การชุมนุมมวลชนครั้งใหญ่ เมื่อวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา จบลงอย่างรวดเร็ว ด้วยความ “พ่ายแพ้” ขององค์การพิทักษ์สยามและภาคีเครือข่าย แต่มิใช่ความพ่ายแพ้ของขบวนการการเมืองภาคประชาชน ที่มีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นแกนนำ เนื่องจากแกนนำพันธมิตรฯประกาศจุดยืนชัดเจน “ไม่ร่วม”การชุมนุม และคอยเตือนสติชาวพันธมิตรฯ ที่เข้าร่วมอยู่ตลอดเวลา ทำให้ชาวพันธมิตรฯส่วนใหญ่ตระหนักรู้ในบทบาทของตน ไม่กระทำการในสิ่งที่จะเกิดผลเสียต่อการขับเคลื่อนของขบวนการเมืองภาคประชาชนโดยรวม
สรุปอีกที คือ แกนนำพันธมิตรฯให้กำลังใจองค์การพิทักษ์สยามและภาคีเครือข่าย ขณะที่ชาวพันธมิตรฯจำนวนมากเข้าร่วมชุมนุมด้วยจิตใจที่กล้าสู้ กล้าชนะ วาดหวังอย่างบริสุทธิ์ใจในชัยชนะที่อาจจะเกิดขึ้น และก็จะไม่สิ้นหวังเมื่อการต่อสู้ไม่บรรลุจุดหมายปลายทาง เพราะแกนนำพันธมิตรฯยังตั้งมั่นเป็นภูผาใหญ่อยู่เบื้องหลัง
อีกนัยหนึ่ง ชาวพันธมิตรฯเรือนหมื่นที่เข้าร่วมการชุมนุมตระหนักรู้ในทีแล้วว่า การร่วมชุมนุมครั้งนี้ เป็นเหมือนการ “สอบซ้อม” ในระหว่างทางแห่งการต่อสู้เพื่อก้าวไปสู่การ “สอบใหญ่” ที่นำโดยแกนนำพันธมิตรฯ
นี่คือคำอธิบายว่า ทำไมชาวพันธมิตรฯเพียงแค่เห็นความกล้าของพลเอก บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์หรือ “เสธ.อ้าย” และสิ่งที่เสธ.อ้ายนำเสนอว่า “ไม่เอานักการเมือง” ก็ตัดสินใจกระโดดเข้าร่วม ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่า ถ้าไม่เอานักการเมืองแล้ว กลุ่ม เสธ.อ้ายจะเอาใคร ?
ผู้เขียนเองก็ไม่ต่างจากชาวพันธมิตรฯเหล่านี้ ที่ “อ้ารับ” ความกล้าหาญของเสธ.อ้าย และจุดยืนไม่เอานักการเมือง ไม่เอาการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง ทั้งๆที่ยังไม่มีการตีความอย่างชัดเจนว่า สอดคล้องต้องกันกับของแกนนำพันธมิตรฯหรือไม่ ด้วยเห็นว่า การขับเคลื่อนมวลชนครั้งใหญ่นี้ เป็นเงื่อนไขให้ชาวพันธมิตรฯได้หล่อหลอมและยกระดับปัญญาตื่นรู้ของตนเอง และดึงเอามวลชน “ทนไม่ไหว” เข้าสู่ครรลองการต่อสู้ด้วย “ปัญญาตื่นรู้” ขยายฐานมวลชนตื่นรู้ ช่วยกันสร้าง “กองทัพมวลชนตื่นรู้”ขึ้นในท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้
ในระหว่างการเคลื่อนไหว ผู้เขียนได้ทำงานในลักษณะการ “หว่านพืชหวังผล” ตั้งแต่ต้นจนปลาย ดังนั้น แม้เสธ.อ้ายและคณะจะโยนผ้ายอมแพ้ไปแล้ว แต่ “ผลพวง”ที่ได้ ก็ไม่น้อย โดยเฉพาะคือ ความ “ตื่นรู้”ของมวลชน ทั้งที่เป็นชาวพันธมิตรฯและมวลชน “ทนไม่ไหว” ในหลายๆด้าน อีกทั้งยังสามารถ “ตอบโจทย์” ยากๆบางข้อได้ เช่น เรื่อง “ความสุกงอม” ของสถานการณ์ ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญอย่างยิ่งทั้งทางทฤษฎีและการปฏิบัติ ในการขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งประวัติศาสตร์นี้
สิ่งที่มวลชนได้ ที่สำคัญคือ สามารถแยกแยะการนำที่ถูกต้องออกจากการนำที่ไม่ถูกต้องได้ ซึ่งก็คือแยกแยะการนำของแกนนำของพันธมิตรฯออกจากแกนนำองค์การพิทักษ์สยามได้
ในห้วงแรกของการประกาศจุดยืนของแกนนำพันธมิตรฯนั้น ชาวพันธมิตรฯและมวลชน “ทนไม่ไหว”จำนวนมาก รู้สึกฉงนใจ กระทั่งอึดอัดใจ แต่ด้วยความเชื่อมั่นศรัทธาต่อแกนนำ และเข้าใจในสิ่งที่แกนนำอธิบาย จึงยินดีปฏิบัติตามคำแนะนำของแกนนำ แม้เข้าร่วมชุมนุม ก็ตั้งตนอยู่ในความมีสติ ไม่บุ่มบ่าม
ผู้เขียนเชื่อว่า เมื่อการชุมนุมสิ้นสุดลง พวกเขาก็สามารถสรุปบทเรียนได้ด้วยตนเอง และเกิดความเชื่อมั่นต่อแกนนำพันธมิตรฯมากยิ่งขึ้น อันเป็นการยกระดับความ “ตื่นรู้” ของตนเองขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง
ต่อเสธ.อ้ายและแกนนำขององค์การพิทักษ์สยามและภาคีเครือข่าย ในห้วงแรกของการเคลื่อนไหว ชาวพันธมิตรฯและมวลชนทนไม่ไหว ล้วนยอมรับในความกล้าหาญและ “ธง” ทางการเมืองที่ไม่เอานักการเมือง ไม่เอาการเปลี่ยนขั้ว และ “คาดหวัง” ใน “หมัดเด็ด”ของเสธ.อ้ายที่จะปล่อยออกมาในวันชุมนุมใหญ่ แต่เมื่อเสธ.อ้ายปล่อยคลิปจาบจ้วงและเรียกหาทหาร ทุกคนก็ได้คำตอบทันทีว่าเสธ.อ้าย “หมดมุข” เพราะประเด็นเรื่องจาบจ้วง ชาวพันธมิตรฯรู้กันดีและสังคมทั่วไปก็รับรู้กันแล้ว ส่วนการเรียกหาทหารก็เคยทำมาแล้วในห้วงการชุมนุม 193 วันในปี 2551 ซึ่งไม่สำเร็จและปัจจุบันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะฝ่ายทหารไม่กล้าเสี่ยง และถึงที่สุดก็ไม่ใช่คำตอบที่ประชาชนต้องการ
ณ วันนี้ ประชาชนไทยไม่เพียงปฏิเสธอำนาจเผด็จการรัฐสภาเท่านั้น แต่ยังปฏิเสธอำนาจเผด็จการทหารด้วย
สิ่งที่คนไทยต้องการคือ อำนาจอธิปไตยของปวงชน ในรูปสภาประชาชน ซึ่งผู้เขียนได้เคยนำเสนอเป็นเบื้องต้นไปบ้างแล้ว ว่าเป็นระบบประชาธิปไตยประชาชนในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งสามารถเรียกรวมกันได้ว่าเป็น ระบอบประชาธิปไตยประชาชนอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ทั้งนี้ สภาประชาชนจะประกอบไปด้วย สภาการเมืองประชาชน สภาภูมิปัญญาประชาชน และสภาผู้แทนประชาชน ดังนี้
สภาการเมืองประชาชน ตั้งอยู่บนฐานของขบวนการการเมืองภาคประชาชน “ทุกฝ่าย” ที่เข้าร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีฐานะเป็นตัวแทนอำนาจกำหนดทางการเมืองของประชาชนทั้งประเทศ แสดงบทบาทเป็น “พี่เลี้ยง” สภาภูมิปัญญาประชาชน และสภาผู้แทนประชาชน
สภาภูมิปัญญาประชาชน ตั้งอยู่บนฐานการคัดกรองบุคลากรยอดเยี่ยมที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด จากวงการและสาขาอาชีพต่างๆ มีฐานะเป็นตัวแทนแนวคิดและวิธีปฏิบัติที่จะนำสังคมไทยไปสู่ความเป็นเลิศในด้านต่างๆ
สภาผู้แทนประชาชน ตั้งอยู่บนฐานการเลือกตั้งโดยตรงจากกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ มีฐานะเป็นตัวแทนกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆในทุกวงการและสาขาอาชีพ ที่จะนำเสนอแนวทางการพัฒนาความเข้มแข็งให้แก่ตนเองและส่วนรวม
สภาประชาชน จึงมีฐานะเป็นตัวแทนอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยโดยตรง
ทั้งนี้ รัฐบาลประชาชนจะถือกำเนิดจากที่ประชุมสภาประชาชน ดำเนินนโยบาย บริหารจัดการรัฐกิจ ปฏิรูประบบ องค์กร ฯลฯ ตามแนวกำหนดของสภาประชาชน
ทั้งหมดนี้ คือ “พิมพ์เขียว” ระบบประชาธิปไตยประชาชน ในระบอบประชาธิปไตยประชาชนอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีประวัติศาสตร์รองรับ มีความเป็นจริงรองรับ มีความก้าวหน้า สอดคล้องกับกฎการพัฒนาการทางการเมืองของมวลมนุษยชาติ ทันยุคทันสมัยที่จะเป็นผลดีอย่างยิ่งต่อการสร้างชาติ สร้างชีวิตของคนไทยโดยรวม ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตยาวไกล
ผู้เขียนเชื่อว่า ระบบนี้จะเป็นคำตอบที่ถูกต้องของประเทศไทย และเป็นอาวุธทางปัญญาของพันธมิตรฯ เพราะมันเกิดขึ้นในท่ามกลางการเคลื่อนไหวปฏิบัติของมวลชน ซึ่งก็คือการขับเคลื่อนของขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยผู้เขียนก็เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการนี้ และยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับองค์กรการเมืองภาคประชาชนอื่นๆได้ด้วย หากผู้นำองค์กรเหล่านั้น กำหนดจุดยืนทางการเมืองของตนอย่างถูกต้อง เช่นเดียวกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ผู้เขียนจึงเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า นับแต่นี้ไป ไม่ว่าใครก็ตาม องค์กรใดก็ตาม คิดจะเสนอตัวเป็นผู้นำมวลชน ไม่เพียงแต่จะต้องกล้าหาญเช่นเดียวกันกับเสธ.อ้ายแล้ว แต่ยังจะต้องนำเสนอเป้าหมายทางการเมืองที่ถูกต้อง ไปในทางเดียวกันกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือกระทั่ง “ก้าวหน้า”ยิ่งกว่า จึงจะสามารถนำการเคลื่อนไหวบรรลุสู่ชัยชนะได้
นั่นหมายถึงว่า ณ วันนี้ ขบวนการการเมืองภาคประชาชนได้เรียนรู้ และได้ก้าวขึ้นสู่ขั้นใหม่แล้ว เกิดการยกระดับคุณภาพ และเกิดเป็นมาตรฐานที่ชัดเจนครั้งใหญ่ในขบวนการการเมืองภาคประชาชน
การวิเคราะห์ทั้งหมดนี้ เป็นไปตามหลัก “มวลชนคือศูนย์กลาง” และ “ปัญญาตื่นรู้คือหัวใจ” อันเป็นหลักการหรือปรัชญาพื้นฐานของทฤษฎี “สงครามมวลชน” ที่จะเป็น “กุญแจ” ไขไปสู่การแก้ปัญหาของประเทศไทยได้อย่างแท้จริง อย่างหมดจด และอย่างยั่งยืน
เช่นเดียวกัน ในประเด็น “ความสุกงอม”ของสถานการณ์ อันเป็นประเด็นที่แกนนำพันธมิตรฯ ได้ยกขึ้นมาเป็นประเด็นหลักในการอธิบายในความไม่พร้อมที่จะเข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มเสธ.อ้าย โดยคุณสนธิ ลิ้มทองกุลได้อธิบายแจกแจงอยู่หลายครั้งในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ของสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีว่า สถานการณ์สุกงอมเกิดขึ้น ก็เมื่อคนไทยที่ “ไร้ปัญญา” ทนไม่ไหวกับสภาพชีวิตของตนเองที่ย่ำแย่จนไม่อยู่ในสภาพที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้
ตีความได้ว่า “รอจนประเทศไทยเจ๊ง”
ผู้เขียนเคยเสนอแกนนำพันธมิตรฯอย่างเป็นทางการมาแล้วว่า การประเมิน “ความสุกงอม”ของสถานการณ์ จะต้องถึอเอา “ความพร้อม” ของมวลชนเป็นตัวตั้ง เพราะมีแต่เช่นนี้เท่านั้น เราจึงจะสามารถวางตัวอยู่ในฐานะของ “ผู้กระทำ” ดำเนินการ “นำ”การเคลื่อนไหวต่อสู้ได้อย่างเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง โดยไม่ถูกตัวแปรอื่นๆจำกัดรัดรึง พันไม้พันมือจนทำอะไรไม่ถนัด
คิดเป็นสูตรก็คือ คุณภาพและปริมาณของมวลชนตื่นรู้ จะนำไปสู่การขยายตัวของ “กองทัพมวลชนตื่นรู้” และ “ขนาด”ของกองทัพมวลชนตื่นรู้ คือตัวกำหนดความสุกงอมของสถานการณ์
โดยผู้เขียนเห็นว่า ขนาดของกองทัพมวลชนตื่นรู้ จะเป็นปัจจัยกำหนดให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทุกขั้นตอน รวมทั้งในขั้น “สถานการณ์สุกงอม” โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงจุดที่ประเทศชาติล่มสลาย อีกทั้งสิ่งที่เรียกว่า “ประเทศชาติล่มสลาย” นี้ ในทางเป็นจริงจะเกิดจริงหรือไม่ก็ไม่รู้ อาจจะปรากฏออกมาในรูปของการ “เปลี่ยนมือ” เจ้าของประเทศไทยก็ได้ คือ ประเทศไทยถูกกลุ่มทุนต่างชาติร่วมกับทุนขายชาติเทคโอเวอร์ ดำเนินการบริหารจัดการต่อไปได้ โดยคนไทยทั้งชาติดำเนินชีวิตอยู่ในโครงข่ายกิจการแบบใหม่บนผืนแผ่นดินไทย ซึ่งมีฐานะเป็น “เซนเตอร์” ของอาเซียน และคนไทยทั่วไปก็พอใจ ไม่ต่างจากพนักงานบริษัท
นั่นหมายถึงว่า ประเทศไทยซึ่งเป็นที่หมายปองของกลุ่มทุนข้ามชาติและกลุ่มทุนขายชาติอยู่เป็นทุนเดิมแล้ว จะไม่ถูกปล่อยให้ “เจ๊ง” แต่จะมีผู้เข้ามาร่วมกัน “ช้อนซื้อ” ดำเนินกิจการต่อไป โดยกลุ่มทุน ซึ่งเป็น “บอสส์” หรือ “เถ้าแก่” เหล่านั้น จะแบ่งเค้กประเทศไทย ทำการบริหารกิจการประเทศไทย จนฟูเฟื่องเป็น “ศูนย์กลาง” กลุ่มประเทศอาเซียน คนไทยในฐานะ “ลูกจ้าง” ก็จะได้รับการเลี้ยงดู มีชีวิตอยู่ได้ตามปกติ โดยคนไทยส่วนใหญ่ที่ยากจนอยู่แล้ว ก็จะยังยากจนต่อไปเป็นปกติ
ทั้งหมดนั้น สามารถดำเนินไปได้ในระบบเผด็จการรัฐสภา ที่นักเมืองในระบบพรรคการเมืองกลายสภาพเป็น “ลูกหาบ” “นายหน้า” หรือ” สุนัขรับใช้” ของกลุ่มทุนข้ามชาติและกลุ่มทุนขายชาติ
แน่นอนที่สุด คนไทยที่ตื่นรู้ มีสติปัญญา คงรับไม่ได้กับ “โมเดล” ประเทศไทยใหม่ (รัฐไทยใหม่)เช่นนี้แน่ แกนนำพันธมิตรฯก็รับไม่ได้กับสิ่งที่ผู้เขียนได้อุปมาอุปไมยเป็นแน่แท้ ตรงกันข้าม พวกเราชาวพันธมิตรฯและประชาชนคนไทย “ทุกฝ่าย” ที่รักชาติ หวงแหนในอิสรภาพ และต้องการสร้างชาติให้เจริญรุ่งเรือง ประชาชนคนไทยมีสิทธิประชาธิปไตย มีอำนาจกำหนดอยู่ในมือของตนเอง จะต้องเร่งหาทางเชื่อมประสาน ร่วมมือกันสร้างอำนาจกำหนดของประชาชนขึ้นมา แข่งกับเวลาพัฒนาตนเองให้ยิ่งใหญ่ เพื่อชิงเอาความเป็นเจ้าของประเทศไทยไว้ในมือ ก่อนที่กลุ่มทุนข้ามชาติและกลุ่มทุนขายชาติจะฮุบประเทศไทยได้สำเร็จ
ในขั้นปัจจุบัน ต้องเร่งสร้าง “ความพร้อม”ของขบวนการการเมืองภาคประชาชน ซึ่งก็คือ “มวลชนตื่นรู้”อันกว้างใหญ่ไพศาล และ”กองทัพมวลชนตื่นรู้”ที่เข้มแข็งเกรียงไกร
ในทัศนะของผู้เขียน “ความพร้อม”ของมวลชน ก็คือ มวลชนที่ “ทนไม่ไหว” ได้ “ตื่นรู้” แล้ว คือ “รู้จริง” ถึงปมปัญหาของประเทศชาติ สามารถแยกแยะความถูกผิด แยกมิตรแยกศัตรูได้ เกิดความ “รู้คิด” ที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหา กำหนดเป้าหมายและยุทธศาสตร์ยุทธวิธีได้ และ “รู้ทำ” ใช้ความรู้ความสามารถ ปฏิภาณไหวพริบ ด้วยความทรหดอดทน หนักแน่น จริงจัง ทุ่มเท เสียสละจนกระทั่งแก้ไขปัญหายากๆได้ในทุกขั้นตอน
อีกนัยหนึ่ง เพียงแค่ปริมาณของ “มวลชนทนไม่ไหว” ยังไม่ใช่เหตุปัจจัยที่จะนำไปสู่ความพร้อมหรือ “สุกงอม” ของสถานการณ์ หรือเพียงแค่ “กองทัพมวลชนตื่นรู้”ขนาดใดขนาดหนึ่ง ก็ยังไม่ใช่เหตุปัจจัยที่จะนำไปสู่ความพร้อมหรือ “สุกงอม” ของสถานการณ์ แต่จะต้องเป็น “กองทัพมวลชนตื่นรู้ขนาดใหญ่” ที่เคลื่อนไหวกระทำการ สั่นสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วทั้งสังคมยิ่งขึ้นเรื่อยๆ กระตุ้นให้พลังเงียบแสดงตัว บีบคั้นให้ฝ่ายตรงข้ามต้อง “ออกหมัด”สะเปะสะปะ แล้วโอกาสทอง หรือ “ความสุกงอม” ก็จะเกิดขึ้น
สรุปคือ “ความสุกงอม”ของสถานการณ์ หรือ “โอกาศทอง” คือผลโดยตรงของการขับเคลื่อนของขบวนการการเมืองภาคประชาชน มันเป็นกระบวนการที่มีพลวัตในตัว มีกฎเกณฑ์ในตัว ขับเคลื่อนด้วยพลังอำนาจของมวลชนตื่นรู้ !
สรุปอีกที คือ แกนนำพันธมิตรฯให้กำลังใจองค์การพิทักษ์สยามและภาคีเครือข่าย ขณะที่ชาวพันธมิตรฯจำนวนมากเข้าร่วมชุมนุมด้วยจิตใจที่กล้าสู้ กล้าชนะ วาดหวังอย่างบริสุทธิ์ใจในชัยชนะที่อาจจะเกิดขึ้น และก็จะไม่สิ้นหวังเมื่อการต่อสู้ไม่บรรลุจุดหมายปลายทาง เพราะแกนนำพันธมิตรฯยังตั้งมั่นเป็นภูผาใหญ่อยู่เบื้องหลัง
อีกนัยหนึ่ง ชาวพันธมิตรฯเรือนหมื่นที่เข้าร่วมการชุมนุมตระหนักรู้ในทีแล้วว่า การร่วมชุมนุมครั้งนี้ เป็นเหมือนการ “สอบซ้อม” ในระหว่างทางแห่งการต่อสู้เพื่อก้าวไปสู่การ “สอบใหญ่” ที่นำโดยแกนนำพันธมิตรฯ
นี่คือคำอธิบายว่า ทำไมชาวพันธมิตรฯเพียงแค่เห็นความกล้าของพลเอก บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์หรือ “เสธ.อ้าย” และสิ่งที่เสธ.อ้ายนำเสนอว่า “ไม่เอานักการเมือง” ก็ตัดสินใจกระโดดเข้าร่วม ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่า ถ้าไม่เอานักการเมืองแล้ว กลุ่ม เสธ.อ้ายจะเอาใคร ?
ผู้เขียนเองก็ไม่ต่างจากชาวพันธมิตรฯเหล่านี้ ที่ “อ้ารับ” ความกล้าหาญของเสธ.อ้าย และจุดยืนไม่เอานักการเมือง ไม่เอาการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง ทั้งๆที่ยังไม่มีการตีความอย่างชัดเจนว่า สอดคล้องต้องกันกับของแกนนำพันธมิตรฯหรือไม่ ด้วยเห็นว่า การขับเคลื่อนมวลชนครั้งใหญ่นี้ เป็นเงื่อนไขให้ชาวพันธมิตรฯได้หล่อหลอมและยกระดับปัญญาตื่นรู้ของตนเอง และดึงเอามวลชน “ทนไม่ไหว” เข้าสู่ครรลองการต่อสู้ด้วย “ปัญญาตื่นรู้” ขยายฐานมวลชนตื่นรู้ ช่วยกันสร้าง “กองทัพมวลชนตื่นรู้”ขึ้นในท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้
ในระหว่างการเคลื่อนไหว ผู้เขียนได้ทำงานในลักษณะการ “หว่านพืชหวังผล” ตั้งแต่ต้นจนปลาย ดังนั้น แม้เสธ.อ้ายและคณะจะโยนผ้ายอมแพ้ไปแล้ว แต่ “ผลพวง”ที่ได้ ก็ไม่น้อย โดยเฉพาะคือ ความ “ตื่นรู้”ของมวลชน ทั้งที่เป็นชาวพันธมิตรฯและมวลชน “ทนไม่ไหว” ในหลายๆด้าน อีกทั้งยังสามารถ “ตอบโจทย์” ยากๆบางข้อได้ เช่น เรื่อง “ความสุกงอม” ของสถานการณ์ ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญอย่างยิ่งทั้งทางทฤษฎีและการปฏิบัติ ในการขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งประวัติศาสตร์นี้
สิ่งที่มวลชนได้ ที่สำคัญคือ สามารถแยกแยะการนำที่ถูกต้องออกจากการนำที่ไม่ถูกต้องได้ ซึ่งก็คือแยกแยะการนำของแกนนำของพันธมิตรฯออกจากแกนนำองค์การพิทักษ์สยามได้
ในห้วงแรกของการประกาศจุดยืนของแกนนำพันธมิตรฯนั้น ชาวพันธมิตรฯและมวลชน “ทนไม่ไหว”จำนวนมาก รู้สึกฉงนใจ กระทั่งอึดอัดใจ แต่ด้วยความเชื่อมั่นศรัทธาต่อแกนนำ และเข้าใจในสิ่งที่แกนนำอธิบาย จึงยินดีปฏิบัติตามคำแนะนำของแกนนำ แม้เข้าร่วมชุมนุม ก็ตั้งตนอยู่ในความมีสติ ไม่บุ่มบ่าม
ผู้เขียนเชื่อว่า เมื่อการชุมนุมสิ้นสุดลง พวกเขาก็สามารถสรุปบทเรียนได้ด้วยตนเอง และเกิดความเชื่อมั่นต่อแกนนำพันธมิตรฯมากยิ่งขึ้น อันเป็นการยกระดับความ “ตื่นรู้” ของตนเองขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง
ต่อเสธ.อ้ายและแกนนำขององค์การพิทักษ์สยามและภาคีเครือข่าย ในห้วงแรกของการเคลื่อนไหว ชาวพันธมิตรฯและมวลชนทนไม่ไหว ล้วนยอมรับในความกล้าหาญและ “ธง” ทางการเมืองที่ไม่เอานักการเมือง ไม่เอาการเปลี่ยนขั้ว และ “คาดหวัง” ใน “หมัดเด็ด”ของเสธ.อ้ายที่จะปล่อยออกมาในวันชุมนุมใหญ่ แต่เมื่อเสธ.อ้ายปล่อยคลิปจาบจ้วงและเรียกหาทหาร ทุกคนก็ได้คำตอบทันทีว่าเสธ.อ้าย “หมดมุข” เพราะประเด็นเรื่องจาบจ้วง ชาวพันธมิตรฯรู้กันดีและสังคมทั่วไปก็รับรู้กันแล้ว ส่วนการเรียกหาทหารก็เคยทำมาแล้วในห้วงการชุมนุม 193 วันในปี 2551 ซึ่งไม่สำเร็จและปัจจุบันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะฝ่ายทหารไม่กล้าเสี่ยง และถึงที่สุดก็ไม่ใช่คำตอบที่ประชาชนต้องการ
ณ วันนี้ ประชาชนไทยไม่เพียงปฏิเสธอำนาจเผด็จการรัฐสภาเท่านั้น แต่ยังปฏิเสธอำนาจเผด็จการทหารด้วย
สิ่งที่คนไทยต้องการคือ อำนาจอธิปไตยของปวงชน ในรูปสภาประชาชน ซึ่งผู้เขียนได้เคยนำเสนอเป็นเบื้องต้นไปบ้างแล้ว ว่าเป็นระบบประชาธิปไตยประชาชนในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งสามารถเรียกรวมกันได้ว่าเป็น ระบอบประชาธิปไตยประชาชนอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ทั้งนี้ สภาประชาชนจะประกอบไปด้วย สภาการเมืองประชาชน สภาภูมิปัญญาประชาชน และสภาผู้แทนประชาชน ดังนี้
สภาการเมืองประชาชน ตั้งอยู่บนฐานของขบวนการการเมืองภาคประชาชน “ทุกฝ่าย” ที่เข้าร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีฐานะเป็นตัวแทนอำนาจกำหนดทางการเมืองของประชาชนทั้งประเทศ แสดงบทบาทเป็น “พี่เลี้ยง” สภาภูมิปัญญาประชาชน และสภาผู้แทนประชาชน
สภาภูมิปัญญาประชาชน ตั้งอยู่บนฐานการคัดกรองบุคลากรยอดเยี่ยมที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด จากวงการและสาขาอาชีพต่างๆ มีฐานะเป็นตัวแทนแนวคิดและวิธีปฏิบัติที่จะนำสังคมไทยไปสู่ความเป็นเลิศในด้านต่างๆ
สภาผู้แทนประชาชน ตั้งอยู่บนฐานการเลือกตั้งโดยตรงจากกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ มีฐานะเป็นตัวแทนกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆในทุกวงการและสาขาอาชีพ ที่จะนำเสนอแนวทางการพัฒนาความเข้มแข็งให้แก่ตนเองและส่วนรวม
สภาประชาชน จึงมีฐานะเป็นตัวแทนอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยโดยตรง
ทั้งนี้ รัฐบาลประชาชนจะถือกำเนิดจากที่ประชุมสภาประชาชน ดำเนินนโยบาย บริหารจัดการรัฐกิจ ปฏิรูประบบ องค์กร ฯลฯ ตามแนวกำหนดของสภาประชาชน
ทั้งหมดนี้ คือ “พิมพ์เขียว” ระบบประชาธิปไตยประชาชน ในระบอบประชาธิปไตยประชาชนอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีประวัติศาสตร์รองรับ มีความเป็นจริงรองรับ มีความก้าวหน้า สอดคล้องกับกฎการพัฒนาการทางการเมืองของมวลมนุษยชาติ ทันยุคทันสมัยที่จะเป็นผลดีอย่างยิ่งต่อการสร้างชาติ สร้างชีวิตของคนไทยโดยรวม ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตยาวไกล
ผู้เขียนเชื่อว่า ระบบนี้จะเป็นคำตอบที่ถูกต้องของประเทศไทย และเป็นอาวุธทางปัญญาของพันธมิตรฯ เพราะมันเกิดขึ้นในท่ามกลางการเคลื่อนไหวปฏิบัติของมวลชน ซึ่งก็คือการขับเคลื่อนของขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยผู้เขียนก็เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการนี้ และยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับองค์กรการเมืองภาคประชาชนอื่นๆได้ด้วย หากผู้นำองค์กรเหล่านั้น กำหนดจุดยืนทางการเมืองของตนอย่างถูกต้อง เช่นเดียวกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ผู้เขียนจึงเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า นับแต่นี้ไป ไม่ว่าใครก็ตาม องค์กรใดก็ตาม คิดจะเสนอตัวเป็นผู้นำมวลชน ไม่เพียงแต่จะต้องกล้าหาญเช่นเดียวกันกับเสธ.อ้ายแล้ว แต่ยังจะต้องนำเสนอเป้าหมายทางการเมืองที่ถูกต้อง ไปในทางเดียวกันกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือกระทั่ง “ก้าวหน้า”ยิ่งกว่า จึงจะสามารถนำการเคลื่อนไหวบรรลุสู่ชัยชนะได้
นั่นหมายถึงว่า ณ วันนี้ ขบวนการการเมืองภาคประชาชนได้เรียนรู้ และได้ก้าวขึ้นสู่ขั้นใหม่แล้ว เกิดการยกระดับคุณภาพ และเกิดเป็นมาตรฐานที่ชัดเจนครั้งใหญ่ในขบวนการการเมืองภาคประชาชน
การวิเคราะห์ทั้งหมดนี้ เป็นไปตามหลัก “มวลชนคือศูนย์กลาง” และ “ปัญญาตื่นรู้คือหัวใจ” อันเป็นหลักการหรือปรัชญาพื้นฐานของทฤษฎี “สงครามมวลชน” ที่จะเป็น “กุญแจ” ไขไปสู่การแก้ปัญหาของประเทศไทยได้อย่างแท้จริง อย่างหมดจด และอย่างยั่งยืน
เช่นเดียวกัน ในประเด็น “ความสุกงอม”ของสถานการณ์ อันเป็นประเด็นที่แกนนำพันธมิตรฯ ได้ยกขึ้นมาเป็นประเด็นหลักในการอธิบายในความไม่พร้อมที่จะเข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มเสธ.อ้าย โดยคุณสนธิ ลิ้มทองกุลได้อธิบายแจกแจงอยู่หลายครั้งในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ของสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีว่า สถานการณ์สุกงอมเกิดขึ้น ก็เมื่อคนไทยที่ “ไร้ปัญญา” ทนไม่ไหวกับสภาพชีวิตของตนเองที่ย่ำแย่จนไม่อยู่ในสภาพที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้
ตีความได้ว่า “รอจนประเทศไทยเจ๊ง”
ผู้เขียนเคยเสนอแกนนำพันธมิตรฯอย่างเป็นทางการมาแล้วว่า การประเมิน “ความสุกงอม”ของสถานการณ์ จะต้องถึอเอา “ความพร้อม” ของมวลชนเป็นตัวตั้ง เพราะมีแต่เช่นนี้เท่านั้น เราจึงจะสามารถวางตัวอยู่ในฐานะของ “ผู้กระทำ” ดำเนินการ “นำ”การเคลื่อนไหวต่อสู้ได้อย่างเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง โดยไม่ถูกตัวแปรอื่นๆจำกัดรัดรึง พันไม้พันมือจนทำอะไรไม่ถนัด
คิดเป็นสูตรก็คือ คุณภาพและปริมาณของมวลชนตื่นรู้ จะนำไปสู่การขยายตัวของ “กองทัพมวลชนตื่นรู้” และ “ขนาด”ของกองทัพมวลชนตื่นรู้ คือตัวกำหนดความสุกงอมของสถานการณ์
โดยผู้เขียนเห็นว่า ขนาดของกองทัพมวลชนตื่นรู้ จะเป็นปัจจัยกำหนดให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทุกขั้นตอน รวมทั้งในขั้น “สถานการณ์สุกงอม” โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงจุดที่ประเทศชาติล่มสลาย อีกทั้งสิ่งที่เรียกว่า “ประเทศชาติล่มสลาย” นี้ ในทางเป็นจริงจะเกิดจริงหรือไม่ก็ไม่รู้ อาจจะปรากฏออกมาในรูปของการ “เปลี่ยนมือ” เจ้าของประเทศไทยก็ได้ คือ ประเทศไทยถูกกลุ่มทุนต่างชาติร่วมกับทุนขายชาติเทคโอเวอร์ ดำเนินการบริหารจัดการต่อไปได้ โดยคนไทยทั้งชาติดำเนินชีวิตอยู่ในโครงข่ายกิจการแบบใหม่บนผืนแผ่นดินไทย ซึ่งมีฐานะเป็น “เซนเตอร์” ของอาเซียน และคนไทยทั่วไปก็พอใจ ไม่ต่างจากพนักงานบริษัท
นั่นหมายถึงว่า ประเทศไทยซึ่งเป็นที่หมายปองของกลุ่มทุนข้ามชาติและกลุ่มทุนขายชาติอยู่เป็นทุนเดิมแล้ว จะไม่ถูกปล่อยให้ “เจ๊ง” แต่จะมีผู้เข้ามาร่วมกัน “ช้อนซื้อ” ดำเนินกิจการต่อไป โดยกลุ่มทุน ซึ่งเป็น “บอสส์” หรือ “เถ้าแก่” เหล่านั้น จะแบ่งเค้กประเทศไทย ทำการบริหารกิจการประเทศไทย จนฟูเฟื่องเป็น “ศูนย์กลาง” กลุ่มประเทศอาเซียน คนไทยในฐานะ “ลูกจ้าง” ก็จะได้รับการเลี้ยงดู มีชีวิตอยู่ได้ตามปกติ โดยคนไทยส่วนใหญ่ที่ยากจนอยู่แล้ว ก็จะยังยากจนต่อไปเป็นปกติ
ทั้งหมดนั้น สามารถดำเนินไปได้ในระบบเผด็จการรัฐสภา ที่นักเมืองในระบบพรรคการเมืองกลายสภาพเป็น “ลูกหาบ” “นายหน้า” หรือ” สุนัขรับใช้” ของกลุ่มทุนข้ามชาติและกลุ่มทุนขายชาติ
แน่นอนที่สุด คนไทยที่ตื่นรู้ มีสติปัญญา คงรับไม่ได้กับ “โมเดล” ประเทศไทยใหม่ (รัฐไทยใหม่)เช่นนี้แน่ แกนนำพันธมิตรฯก็รับไม่ได้กับสิ่งที่ผู้เขียนได้อุปมาอุปไมยเป็นแน่แท้ ตรงกันข้าม พวกเราชาวพันธมิตรฯและประชาชนคนไทย “ทุกฝ่าย” ที่รักชาติ หวงแหนในอิสรภาพ และต้องการสร้างชาติให้เจริญรุ่งเรือง ประชาชนคนไทยมีสิทธิประชาธิปไตย มีอำนาจกำหนดอยู่ในมือของตนเอง จะต้องเร่งหาทางเชื่อมประสาน ร่วมมือกันสร้างอำนาจกำหนดของประชาชนขึ้นมา แข่งกับเวลาพัฒนาตนเองให้ยิ่งใหญ่ เพื่อชิงเอาความเป็นเจ้าของประเทศไทยไว้ในมือ ก่อนที่กลุ่มทุนข้ามชาติและกลุ่มทุนขายชาติจะฮุบประเทศไทยได้สำเร็จ
ในขั้นปัจจุบัน ต้องเร่งสร้าง “ความพร้อม”ของขบวนการการเมืองภาคประชาชน ซึ่งก็คือ “มวลชนตื่นรู้”อันกว้างใหญ่ไพศาล และ”กองทัพมวลชนตื่นรู้”ที่เข้มแข็งเกรียงไกร
ในทัศนะของผู้เขียน “ความพร้อม”ของมวลชน ก็คือ มวลชนที่ “ทนไม่ไหว” ได้ “ตื่นรู้” แล้ว คือ “รู้จริง” ถึงปมปัญหาของประเทศชาติ สามารถแยกแยะความถูกผิด แยกมิตรแยกศัตรูได้ เกิดความ “รู้คิด” ที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหา กำหนดเป้าหมายและยุทธศาสตร์ยุทธวิธีได้ และ “รู้ทำ” ใช้ความรู้ความสามารถ ปฏิภาณไหวพริบ ด้วยความทรหดอดทน หนักแน่น จริงจัง ทุ่มเท เสียสละจนกระทั่งแก้ไขปัญหายากๆได้ในทุกขั้นตอน
อีกนัยหนึ่ง เพียงแค่ปริมาณของ “มวลชนทนไม่ไหว” ยังไม่ใช่เหตุปัจจัยที่จะนำไปสู่ความพร้อมหรือ “สุกงอม” ของสถานการณ์ หรือเพียงแค่ “กองทัพมวลชนตื่นรู้”ขนาดใดขนาดหนึ่ง ก็ยังไม่ใช่เหตุปัจจัยที่จะนำไปสู่ความพร้อมหรือ “สุกงอม” ของสถานการณ์ แต่จะต้องเป็น “กองทัพมวลชนตื่นรู้ขนาดใหญ่” ที่เคลื่อนไหวกระทำการ สั่นสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วทั้งสังคมยิ่งขึ้นเรื่อยๆ กระตุ้นให้พลังเงียบแสดงตัว บีบคั้นให้ฝ่ายตรงข้ามต้อง “ออกหมัด”สะเปะสะปะ แล้วโอกาสทอง หรือ “ความสุกงอม” ก็จะเกิดขึ้น
สรุปคือ “ความสุกงอม”ของสถานการณ์ หรือ “โอกาศทอง” คือผลโดยตรงของการขับเคลื่อนของขบวนการการเมืองภาคประชาชน มันเป็นกระบวนการที่มีพลวัตในตัว มีกฎเกณฑ์ในตัว ขับเคลื่อนด้วยพลังอำนาจของมวลชนตื่นรู้ !