xs
xsm
sm
md
lg

ว่าด้วย “พลังอำนาจดี” --สิ่งที่เป็น “ตัวตน”ในมวลหมู่พันธมิตรฯ

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

เกริ่นนำ

ข้อเขียนนี้ มุ่งอรรถาธิบายให้เห็นแก่นแท้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อให้ชาวพันธมิตรฯรู้จักตัวเองมากขึ้น เกิดความพร้อมทางความคิดและ “ตื่นรู้” ยิ่งขึ้น ในการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงปฏิรูปใหญ่ประเทศไทย ประสานไปกับการนำของแกนนำฯ

ในการอธิบาย ผู้เขียนยึดหลัก “ทุกอย่างเริ่มจากความเป็นจริง” มุ่ง “หาสัจจะจากความเป็นจริง” โดยมุ่งให้เกิดความตื่นรู้ในหมู่พันธมิตรฯถึง “ตัวตน” ที่เป็นจริงของเราเอง จากนี้ไปพัฒนาเข้มแข็งจาก “ภายใน”ของตนเอง

ในหลายๆตอนของการอธิบายและการนำเสนอข้อวินิฉัย มีบางจุดที่ต้องอธิบายซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งจุดใดที่ท่านผู้อ่านเห็นว่าเป็นการอธิบายซ้ำ และตนเข้าใจดีแล้ว ก็สามารถอ่านข้ามได้

กระนั้นก็ตาม การทำความเข้าใจในข้อเขียนทางทฤษฎี ซึ่งมุ่งสะท้อนแก่นแท้ของสิ่งต่างๆที่กำลังดำเนินไป ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ถ้าทฤษฎีถูกต้อง และเรานำไปประยุกต์ใช้ได้จริง ก็จะเป็นหลักประกันในชัยชนะของการเคลื่อนไหวต่อสู้ทั้งในระยะสั่นและระยะยาว

ดังนั้น ขอให้ท่านผู้อ่านใช้ความอดทนอ่านจนจบบท และถ้าจะให้ดีจงอ่านอีกสามบทในคอลัมน์ “มุมมองพันธมิตรฯ” ประกอบด้วย ได้แก่ 1.ใครชนะใจมวลชน ผู้นั้นชนะ ใครชนะใจมวลชนตื่นรู้ ผู้นั้นชนะตลอดไป 2.สิ่งกำลังมี สิ่งกำลังเกิด 3.จิตใจพันธมิตรฯ ซึ่งจะช่วยให้เกิดความเข้าใจใน “พลังอำนาจดี” ในตัวเราได้ชัดเจนและรอบด้านยิ่งขึ้น


1.กำเนิดของพลังอำนาจดี

“พลังอำนาจดี” เป็นคำที่ผู้เขียนชอบมาก เพราะนำมาใช้อธิบายขบวนการการเมืองภาคประชาชน โดยเฉพาะคือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในบริบทการเมืองของประเทศไทยวันนี้ได้อย่างเหมาะเจาะ ตรงจุด ยิ่งกว่าคำอื่นใด

ก็ในเมื่ออำนาจบริหารประเทศอยู่ในมือของ “พลังอำนาจชั่ว” โดยนักการเมืองชั่วหัวโจก สามารถ “สั่งได้ทุกเรื่อง” “กินได้ทุกงบ” “โกงได้ทุกทาง” หากไม่มี “พลังอำนาจดี” อย่างชาวพันธมิตรฯและกลุ่มองค์กรต่างๆออกมาคัดค้าน เปิดโปง แล้วประเทศชาติจะไปทางไหน ? ประชาชนคนไทยจะอยู่กันอย่างไร ?

การมี “พลังอำนาจดี” มาต้าน มาสู้ มาไล่ มาล้าง “พลังอำนาจชั่ว”จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องเกิดขึ้นตามกฎธรรมชาติ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่ ใช้ความสว่างขับไล่ความมืดพ้นไปจากประเทศไทย

เมื่อพิจารณาตามเหตุปัจจัย เห็นได้ชัดว่า การอุบัติขึ้นของ “พลังอำนาจดี” ก็เพราะมี “พลังอำนาจชั่ว” เป็นตัวล่อ และเมื่อวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์ ก็จะพบว่า มันมีเหตุปัจจัยทั้งภายนอกและภายในกำหนดอยู่อย่างชัดเจน สะท้อนถึงกระบวนการพัฒนาทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทยและของโลกในขั้นปัจจุบันอย่างเป็นรูปธรรม

ที่โดดเด่นที่สุด คือการผงาดขึ้นของจีน และการปรับตัวไปในทางเดียวกันกับจีนของกลุ่มประเทศอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทั้งจีนและอาเซียนได้ก้าวเข้าสู่ยุคที่ “การเมืองสะอาดสร้างสรรค์” เป็น “ปัจจัยกำหนดหลัก” หรือ “หลักประกัน” ให้แก่การพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองในทุกๆด้าน ประชาชนอยู่ดีมีสุขเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

จีนในระบอบสังคมนิยม มีการเมืองสะอาดสร้างสรรค์ จึงพัฒนาได้ดี รวมทั้งไต้หวันและฮ่องกง แม้จะปกครองในระบอบทุนนิยม แต่มีการเมืองสะอาดสร้างสรรค์ ก็พัฒนาไปได้ดี

สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ที่ได้พัฒนาล้ำหน้าประเทศไทยไปในแทบทุกด้าน ก็ถือว่ามีการเมือง “สะอาดสร้างสรรค์” กระทั่งมาเลเซียซึ่งเคยตามหลังไทยในแทบทุกด้าน ก็แซงหน้าเราไปแล้วหลายขุม ส่วนเวียดนามก็เริ่มตีตื้นขึ้นมาแล้ว

นี่คือ “สัญญาณแห่งยุคสมัย” ที่บ่งชัดว่า ประเทศไหนจะพัฒนาไปได้ดี ก็ต้องมีการเมืองสะอาดสร้างสรรค์ มีคณะผู้บริหารประเทศที่ยึดถือเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นตัวตั้ง ถ้าประเทศไทยจะหลุดจาก “วงจรอุบาทว์” ก็ต้องปลดตัวเองให้พ้นจากการครอบงำของนักการเมืองชั่ว โกงชาติกินเมือง เฉพาะหน้านี้ก็คือ นักการเมืองที่ได้ชื่อว่า “โคตรโกง-โกงทั้งโคตร”

อีกนัยหนึ่ง ขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อุบัติขึ้นตาม “สัญญาณแห่งยุคสมัย” ตอบรับคำเรียกร้องต้องการเบื้องลึกของประชาชนคนไทย ในบริบทที่สังคมโลกกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อจีนและเอเชียแปซิฟิก ได้พัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็น “แกนหลัก” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก อันเป็นจุดก่อตัวของกระบวนการ “ลมตะวันออกพัดกลบลมตะวันตก”

นี่คือคำตอบว่า เหตุใดเพียงแค่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล “จุดเทียนปัญญา”กล้าพูดความจริง นำเอาความจริงที่กลุ่มทุนทักษิณโกงชาติกินเมืองมาเล่าสู่คนไทย จึงมีกระแสตอบรับอย่างล้นเหลือในทันทีทันใด และนำไปสู่การก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของขบวนการการเมืองภาคประชาชน ที่มีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นแกนหลัก และปัจจุบันได้หลอมรวมกันเข้าเป็น “พลังอำนาจดี” แล้วเป็นเบื้องต้น

เมื่อเราทำความเข้าใจใน “เหตุปัจจัย” “เงื่อนไข” หรือ “ที่มา” ของพันธมิตรฯและกลุ่มองค์กรทางการเมืองที่คัดค้านต่อต้านการเมืองสกปรก นักการเมืองชั่วโดยอิงอยู่กับ “ความเป็นจริง” ของโลกและของไทยเช่นนี้แล้ว ก็จะทำให้เราเข้าถึง “ความจริง” ระดับสัจธรรม ซึ่งก็คือแก่นแท้ของปัญหา ที่ไม่มีใครบิดเบือนได้

ทำให้เรา “เข้าใจ” ตัวเราเอง ได้อย่างถูกต้อง และไม่หวั่นไหว ไม่ว่าใครจะบิดเบือน “ปล่อยข่าว” หรือ “ป้ายสี”แบบไหน อย่างไร หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในขบวนการฯภาคประชาชนแบบไหน อย่างไร เพราะเราเชื่อมั่นใน “กฎ”ที่กำกับการขับเคลื่อนของสังคมไทย ในบริบทของ “กฎ”ที่กำกับการขับเคลื่อนของสังคมโลก

ความเชื่อมั่นใน “ความจำต้องเป็นไป” ตามกฎการพัฒนาของสังคมโลกและสังคมไทยเช่นนี้ จะทำให้เรายิ่งมั่นใจในสิ่งที่เราทำ กล้าสู้กล้าชนะ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่ประเทศไทยและการปฏิรูปใหญ่ประเทศไทย สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่ประเทศไทย

2.พลังอำนาจดี เป็นสิ่งเกิดใหม่ ต่อเนื่องจากอดีต

ในมุมมองของผู้เขียน ปรากฏการณ์ทางประวัติศาสตร์ครั้งนี้ แตกต่างจากเหตุการณ์สำคัญๆในอดีตอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535

การเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 นำโดยกลุ่มทหารและนักกฎหมาย
เกิดขึ้นตามกระแส “ลมตะวันตก” ที่กำลังพัดกลบไปทั่วโลก ในรูปของการล่าอาณานิคมเพื่อกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติ สำหรับเป็นวัตถุดิบป้อนโรงงาน และครอบครองตลาดเพื่อระบายสินค้าสำเร็จรูปจากการผลิตในระบบเศรษฐกิจทุนนิยม คณะราษฎรได้นำการเมืองในระบบรัฐสภามาใช้ในประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปสู่ความเป็นทันสมัยแบบตะวันตก

เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 นำโดยขบวนการนักศึกษา ขับไล่รัฐบาลเผด็จการทรราช ที่อิงอยู่กับสหรัฐอเมริกาซึ่งทุ่มกำลังทำสงครามเวียดนาม และอุ้มชูกลุ่มทหารขึ้นครองอำนาจในประเทศไทย

ชัยชนะของขบวนการนักศึกษา ได้เปิดทางให้แก่พรรคการเมือง ตัวแทนกลุ่มพ่อค้านายทุน เคลื่อนตัวเข้าสู่สนามเลือกตั้ง สามารถจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศโดยมีฝ่ายทหารกำกับ

เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 นำไปสู่การสิ้นสุดในบทบาท “อำนาจกำหนด” ทางการเมืองของฝ่ายทหารอย่างแท้จริง พรรคการเมืองกลุ่มทุนผงาดขึ้นเป็น “อำนาจกำหนดใหม่” แต่วิกฤติการเงินในปี 2540 ยังผลให้กลุ่มทุนธนาคารล่มสลาย เปิดช่องให้กลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณก้าวขึ้นสู่เวทีการเมืองในฐานะ “กลุ่มทุนใหม่”กำชัยชนะในการเลือกตั้งปี 2544 เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากชุดแรกของประเทศไทย

ทว่าเกือบจะในทันทีทันใด พ.ต.ท.ทักษิณกับพวก ก็ได้ยกระดับอำนาจของตนขึ้นเป็นอำนาจกำหนดแบบเบ็ดเสร็จ ด้วยการใช้ระบบรัฐสภาเป็นเครื่องมือ ดำเนินนโยบาย “ประชานิยม” ซื้อเสียงเลือกตั้ง พร้อมกับเดินหน้าควบรวมพรรคการเมืองน้อยใหญ่มาไว้ในมือ เร่งกระบวนการจัดสรรผลประโยชน์ของชาติใหม่ มุ่งหมาย “กินรวบ” ประเทศไทย สร้างรัฐไทยใหม่ โดยมุ่งโยกคลอนพระราชอำนาจ และท้าทายพระบรมเดชานุภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยตรง

ในสถานการณ์เช่นนั้น การ “จุดเทียนปัญญา” และชูธง “เราจะสู้เพื่อในหลวง” ของคุณสนธิ ลิ้มทองกุลและทีมงานสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีผู้จัดการ ในเดือนกันยายน 2548 และการก่อตั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ดำเนินการเคลื่อนไหวต่อต้านการ “กินรวบ” ประเทศไทยของกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ จึงได้รับการขานรับอย่างกว้างขวาง ในที่สุดก็นำไปสู่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โค่นล้มรัฐบาลทักษิณ

เมื่อมีรัฐบาลหุ่นเชิดในระบอบทักษิณเกิดขึ้นในปี 2551 ขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็เคลื่อนไหวขับไล่ พร้อมกับนำเสนอเป้าหมาย “เปลี่ยนแปลงประเทศไทย” ต่อมาในปี 2554 ในห้วงการชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปกป้องอธิปไตย ก็นำเสนอเป้าหมาย “ปฏิรูปประเทศไทย” มุ่งสร้างการเมืองใหม่ที่หลุดพ้นจากกรอบกำหนดของระบบรัฐสภา ซึ่งปัจจุบันผู้เขียนได้นำเสนอเป็นการเฉพาะแล้วว่า จะต้องเป็นระบบการเมืองที่รองรับอำนาจการเมืองเกิดใหม่ ในรูปของขบวนการการเมืองภาคประชาชน ในฐานะที่เป็น “พลังอำนาจดี” เป็นแกนหลักในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย และสามารถสะท้อนความเป็น “ประชาธิปไตย”ของประชาชนอย่างแท้จริง ในรูปของ “ระบบสภาประชาชน” อันประกอบไปด้วย สภาการเมืองประชาชน สภาภูมิปัญญาประชาชน และสภาผู้แทนประชาชน ซึ่งทั้งหมดนั้น จะดำเนินไปในบริบทของระบอบประชาธิปไตยประชาชนอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ทั้งนี้ ระบบการเมืองที่เราสร้างขึ้นมาเองนี้ จะสามารถสนองตอบความเป็นจริงแห่งยุคสมัย ในบริบทที่สังคมโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุค “ลมตะวันออกพัดกลบลมตะวันตก” และยังประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง

อีกนัยหนึ่ง ระบบการเมืองที่เราสร้างขึ้นมาใหม่ จะต้องมีความก้าวหน้ากว่าระบบรัฐสภาในระบอบประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนของโลกตะวันตก เอื้ออำนวยอย่างยิ่งให้แก่การพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองรอบด้าน สังคมก้าวหน้า สงบร่มเย็น ประชาชนอยู่ดีมีสุข สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตตนเองได้อย่างรอบด้าน มีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ มีความเสมอภาค เท่าเทียมกันอย่างแท้จริง ทั้งในหมู่คนไทยด้วยกันเอง และในระหว่างคนไทยกับคนชาติอื่นๆทั่วโลก

โดยภาพรวม “พลังอำนาจดี” ที่ “กำลังมี กำลังเกิด”นี้ เป็นกระบวนการยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ไทย และเป็น “คลื่นลูกใหม่” ของประวัติศาสตร์โลก กระนั้น การขับเคลื่อนของกระบวนการนี้ ก็ดำเนินไปตาม “กฎ” ภายในของตนเอง จะต้องมีการสั่งสมทางปริมาณ คือต้องเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป จากน้อยไปหามาก และมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุด “สุกงอม” จึงจะเกิดการพลิกผันครั้งใหญ่ ซึ่งก็คือการเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพ ขับเคลื่อนประเทศไทยก้าวเข้าสู่ประวัติศาสตร์ขั้นใหม่ได้สำเร็จ

โดยนัยนี้ การที่ขบวนการการเมืองภาคประชาชนเป็น “เจ้าภาพ” สร้างการเปลี่ยนแปลง แสดงบทบาทเป็น “ปัจจัยกำหนดหลัก” จึงแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆในอดีตที่ทหารและกลุ่มทุนเป็นผู้กำหนด

3.ความสำคัญในการ “ตระหนักรู้”ในพลังอำนาจดี

เหตุการณ์สำคัญยิ่งทางประวัติศาสตร์นี้ พวกเราชาวพันธมิตรฯที่เป็นผู้ลงมือปฏิบัติ จะค่อยๆซึมซับและตระหนักรู้ชัดขึ้นเรื่อยๆ เกิดการตระหนักรู้ในความเป็น “พลังอำนาจดี” นี้ทีละด้านๆ จนกระทั่งเกิดเป็น “ภาพลักษณ์” ครบถ้วนรอบด้าน

ในท่ามกลางการเคลื่อนไหวปฏิบัติ ภาพลักษณ์แห่งความเป็น “พลังอำนาจดี” นี้ จะทวีความชัดเจนยิ่งขึ้นในห้วงสำนึกของเรา และเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับ “พลังอำนาจชั่ว” อันได้แก่กลุ่มพรรคการเมืองในระบบรัฐสภา เราก็จะยิ่งเห็นชัดถึงความตกต่ำของพวกเขา เป็นได้เพียง “เครื่องมือ” ของกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณและกลุ่มทุนฉวยโอกาสอื่นๆ ที่มักจะใช้อำนาจบริหาร(เมื่อมีโอกาสเป็นรัฐบาล)ไปในทางมิชอบ ทุจริตฉ้อฉล โกงบ้านกินเมือง ปล้นชาติปล้นประชาชน

ในที่สุด จินตภาพแห่งความเป็น “พลังอำนาจดี” ก็จะสถิตอยู่ในห้วงสำนึกของเราทุกคน

ในทางภาษา คำว่า “พลังอำนาจดี”นี้ มีนัยของความเป็น “บวก” คล้องจองกับคำว่า “positive power” ในภาษาอังกฤษ หรือ“正能量”(ออกเสียง “เจิ้งเหนิงเลี่ยง”) ในภาษาจีน ซึ่งแปลความหมายตรงๆได้ว่า “อำนาจบวก”(จากภาษาอังกฤษ) และ “พลังงานบวก”(จากภาษาจีน) ซึ่งตรงข้ามกับคำว่า “ลบ” แต่ก็สามารถตีความลึกซึ้งลงไปอีกระดับหนึ่ง คือเป็น “ดี” ซึ่งมีนัยตรงกันข้ามกับคำว่า “ชั่ว” หรืออาจอธิบายในเชิงปรัชญาหรือศาสนาว่า “ธรรมะ” ซึ่งตรงกันข้ามกับคำว่า “อธรรม”

เมื่อนำมาใช้อธิบายกับตัวเราเอง ผู้เขียนเลือกที่จะใช้คำว่า “พลังอำนาจดี” เพื่อสะท้อนสภาวะพลังอำนาจเป็นจริงของประเทศไทย ที่ปัจจุบันแบ่งแยกออกอย่างชัดเจนเป็นฝ่าย “ดี” และฝ่าย “ชั่ว” หรือฝ่าย “ธรรมะ” กับฝ่าย “อธรรม”

สรุปคือ คำว่าพลังอำนาจดี สะท้อนความมีธรรมะ ความถูกต้องอยู่ในตัวเอง หมายถึงพลังอำนาจที่จะขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยดำเนินไปในทางที่ดี

จากนี้ ทำให้สามารถอธิบายขยายความได้ในทุกๆเรื่อง ไม่มีความลักลั่น หรือขัดกันเองในตัว

ในอดีต เคยมีการใช้คำว่า “ซ้าย” และ “ขวา” มาอธิบายว่าอะไรดีไม่ดี ก้าวหน้าหรือล้าหลัง แต่ปัจจุบันใช้ไม่ได้ เพราะไม่ได้ให้คำตอบใดๆ และไม่ทำให้เราสามารถแยกแยะ “ถูก-ผิด” ได้เลย

ปัจจุบัน กลุ่มแกนนำของ “นปช.” พยายามใช้คำว่า “ซ้าย-ขวา” “ก้าวหน้า-ล้าหลัง” มาอธิบายว่า พวกเขาเป็น “ซ้าย-ก้าวหน้า” ส่วนพวกอำมาตย์เป็น “ขวา-ล้าหลัง” ดังนั้น พวกเขาจึงมีความชอบธรรมที่จะโค่นล้มอำมาตย์ที่เป็นศักดินา และสนับสนุนนักการเมืองกลุ่มทุนสามานย์โกงชาติกินเมือง ปล้นชาติปล้นประชาชน (ด้วยคำอธิบายว่า “ทุนสามานย์ดีกว่าศักดินาล้าหลัง”)

คำอธิบายเช่นนี้ ใช้ไม่ได้ เพราะ “นักการเมืองโกง” มันจะดีได้อย่างไร ? และที่ว่าศักดินาล้าหลัง ก็ต้องมาดูว่าล้าหลังตรงไหน ? ได้สร้างความเสียหายต่อประเทศชาติประชาชนอย่างไรบ้าง ? ซึ่งเมื่อเราทำการวิเคราะห์โดยถือเอาความเป็นจริงเป็นตัวตั้ง ก็จะได้คำตอบไม่ยากว่า นักการเมืองโกง ไม่เป็นที่ยอมรับของโลกยุค “ลมตะวันออกพัดกลบลมตะวันตก” นักการเมืองอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตรกับพวก ล้วนแต่เป็นนักการเมืองล้าหลัง “ตกยุค” แม้ว่าพวกเขาจะกอบโกยโกงกินจนร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีโลกได้ แต่ในที่สุดพวกเขาก็จะเข้าตาจน ไม่มีที่ยืนทั้งในแผ่นดินไทยและบนผิวโลกดวงนี้

ส่วนสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “ศักดินา” หากหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็เป็นศักดินาที่ก้าวหน้า เพราะพระองค์ท่านทุ่มเทกายใจให้แก่การสร้างความอยู่ดีกินดีให้แก่พสกนิกรตลอดมา ซึ่งตรงกันข้ามกับนักการเมืองโคตรโกงและโกงทั้งโคตรอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรกับพวกอย่างสิ้นเชิง

เห็นได้ชัดว่า วิธีการอธิบายของแกนนำ “นปช.” และกลุ่มนักวิชาการที่เรียกตัวเองว่า “ซ้าย-ก้าวหน้า” ไม่เป็นไปตามหลัก “วิภาษวิธีวัตถุนิยม” ของคาร์ล มาร์กซ์ ที่ให้เอาความเป็นจริงทางภววิสัยเป็นตัวตั้ง มิใช่เอาอัตวิสัยของตัวเองเป็นตัวตั้ง หรือที่เลนินบอกว่าจะต้อง “วิเคราะห์สิ่งที่เป็นรูปธรรมอย่างเป็นรูปธรรม” และที่เหมาเจ๋อตงบอกว่า จะต้อง “หาสัจจะจากความเป็นจริง” กระทั่งต่อมาเติ้งเสี่ยวผิงได้เสริมเพิ่มเข้าไปอีกว่า จะต้อง “ปลดปล่อยความคิด หาสัจจะจากความเป็นจริง”

สรุปคือ การเข้าถึง “ความจริง”ในระดับแก่นแท้ ที่เป็นสัจธรรม หรือ “กฎ” ที่ กำหนดการดำรงอยู่ของสิ่ง ของสังคม ของคนเรา จะต้องใช้วิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์ และจะต้องพิสูจน์ได้ในการเคลื่อนไหวปฏิบัติที่เป็นจริง

ในมุมมองของผู้เขียน สิ่งที่แกนนำ “นปช.” และนักวิชาการที่เรียกตัวเองว่า “ซ้าย-ก้าวหน้า” วินิจฉัยและสรุปออกมาว่า “ทุนสามานย์ดีกว่าศักดินาล้าหลัง” มิได้ยืนอยู่บนความเป็นจริง แต่ยึดอยู่กับบทสรุปกว้างๆทางทฤษฎีของลัทธิมาร์กซ์ ว่าด้วย “วัตถุนิยมประวัติศาสตร์” ไม่ได้ใช้หลักวิภาษวิธีวัตถุนิยมเป็นเครื่องมือ กล่าวโดยรวมแล้ว ก็คือพวกเขาไม่ปลดปล่อยความคิด ยังติดอยู่กับภาพเก่าๆที่เป็นเพียงบางส่วนบางด้าน ไม่เริ่มจากความเป็นจริงอย่างรอบด้านจริงๆ ด้วยเหตุนี้ ข้อวินิจฉัยนี้จึงถูกต่อต้านอย่างหนักจากผู้รู้จริง ยืนไม่ติด และไม่ทนต่อการพิสูจน์ เชื่อว่าในที่สุดมันก็จะฝ่อหายไป ในท่ามกลางการตื่นรู้ของมวลชน

จากกรณีนี้ ก็เป็นอุทาหรณ์สำหรับพวกเราด้วย ว่าการแสวงหาคำตอบที่ถูกต้องหรือสัจธรรมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย จะต้องเริ่มจากความเป็นจริงของประเทศไทยในบริบทของความเป็นจริงของสังคมโลก โดยการวิเคราะห์ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ และความเชื่อมโยงของเหตุปัจจัย ตลอดจนผลที่เกิดขึ้นจริง ว่าใครคือผู้เสวยประโยชน์ที่แท้จริง ?

ปัจจุบัน คำตอบที่เราได้เกี่ยวกับประเทศไทยก็คือ นักการเมืองโกงชาติกินเมือง โดยเฉพาะคือกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ คือปมปัญหาของประเทศไทย มิใช่กลุ่มอำมาตย์หรือศักดินาใดๆ การเปลี่ยนแปลงใหญ่และปฏิรูปใหญ่ประเทศไทย จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเราสามารถต่อสู้เอาชนะกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณแล้วเท่านั้น

4.จะสร้างพลังอำนาจดีได้อย่างไร ?

การสร้าง “พลังอำนาจดี” ให้ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สำหรับชาวพันธมิตรฯแล้ว ก็คือการทำ “สงครามมวลชน” ทั้งนี้ ผู้เขียนได้นำเสนอไว้ในทฤษฎี “สงครามมวลชน”แล้วว่า หลักสำคัญหรือ “หัวใจ”ของการทำสงครามมวลชน ก็คือการสร้างความตื่นรู้ (รู้จริง รู้คิด รู้ทำ) ขึ้นในหมู่มวลชนชาวพันธมิตรฯให้กว้างขวางยิ่งๆขึ้น แล้วพัฒนาขึ้นสู่ความเป็น “กองทัพมวลชนตื่นรู้” ต่อสู้เอาชนะกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ ซึ่งเป็นแกนหลักของ “พลังอำนาจชั่ว” ให้ได้ในทุกขั้นตอน ทั้งในห้วงของการสะสมทางปริมาณ และการเผด็จศึกขั้นสุดท้ายเมื่อสถานการณ์ “สุกงอม”

5.ความสำคัญของการสร้างความเข้าใจในบริบท “ลมตะวันออกพัดกลบลมตะวันตก”

ขอย้ำอีกทีว่า การใช้คำว่า “ซ้าย-ขวา” หรือคำว่า “ก้าวหน้า-ล้าหลัง” มาอธิบายว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรดี อะไรชั่ว ใช้ไม่ได้ในบริบทของการเมืองประเทศไทยวันนี้

ในทำนองเดียวกัน สภาวะเป็นจริงของสังคมโลกยุคปัจจุบัน ก็อยู่ในห้วงของการขับเคลื่อนของพลังอำนาจดี ประชันกับอำนาจชั่ว มากกว่าที่จะเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างลัทธิคอมมิวนิสม์กับลัทธิทุนนิยม ดังที่เคยปรากฏอยู่ในห้วงของยุคสงครามและการปฏิวัติ (จากปลายศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่20) หรือการขับเคี่ยวกันระหว่างสหรัฐฯกับสหภาพโซเวียตในยุคสงครามเย็น (ระหว่างกลาง-ปลายศตวรรษที่ 20)

ปัจจุบัน สังคมโลกได้ก้าวเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ ไม่มีเส้นแบ่งทางลัทธิความเชื่อทางการเมืองอีกแล้ว เนื่องจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตและกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก ขณะที่จีนแม้ยังคงการปกครองในระบอบสังคมนิยม แต่ก็ได้ดำเนินนโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศ สร้างระบบเศรษฐกิจตลาด เชื่อมตนเองเข้ากับระบบโลก กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบเศรษฐกิจโลก การต่อสู้ทางความคิดอุดมการณ์ได้หลีกทางให้แก่การแข่งขันกันทางการค้า การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ และการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชาติ เป็นต้น

ในทางการเมือง จีนยินดีคบกับทุกประเทศที่แสดงความเป็นมิตรต่อจีน ยินดีติดต่อสัมพันธ์กับพรรคการเมืองทุกพรรคที่ยินดีคบกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน

ปัจจุบันนี้ ในทางเศรษฐกิจการค้า จีนเป็นส่วนหนึ่งของโลก และโลกก็เป็นส่วนหนึ่งของจีน เกิดสภาวะที่เรียกว่า “ในเขามีเรา ในเรามีเขา” ไม่มีประเทศใดแยกตนออกจากกระแสโลกาภิวัตน์แล้วดำรงอยู่ได้ด้วยดี

การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม เพื่อนำไปสู่ความเข้าใจในกันและกัน เป็นไปอย่างกว้างขวางทั้งในระดับรัฐบาลและระดับประชาชน การสร้าง “โลกกลมกลืน” กลายเป็นกระแสหลักทางการทูตของนานาประเทศ การเมือง “สะอาดสร้างสรรค์” กลายเป็นค่านิยมทั่วไปที่ชาวโลกยอมรับ และอะไรต่อมิอะไรจิปาถะ ที่สะท้อนถึงพฤติกรรมร่วมกันของชาวโลกในการยอมรับในความแตกต่างซึ่งกันและกัน เคารพซึ่งกันและกัน และอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติบนดาวโลกดวงนี้

ล่าสุดนี้ สีจิ้นผิง ผู้นำจีนรุ่นที่ 5 ก็ได้เอ่ยปากเรียกร้องให้นายจิมมี คาร์เตอร์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯที่เยือนกรุงปักกิ่งว่า ให้ช่วยกันสร้างเสริม “พลังงานบวก” เพื่อกระชับความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา

นั่นหมายถึงว่า ในยุคที่ทั้งโลกเชื่อมโยงเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีเส้นแบ่งระหว่าง “ซ้าย” กับ “ขวา” มีแต่เส้นแบ่งระหว่าง “บวก” กับ “ลบ” หรือ “ดี” กับ “ชั่ว”

ด้วยเหตุนี้ ในทางสากล พลังอำนาจดี จะต้อง ประสานกันเข้า ต่อสู้เอาชนะพลังอำนาจชั่ว เพื่อให้สังคมโลกมีสันติภาพ มีการพัฒนา ชาวโลกอยู่ดีมีสุขถ้วนหน้า

นี่คือนัยสำคัญของคำว่า “ลมตะวันออกพัดกลบลมตะวันตก”

ในบริบทดังกล่าว ในประเทศไทย พลังอำนาจดี จะต้อง “หลอมรวม”กันเข้า ต่อสู้เอาชนะพลังอำนาจชั่ว กระชากประเทศไทยให้พ้นจากอุ้งมือของนักการเมืองชั่ว เพื่อให้สามารถก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งการพัฒนาก้าวหน้าได้อย่างยาวไกล โดยคนไทยส่วนใหญ่เป็นผู้ได้รับประโยชน์ เกิดความสมบูรณ์พร้อมทั้งทางวัตถุและจิตใจ
กำลังโหลดความคิดเห็น