุมนุมขับไล่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตรและรัฐบาลหุ่นเชิดในอดีตและปัจจุบัน ก็เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่ทางการเมือง ภารกิจหลักก็คือล้มอำนาจกลุ่มทุนที่กำลังจะฮุบกินประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ เลิกระบบรัฐสภาที่ปัจจุบันได้ตกเป็นเครื่องมือแบบเบ็ดเสร็จของกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณฯและกลุ่มทุนสามานย์อื่นๆ สถาปนาระบบสภาประชาชน ดำเนินระบอบประชาธิปไตยประชาชนอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เพื่อบรรลุภารกิจหลักนี้ พวกเราชาวพันธมิตรฯ มีหน้าที่สำคัญร่วมกันคือ ปลุกให้คนไทยตื่นรู้ด้วยการ “จุดเทียนปัญญา” นำเอาความจริงมาตีแผ่ หักล้างความเท็จ นำเสนอความคิดอุดมการณ์ ที่ถูกต้อง หักล้างความคิดอุดมการณ์จอมปลอม กำหนดเป้าหมายและแนวทางการปฏิบัติอย่างสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง สามารถปฏิบัติได้สำเร็จจริง ด้วยยุทธศาสตร์ยุทธวิธี ที่ยืดหยุ่น พลิกแพลง เป็นต้น
ทั้งนี้ เราต้องเชื่อมั่นเสมอว่า การทำหน้าที่ของเรา จะต้องสำเร็จด้วยดี ทั้งในสภาวะ “ปกติ” และ “ไม่ปกติ” เพราะสิ่งที่เราทำ เป็นสิ่งที่จะต้องเป็นไปอยู่แล้ว ตาม “กฎ”พัฒนาการของสังคมไทย ที่เรา “เข้าถึง” ส่วนการที่เราแสดงตัวเป็น “เจ้าภาพ” รวมกันเข้าเป็น “พลังอำนาจดี” ขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย ก็เพื่อไม่ปล่อยให้ประเทศชาติตกอยู่ในกำมือของกลุ่ม “พลังอำนาจชั่ว”อีกต่อไป
อีกทั้ง ณ วันนี้ ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 มาร่วม 80 ปี ประเทศไทยภายใต้การบริหารของกลุ่มทหารในอดีตและกลุ่มทุนในปัจจุบัน ได้ก้าวมาถึงจุดติดตัน ไม่สามารถดิ้นหลุดจากปัญหาที่ครอบงำได้สำเร็จ หนำซ้ำกลุ่มผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ ยังกระทำการต่างๆในทางมิชอบ จนเป็นเหตุของวิกฤติร้ายแรงมากมาย เช่นเหตุการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ การทุจริตในวงราชการ โดยเฉพาะการโกงกินงบประมาณของชาติ การฮุบบริษัทปตท. การค้ายาเสพติด ฯลฯ อันนำมาซึ่งปัญหาสังคมมากมาย เช่นปัญหาหนี้สินในครัวเรือน ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาโสเภณี ปัญหาการศึกษาและจริยธรรมของเยาวชน ฯลฯ จำเป็นที่ภาคประชาชนต้องก้าวขึ้นมาแบกรับภารกิจทางประวัติศาสตร์ แสดงตนเป็น “เจ้าภาพ” ดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และขับเคลื่อนประเทศไทย ให้พัฒนาไปตามแนวทางอารยะ ที่อำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ดำเนินระบอบประชาธิปไตยประชาชนอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยการสถาปนาระบบสภาประชาชนขึ้นแทนที่ระบบรัฐสภากลุ่มทุน จัดตั้งรัฐบาลประชาชนขึ้นบริหารประเทศ ขับเคลื่อนกระบวนการปฏิรูปใหญ่ประเทศไทย ที่จะนำไปสู่การปฏิวัติชีวิตคนไทยในทุกๆด้าน ที่จะนำไปสู่ความเป็นอิสรภาพอย่างแท้จริงทั้งทางด้านวัตถุและจิตใจ
4.การนำทางความคิด ต้องทำอะไรบ้าง ? และทำอย่างไร ?
จากประสบการณ์ของผู้เขียน การนำทางความคิด ก่อนอื่นใด จะต้องนำมวลชนทำการ “ล้างพิษสมอง”ของตนเอง เพื่อให้สมองปลอดจากเชื้อโรคหรือสิ่งปฏิกูล ที่หมักหมมมานาน
การล้างพิษสมอง จะทำให้สมองสดชื่น บริสุทธิ์ สามารถรับความคิดดีๆ และเกิดความคิดใหม่ๆได้มากขึ้นเรื่อยๆ เฉกเช่นการ “ล้างพิษตับ” ที่ชาวพันธมิตรฯ กำลังนิยม
วิธีการ “ล้างพิษสมอง” หลักๆ ก็คือการ “ศึกษา”ทำความเข้าใจในความคิดทฤษฎีที่นำเสนอโดยแกนนำฯ ควบคู่ไปกับการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ในเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการนำเอาหลักความคิดหรือทฤษฎีเหล่านั้นไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติจริง เพื่อหาข้อสรุปที่เป็นองค์ความรู้เฉพาะของตนเอง
สรุปสั้นๆ การ “ล้างพิษสมอง” ก็คือการสร้างความพร้อมสำหรับการพัฒนาองค์ความรู้เฉพาะของตนขึ้นมา ในท่ามกลางการนำเอาความคิดทฤษฎีของแกนนำมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติจริง
การ “ล้างพิษสมอง” เป็นช่องทางนำไปสู่การเกิดปัญญาตื่นรู้ ใน “สัจธรรม” ที่สอดคล้องกับ “กฎ” ที่กำหนดการขับเคลื่อนของสังคมไทยและสังคมโลก เช่นสัจธรรมที่ว่า “การเมืองฉ้อฉลคืออุปสรรคใหญ่สุดของการพัฒนาประเทศ นักการเมืองโกงกินคือผู้ทำลายชาติ ทำลายชีวิตคนไทย” ซึ่งเมื่อนำมาพิจารณาเข้ากับ “ค่านิยม”ของการเมืองยุคใหม่ ที่ปฏิเสธนักการเมืองโกงกิน คอรัปชั่นแล้ว เราก็สามารถสรุปได้อีกว่า นักการเมืองโกงกิน ประเภท “โคตรโกง โกงทั้งโคตร” คือพวกนักการเมือง “ตกยุค” ไม่ว่าพวกเขาจะมีอำนาจอิทธิพลมากแค่ไหน ในที่สุดก็จะต้องถูกขจัดพ้นไปจากวงการการเมืองของประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยอย่างแน่นอน
จากนี้ เราก็จะได้ข้อสรุปชัดเจนเป็นรูปธรรมว่า นักการเมือง “โคตรโกง โกงทั้งโคตร” อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตรกับพวก เป็น “นักการเมืองตกยุค” ไม่อยู่ในฐานะที่จะบริหารประเทศได้อีกต่อไป ตราบใดที่พวกเขายังดื้อ พยายามรั้งอำนาจไว้ในมือ ก็จะต้องถูกประชาชนผู้ตื่นรู้เคลื่อนไหวต่อต้าน ขับไล่อย่างไม่หยุดหย่อน
ด้วยการ “ล้างพิษสมอง” เช่นนี้ ชาวพันธมิตรฯก็จะยิ่งฉลาดรู้ยิ่งขึ้น มีปัญญาญาณลึกซึ้งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และแสดงบทบาทเป็น “ผู้นำ”ในหมู่มวลชนได้โดยธรรมชาติ
อีกนัยหนึ่ง วิธีการเช่นนี้ จะทำให้เราเกิดความตื่นรู้ คือรู้จริงในสิ่งที่กำลังทำ รู้คิดหาวิธีการที่จะจัดการกับสิ่งที่กำลังทำ และรู้จักทำให้สิ่งนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ตนกำหนด จนกระทั่งบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ในที่สุด
โดยภาพรวม การล้างพิษสมอง จะช่วยยกระดับความตื่นรู้ของผู้นำและมวลชนได้เป็นอย่างดี ทั้งในห้วงการเคลื่อนไหวในสภาวะ “ปกติ” และในสภาวะ “ไม่ปกติ”
นั่นหมายถึงว่า การนำทางความคิด ที่เริ่มต้นด้วยการ “ล้างพิษสมอง” ถึงที่สุดแล้วก็คือการทำให้มวลชนมีความคิดเป็นของตนเอง ด้วยการรับเอาความคิดทฤษฎีที่แกนนำเป็นผู้นำเสนอมาชี้นำการปฏิบัติ จากนี้ไปสรุปหาคำตอบเฉพาะที่สะท้อน “กฎ” หรือ “สัจธรรม” เฉพาะของสิ่งที่ตนกำลังกระทำอยู่ ซึ่งข้อสรุปเฉพาะเหล่านั้น ก็จะเป็นองค์ความรู้เฉพาะของตนเอง
นั่นหมายถึงว่า พวกเราชาวพันธมิตรฯจะเคารพความคิดเห็น องค์ความรู้ที่สรุปจากการปฏิบัติจริงของคนทำงานจริงเสมอ โดยไม่คิดว่า งานใดสำคัญกว่าหรือไม่ประการใด เพราะต่างก็รู้ดีแก่ใจว่า อะไรที่ตนไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติจริง ย่อมไม่รู้เท่ากับผู้ที่เขาปฏิบัติจริง
ในทำนองเดียวกัน เราสามารถใช้กระบวนการ “ล้างพิษสมอง” ทำความเข้าใจใน “กฎ” การขับเคลื่อนของสังคมโลก โดยใช้หลัก “หาสัจจะจากความเป็นจริง” ไม่อิงตามข้อสรุปของนักวิชาการตะวันตก ที่ยังเชิดชูค่านิยมชนชั้นนายทุน สนับสนุนกระบวนการ “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” ตามหลักลัทธิเสรีนิยมใหม่
ในมุมมองของผู้เขียน ปัจจุบัน “กฎ” ที่กำหนดการขับเคลื่อนของสังคมโลก อยู่ที่การย้ายแกนขับเคลื่อนของเศรษฐกิจโลก จาก “ตะวันตก” มายัง “ตะวันออก” โดยดำเนินไปในรูปของ “ลมตะวันออกพัดกลบลมตะวันตก” กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่มีจีนเป็นแกนหลัก ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำหนดทิศทางพัฒนาการของเศรษฐกิจการค้าโลก ให้เป็นไปในรูปของ “ความร่วมมือกัน” และ “ยังประโยชน์ซึ่งกันและกัน” มากกว่าการ “กีดกันกัน” “เอารัดเอาเปรียบกัน” และ “ข่มเหงรังแกกัน” ดังที่เคยเป็นมาตลอดยุคที่ “ตะวันตก” เป็นผู้กำหนดแบบเบ็ดเสร็จ
ปรากฏการณ์ “ลมตะวันออกพัดกลบลมตะวันตก” มีนัยสำคัญทางประวัติศาสตร์ตรงที่ สังคมโลกจะก้าวเข้าสู่ยุค “สันติภาพและการพัฒนา”อย่างยั่งยืน ประเทศต่างๆทั่วโลกจะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่าง “กลมกลืน” ปลอดจากสงครามทำลายล้างดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วอย่างต่อเนื่องในยุคมหาอำนาจตะวันตกครองโลก
เมื่อเข้าถึง “กฎ” เราก็สามารถนำเสนอความคิดชี้นำที่สอดคล้องกับ “กฎ”ได้ นั่นคือความคิดที่ว่า ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยน คือเปลี่ยนจากประเทศที่ถูกครอบงำโดยกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ(หรือระบอบอื่น) และมหาอำนาจตะวันตก เป็นประเทศที่ถูกกำหนดโดยอำนาจของประชาชน เป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ประชาชนโดยขบวนการการเมืองภาคประชาชน สามารถแสดงบทบาทเป็น “เจ้าภาพ” ดำเนินการขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ต้นจนจบ ด้วยการทำ “สงครามมวลชน” ใช้กองทัพมวลชนตื่นรู้ต่อสู้เอาชนะกลุ่มทุนสามานย์ฯ แล้ว สถาปนาอำนาจประชาชนขึ้นแทนที่อำนาจกลุ่มทุน ดำเนินระบอบประชาธิปไตยประชาชนอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ในทางสากล ต้องประกาศจุดยืน ไม่เข้าเป็นสมาชิกองค์กรทางทหารใดๆ และประกาศตนเป็นประเทศเศรษฐกิจใหม่ เชื่อมตนเองเข้าเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการ “ลมตะวันออก”ดำเนินความสัมพันธ์กับทุกประเทศอย่างเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง พัฒนาความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจการค้าและด้านอื่นๆกับทุกประเทศอย่างเสมอภาค เท่าเทียมกัน ยังประโยชน์ซึ่งกันและกัน และร่วมกับนานาประเทศทั่วโลกแก้ไขปัญหาระดับโลก เพื่อให้โลกใบนี้มีความน่าอยู่ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
สรุปคือ การ “ล้างพิษสมอง” ก็คือการปลูกฝังความคิดที่ตั้งอยูบนฐานของการเข้าถึง “แก่นแท้” หรือ “กฎ” ของปัญหาของเหตุการณ์ แทนที่ความคิดที่เกิดจากความรู้ความเข้าใจที่ผิวเผิน กระทั่งผิดพลาดที่มีอยู่เดิม
มันเป็นกระบวนการชำระสะสางขยะทางความคิดให้หมดไปจากสมองของตนเอง ซึ่งสามารถกระทำได้ด้วยการใช้ความคิดที่ถูกต้องที่สะท้อน “สัจธรรมทั่วไป” ชี้นำการปฏิบัติ แล้วสรุปหาองค์ความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติ และประมวลออกมาเป็น “สัจธรรมเฉพาะ” ที่ตนเท่านั้นสามารถอรรถาธิบายได้
5.การนำทางปฏิบัติของพันธมิตรฯเป็นอย่างไร ?
ในห้วงเจ็ดปีที่ผ่านมา แกนนำพันธมิตรฯได้แสดงออกถึงความเป็น “ผู้นำ” ในทางปฏิบัติในหลายๆด้าน ซึ่งล้วนแต่สะท้อนถึงความเป็น “ผู้นำมวลชน”อย่างแท้จริง คือมีความเป็นหนึ่งเดียวกับมวลชน เป็นที่ยอมรับและเชื่อมั่นศรัทธาของมวลชนอย่างแท้จริง
สามารถกล่าวได้ว่า ณ วันนี้ แกนนำฯกับมวลชนชาวพันธมิตรฯ ได้ประกอบกันเข้าเป็นสองด้านของเหรียญแห่งขบวนการการเมืองภาคประชาชนยุคใหม่ มีความเป็นเอกภาพหนึ่งเดียวกันโดยไม่อาจแยกออกจากกันได้ บนฐาน “ปัญญาตื่นรู้” ร่วมกัน
การนำทางปฏิบัติของแกนนำพันธมิตรฯ ที่เด่นๆพอสรุปได้ดังนี้
ประการแรก เอาความจริงมาพูด
การเอาความจริงมาพูด โดยนัยก็คือการ “จุดเทียนปัญญา” ที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นผู้นำเสนอตั้งแต่เริ่มการจัดทำรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ในสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ในปลายเดือนกันยายน พ.ศ.2548 นับเป็นจุดเด่นยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดของแกนนำพันธมิตรฯ เป็น “ท่วงทำนอง”ที่แตกต่างจากไปจาก “ผู้นำ”ในแวดวงนักการเมืองอย่างสิ้นเชิง
ที่สำคัญคือ การเอาความจริงมาพูดของแกนนำพันธมิตรฯ ไม่ได้เริ่มจากเหตุผลส่วนตัว แต่เริ่มจากเหตุผลสาธารณะ ไม่ได้เริ่มจากผลประโยชน์ส่วนตน แต่เริ่มจากผลประโยชน์ส่วนรวม ดังนั้น ทุกเรื่องก็ว่าได้ที่เอามาพูด ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของส่วนรวม ประเทศชาติและ ประชาชน เช่นการเอาความจริงเกี่ยวกับการทุจริตคิดมิชอบของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตรมาแฉ เผยแพร่อย่างกว้างขวางผ่านทางสื่อเอเอสทีวีผู้จัดการ ในห้วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวมวลชนขนานใหญ่ ขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชิตร จนกระทั่งนำไปสู่การรัฐประหาร “19 ก.ย.49”
“ความจริง” กลายเป็นอาวุธทรงอานุภาพร้ายแรงถล่มใส่นักการเมืองชั่วผู้ทรงอิทธิพล จนแตกกระเจิง นักการเมืองชั่ว “ทุกค่าย” จึงหาทางทำลาย สะกัดยับยั้ง ปิดกั้น ด้วยการไล่ล่าฟ้องร้องแกนนำฯอย่างดุเดือด และหาทางตัดเส้นชีวิตสื่อเอเอสทีวีผู้จัดการทุกวิถีทาง ใช้กลไกอำนาจรัฐในมือ ปิดช่องทางการเสนอความจริงในสื่อของรัฐแบบเบ็ดเสร็จ ตลอดจน “ซื้อ”สื่อมวลชนที่ครองส่วนแบ่งตลาดมากๆ ออกข่าวตอบโต้และบิดเบือนไปจากข้อเท็จจริง เหล่านี้ เป็นต้น
มาตรการปิดกั้นและตอบโต้ของกลุ่มพรรคการเมืองที่ครองอำนาจรัฐ ทั้งที่นำโดยพรรคไทยรักไทย(พรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทยในเวลาต่อมา) และพรรคประชาธิปัตย์ แต่แกนนำฯก็สามารถร่วมกับมวลชนชาวพันธมิตรฯ แก้ไขวิกฤติต่างๆที่เกิดขึ้นได้ทีละเปลาะๆ สามารถยืนหยัดปฏิบัติภารกิจของตนเองได้อย่างห้าวหาญ จนถึงทุกวันนี้
ประการที่สอง เอาธรรมนำหน้า
“ธรรม”หมายถึงสิ่งถูกต้อง แกนนำพันธมิตรฯเลือกที่จะพูดและทำทุกอย่างโดย “เอาธรรมนำหน้า”ในทุกๆเรื่อง ในทุกสถานการณ์
การชูธง “เอาธรรมนำหน้า” ทำให้คนไทยที่รักความเป็นธรรม มองเห็นความปราถนาดีต่อประเทศชาติและประชาชนของชาวพันธมิตรฯ สามารถนำไปสู่การยอมรับ สนับสนุน และเข้าร่วมได้ในที่สุด
“ธรรม” ของพันธมิตรฯ ตั้งอยู่บนฐานของผลประโยชน์ประเทศชาติและประชาชน เมื่อนำมาประสานเข้ากับการเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมือง ก็สามารถใช้เป็น “สิ่งจำแนก”มิตรกับศัตรูได้เป็นอย่างดี นั่นคือ ใครก็ตามที่ยึดมั่นใน “ธรรม” ถือเอาความถูกต้อง และผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นตัวตั้ง ก็เป็น “มิตร” ของเราโดยอัตโนมัติ ตรงกันข้าม ใครก็ตามที่ไม่ยึดมั่นใน“ธรรม” ไม่ว่าจะอ้างตนว่าเป็น “ซ้าย-ก้าวหน้า”แค่ไหน อย่างไร ก็ไม่อาจถือว่าเป็น “มิตร”เราได้
ประการที่สาม มีใจเป็นประธาน
อาจกล่าวได้ว่า เพราะมี “ใจ” ทำให้เรายืนหยัดอยู่ได้จนทุกวันนี้
และเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า ด้วย “ใจ” เช่นนี้ ในที่สุดพวกเราก็จะสามารถพัฒนาเติบใหญ่ ต่อสู้เอาชนะนักการเมืองชั่ว เปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้สำเร็จ
เมื่อมองลึกลงไปใน “ใจ” ของเราเอง ก็จะพบว่า ด้วยปัญญาตื่นรู้นี่เอง ชาวพันธมิตรฯจึงมี “ใจ”ให้กับการปฏิบัติภารกิจทางประวัติศาสตร์ครั้งนี้อย่างถึงที่สุด
นั่นหมายความว่า “ใจ”ของเรา จะเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยวแค่ไหน ย่อมแยกไม่ออกความพร้อมของปัจจัยอื่นๆ เช่น ความคิดอุดมการณ์ที่ถูกต้อง จุดยืนที่มั่นคง และระดับความ “ตื่นรู้” เป็นต้น
ดังนั้น การยกให้ใจเป็น “ประธาน” จึงแยกไม่ออกจากการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับปัจจัยอื่นๆ ทั้งการถือเอาความจริงเป็นตัวตั้ง การ“ล้างพิษสมอง” ตลอดจนการยึดมั่นในธรรม มุ่งใช้ธรรมต่อสู้ เอาชนะอธรรม เหล่านี้เป็นต้น
ด้วยวิธีการเหล่านี้ จะทำให้เราสามารถยืนหยัดในความถูกต้องอย่างเสมอต้นเสมอปลาย มี”จิตใจ”ที่หนักแน่น มั่นคง กล้าหาญ เสียสละ ทนต่อการทดสอบได้ในทุกสถานการณ์
ประการที่สี่ นำรวมหมู่
พันธมิตรฯ มีแกนนำรุ่นหนึ่งและรุ่นสองอยู่จำนวนหนึ่ง ทำงานประสานกันไปตามสภาวะที่เป็นจริงอย่างเสมอต้นเสมอปลาย โดยมีคุณสนธิ ลิ้มทองกุล และพลตรี จำลอง ศรีเมือง เป็นผู้นำอาวุโสที่ทุกคนเคารพเป็นแกนกลางอีกที
ในการทำงาน แกนนำทุกคนจะใช้หลัก “ประชาธิปไตย” รับฟังความเห็นซึ่งกันและกันอย่างเต็มที่ รวมทั้งคอยสดับตรับฟังสุ้มเสียงของมวลชนชาวพันธมิตรฯที่ส่งถึงตลอดเวลา
กล่าวโดยทั่วไป “มติ”ของแกนนำฯ มักจะออกมาในรูปของ “ฉันทมติ” อันเนื่องมาจากการทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เกิดความรับรู้ร่วมกันในระดับ “ตื่นรู้”นั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ ลักษณะการนำของแกนนำพันธมิตรฯจึงมีลักษณะโดดเด่นออกมาทางด้านการใช้ “ปัญญา” อาศัยความ “ตื่นรู้” อย่างรอบด้าน มารองรับการตัดสินใจในแต่ละครั้ง ซึ่งในที่สุดก็จะได้มติเป็นเอกฉันท์เสมอ
ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับการนำแบบ “สั่งการ” จากแดนไกล ดังที่เป็นอยู่ในกลุ่มพรรคนักการเมืองชั่วและคนเสื้อแดง “นปช.” เพราะพรรคเป็นเพียงสมบัติส่วนตัวของ “หัวโจก” ส่วนกลุ่มนักการเมืองและมวลชนในสังกัด ก็เป็นเพียง “ลิ่วล้อ” คอยรับคำบัญชา
6.บุคลิกการนำ
บุคลิกการนำ หมายถึงพฤติกรรมการแสดงออกของบรรดาผู้นำในขบวนการพันธมิตรฯ ที่มีลักษณะ "ร่วมกัน” หรือ “คล้ายคลึงกัน” มิใช่บุคลิกของปัจเจกผู้นำ ที่แต่ละคนมีเอกลักษณ์ของตนเอง พอสรุปได้ดังนี้
หนึ่ง พูดความจริง ไม่พูดความเท็จ และกล้าพูดความจริงที่คนอื่นไม่กล้าพูด หากวิเคราะห์แล้วว่า การนำความจริงนั้นๆ มาพูด จะทำให้ส่วนรวมได้ประโยชน์
สอง ฉลาดพูด รู้จักพูดในสิ่งที่จำเป็นต้องพูด ไม่พูดในสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องพูด โดยคำนึงถึงผลที่จะเกิดต่อส่วนรวมเป็นที่ตั้ง แสดงถึงความมีปฏิภาณไหวพริบและจุดยืนที่ชัดเจนของผู้นำ
สาม มีความ “ตื่นรู้”อยู่เป็นนิจ คือ รู้จริง รู้คิด รู้ทำ อยู่เป็นนิจ (ตามคำนิยามของผู้เขียนที่ว่า “ตื่นรู้” หมายถึงความรู้จริงในสิ่งที่ทำ รู้คิดที่จะทำ และรู้ทำให้สำเร็จ)
สี่ มีวิสัยทัศน์ เล็งการณ์ไกล ความตื่นรู้ของผู้นำ มาจากการมองเห็นภาพรวมหรือ “ป่าทั้งป่า”อยู่เสมอ เช่นมองเห็นทิศทางหรือแนวโน้มที่สังคมโลกจะขับเคลื่อนไป มองเห็นสถานการณ์โดยรวมของประเทศไทย มองเห็นสภาวะการณ์โดยรวมของขบวนพันธมิตรฯ เหล่านี้เป็นต้น
ความเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ เล็งการณ์ไกล จะทำให้สามารถกำหนดยุทธศาสตร์การต่อสู้ได้อย่างถูกต้อง จึงเป็นผู้ไม่หวั่นไหวกับเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่ไม่เกี่ยวกับสถานการณ์โดยรวมของการเคลื่อนไหว เช่น เมื่อครั้ง “เสธ.อ้าย” เรียกชุมนุมมวลชนครั้งใหญ่ในเดือนพฤศจิกายน 2555 แกนนำพันธมิตรฯ จึงวางเฉย ไม่เข้าร่วม เพราะเล็งเห็นแล้วว่า สถานการณ์ยังไม่ “สุกงอม”
ห้า เปิดกว้าง หันหน้าหามวลชน พร้อมรับฟังแนวคิดที่แตกต่างจากนอกขบวนการฯ และเคารพองค์ความรู้หรือ “สัจธรรมเฉพาะ”ของผู้ปฏิบัติงานในขบวนการพันธมิตรฯเสมอ รวมทั้งเมื่อใดเผชิญกับวิกฤติ หรือต้องการการตัดสินใจครั้งสำคัญๆ ก็จะหันหน้าหามวลชน ฟังเสียงประชาชน
หก ไม่จนแต้ม แกนนำพันธมิตรฯ เป็นคนไม่จนแต้ม ไม่ว่าจะถูกรุกไล่ต้อนแค่ไหนอย่างไร ในที่สุดแล้ว ก็จะหาทางออกได้ และเดินหน้านำขบวนพันธมิตรฯต่อไป ที่เห็นชัดก็เช่นการถูกฟ้องร้องดำเนินคดีร้อยแปด โดยการกลั่นแกล้งของกลไกรัฐภายใต้การบงการของนักการเมืองในสังกัดกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณและใน “ระบอบอภิสิทธิ์”(เมื่อครั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรี ระหว่างปี 2552-54)
ที่โดดเด่นก็คือการแก้วิกฤติทางการเงินของสื่อเอเอสทีวีผู้จัดการ คณะแกนนำพันธมิตรฯ ได้ระดมสรรพกำลังทุกวิถีทาง ในการที่จะยืนอยู่ได้บนลำแข้งตนเอง ในที่สุดด้วยความช่วยเหลือบริจาคของชาวพันธมิตรฯและบุคคลผู้เป็นมิตรในทุกสาขาอาชีพ และการสนับสนุนเงินรายได้จากการขายปุ๋ย “ขวัญดิน” และเครื่องทำน้ำด่าง เป็นอาทิ ในที่สุดกลุ่มสื่อเอเอสทีวีผู้จัดการ ที่เป็น “อาวุธ” ทรงพลังของขบวนการพันธมิตรฯ ก็สามารถขับเคลื่อนตัวเองไปได้อย่างมีชีวิตชีวา
ณ วันนี้ เราจะเห็น “บุคลิกการนำ” ทั้งเจ็ดประการนี้ปรากฏอยู่ในตัวแกนนำพันธมิตรฯได้ไม่ยาก สร้างความเชื่อมั่นให้แก่เรามาก แต่กระนั้น ทุกฝ่ายก็ควรส่งเสริมให้เกิดแกนนำใหม่ๆ ที่เพียบพร้อมด้วย “บุคลิกการนำทั้ง 7” นี้ เพื่อเป็นหลักประกันให้แก่การเติบใหญ่ของขบวนการพันธมิตรฯ สามารถดำเนิน “สงครามมวลชน”ต่อสู้เอาชนะกลุ่มการเมืองน้ำเน่า เปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้สำเร็จในเร็ววัน
7. ข้อคิดการนำ
ข้อแรก ขบวนการพันธมิตรฯ เป็นขบวนการการเมืองภาคประชาชน ที่ยืนหยัดอยู่ได้ด้วยลำแข้งตนเอง จากการสนับสนุนของมวลชนพันธมิตรฯ และความคิดริเริ่มของแกนนำฯ ทำการแก้ไขวิกฤติได้เป็นเปลาะๆ นี่คือจุดแข็งของพันธมิตรฯ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากกลุ่มองค์กรการเมืองภาคประชาชนอื่นๆ ทำให้พันธมิตรฯมีความพร้อมที่จะยืนหยัดอยู่ได้ เติบใหญ่และเข้มแข็งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ตามการนำของแกนนำฯ
ข้อที่สอง ขบวนการพันธมิตรฯ ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาประเทศชาติ โดยประชาชนแสดงบทบาทเป็น “เจ้าภาพ” เป็นหนึ่งในสามขบวนการฯร่วมสมัย ที่มุ่งหมายเปลี่ยนแปลงประเทศไทยอย่างแท้จริง โดยใช้พลังมวลชนเป็น “องค์หลัก”ทำการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน
สามขบวนการฯที่ว่านี้ ประกอบด้วย 1.พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย 2.กลุ่ม “นปช.” และ 3.พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย มุ่งเปลี่ยนแปลงประเทศไทยด้วยการทำสงครามประชาชน ตามทฤษฎี “ความคิดเหมาเจ๋อตง” ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพเป็นจริงของประเทศไทยในบริบทของสังคมโลกที่กำลังเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจอันเนื่องจากความก้าวหน้าทางวิทยาการไฮเทคและการขยายตัวของระบบสวัสดิการในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้า
ต่อมา เมื่อประเทศจีนปรับเปลี่ยนแนวคิดการสร้างชาติ ด้วยการปฏิรูปและเปิดประเทศ เชื่อมตนเองเข้ากับระบบโลก เปิดสัมพันธ์ฉันมิตรกับโลกทุนนิยม รวมทั้งได้เปิดสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศไทยอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ.2518 และพรรคฯจีนได้ยุติการสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยอย่างสิ้นเชิง
หลังจากนั้นไม่นาน รัฐบาลไทยก็ดำเนินนโยบายต้อนรับชาวพรรคคอมมิวนิสต์เข้าเป็น “ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย” ยุติการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ ปิดฉากสงครามประชาชนอย่างถาวร
ปัจจุบัน พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เหลือแต่ชื่อ ไม่มีมวลชน และไม่มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆ
กลุ่ม “นปช.” (แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อเป็น “เครื่องมือ”สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรโดยตรง พวกเขายกประโยชน์ให้แก่กล่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ ตามข้อวินิจฉัยที่ว่า “ทุนสามานย์ดีกว่าศักดินาล้าหลัง” กำหนดแผนยุทธศาสตร์สองขั้น คือขั้นที่หนึ่ง สนับสนุนกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณโค่นล้มศักดินา(ที่พวกเขาเลี่ยงเรียกว่า “อำมาตย์”) สร้างรัฐไทยใหม่
ขั้นที่สอง รวมพลังประชาชนโค่นล้มกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ ปฏิวัติสังคมนิยม
ทว่า ข้อวินิจฉัยที่ว่า “ทุนสามานย์ดีกว่าศักดินาล้าหลัง” ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับสภาพความเป็นจริงของประเทศไทยยุคปัจจุบัน ทำให้การเคลื่อนไหว “ล้มเจ้า”ของพวกเขาถูกสังคมต่อต้านอย่างหนัก อีกทั้ง การยกย่องนักการเมือง “โคตรโกง โกงทั้งโคตร” อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่สอดคล้องกับขั้นพัฒนาการทางการเมืองของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหม่ในภูมิเอเชียแปซิฟิก เช่นจีน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ มาเลเซีย เป็นต้น (ที่สะท้อนค่านิยมทางการเมืองยุคใหม่ “ไม่เอานักการเมืองขี้โกง” ปฏิเสธการใช้อำนาจไปในทางมิชอบอย่างสิ้นเชิง) ทำให้การเคลื่อนไหวทางการเมืองของกล่ม “นปช.”นับวันตีบตัน รวมทั้งมีสัญญาณหลายครั้งแล้วว่า ถึงที่สุดแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรก็ต้องการที่จะปรองดองกับ “อำมาตย์” และจะไม่ให้ความสำคัญต่อกลุ่ม “นปช.”อีกต่อไป
เชื่อว่า บทบาทของกลุ่ม “นปช.”จะฝ่อแฟบลงไปเรื่อยๆ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นับเป็นขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่มีอนาคตที่สุด
จากการที่ผู้เขียนได้สัมผัสและเข้าร่วม เห็นได้ชัดว่าพันธมิตรฯ “เดินมาถูกทาง” เริ่มตั้งแต่การ “จุดเทียนปัญญา”ในปี 2548 (ในรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ก่อนการก่อตั้งพันธมิตรฯ) จนกระทั่งถึงการประกาศหลักการปกครองประเทศไทย 15 ข้อ ของที่ประชุมใหญ่แกนนำพันธมิตรฯทั่วประเทศในเดือนมีนาคม 2555 อันเป็นการประกาศเจตนารมณ์ทางการเมืองอย่างชัดเจน ในอันที่จะเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปใหญ่ประเทศไทย
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะแกนนำพันธมิตรฯเล็งการณ์ไกล เริ่มจากความเป็นจริงของประเทศไทยในบริบทของสังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์ รวมทั้งได้สรุปบทเรียนการเคลื่อนไหวต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยและกลุ่มการเมืองภาคประชาชนอื่นๆ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
ที่สำคัญคือ แกนนำพันธมิตรฯ ตลอดจนมวลหมู่ผู้ปฏิบัติงานของพันธมิตรฯทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ต่างพากัน “ตื่นรู้” ในท่ามกลางการเคลื่อนไหวที่เป็นจริง ได้ข้อสรุปที่เป็น “สัจธรรมเฉพาะ” ชี้นำการปฏิบัติของตน โดยไม่ยึดติดกับทฤษฎีสำเร็จรูปของต่างประเทศ และหลักทฤษฎีของปรมาจารย์
บทส่งท้าย
เมื่อเร็วๆนี้ มีชาวพันธมิตรฯท่านหนึ่งเขียนเสนอความเห็นท้ายข่าวในเว็บไซท์เอเอสทีวีผู้จัดการว่า “อยากให้คุณสนธิเป็นนายกฯ ประเทศไทยจะได้แก้ไขปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น” โดยให้เหตุผลว่า “ท่านเป็นคนรู้จริง รู้ลึก รู้แนวทางแก้ไขปัญหา” และว่า “ประเทศไทยต้องได้คนแบบนี้มาเป็นผู้นำ ชาติจึงจะเจริญก้าวหน้า ปัญหาคอร์รัปชั่น ความแตกแยก การคิดล้มสถาบันฯ การทำลายศาสนา การด้อยการศึกษา นโยบายต่างประเทศที่ขายชาติ บ่อนการพนัน ยาเสพติด จะหมดไปก็ต้องให้ท่านเป็นผู้นำ”
ในทัศนะของผู้เขียน คุณสนธิ จะเป็นนายกฯ หรือไม่ ไม่สำคัญ แต่สำคัญตรงที่ว่า นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ในยุคที่ขบวนการพันธมิตรฯนำพาประชาชนชาวไทยทั้งชาติเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้สำเร็จแล้ว ผู้นำประเทศไม่ว่าใครก็ตาม จักต้องมี “บุคลิกการนำ” เฉกเช่นที่คุณสนธิมี
สุดท้ายนี้ ผู้เขียนขอฝาก “ว่าด้วยการนำ” บทนี้ ให้เป็นการบ้านของทุกๆท่าน คิดต่อ วาดหวังต่อ สานต่อ หรือกระทั่ง “ลบทิ้ง ทำใหม่” ก็ไม่ว่า....