ถูตะเกียงเสกยักษ์ออกมาแล้วก็เรียกกลับได้ ยักษ์ทำตามคำสั่ง ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่มีหัวจิตหัวใจ ไม่มีความเจ็บปวด เรียกกลับก็กลับ เรียกให้ออกใหม่ก็ได้ตามต้องการ – นั่นอาจจะเป็นยักษ์ในนิยาย
แต่ชีวิตจริงของคุณทักษิณ ณ ชินวัตรไม่เป็นอย่างนั้น
ยักษ์ที่ออกมาเริ่มเป็นตัวของตัวเอง มีความคิด มีหัวจิตหัวใจ มีความเจ็บปวด
ที่อาจจะไม่ยอมกลับเข้าสู่ตะเกียงวิเศษง่ายๆ !
คุณทักษิณ ชินวัตร และน้องสาวในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อาจมั่นใจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ว่ากระบวนการเกี๊ยะเซี๊ยะกับชนชั้นนำเก่ากำลังเดินหน้าไปอย่างดียิ่ง รอเวลา ราฟืน มุ่งหน้าบริหารประเทศเพื่อให้ผ่านการลงทุนสาธารณูปโภคครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ อีกไม่นานคงถึงฝั่งฝัน ความคิดนี้อาจจะถูกหากปัจจัยที่ถูกโค่นล้มไปเมื่อ 6 ปีก่อนนั้นเป็นฝีมือชนชั้นนำเก่าเป็นหลัก และสาเหตุก็มาจากในช่วงที่ครองอำนาจอยู่ให้ความใส่ใจและสนใจชนชั้นนำเก่าน้อยไป เพียงเท่านั้น
เมื่อรู้เหตุแล้วดับที่เหตุ – ทุกประการก็ไม่น่าจะมีปัญหา??
แต่นั่นแหละจะเป็นปัญหาใหญ่มากในอนาคต เพราะลึก ๆ แล้วเหมือนพี่น้องชินวัตรชินวัตรคู่นี้ไม่เชื่อในพลังมวลชนว่าเมื่อถึงที่สุดแล้วก็มีความคิดเป็นของตัวเอง ไปเชื่อในการบริหารจัดการมวลชนเสียมากกว่า ตลอดระยะเวลา 7 ปีมานี้ มวลชนเข้ามามีส่วนร่วมในความขัดแย้งทางการเมืองสูงมาก การตกบัลลังก์ของคุณทักษิณ ชินวัตรไม่ใช่เรื่องของชนชั้นนำเก่าหรือของพรรคประชาธิปัตย์เป็นหลัก แต่เป็นเรื่องที่เริ่มต้นจากมวลชนกลุ่มหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่กลางปี 2548 ด้วยเหตุผลเฉพาะ แล้วขยายตัวต่อเนื่อง ชนชั้นนำเก่ากับพรรคประชาธิปัตย์จะเข้ามาเป็นแนวร่วมหรือได้ประโยชน์จากผลของการต่อสู้ในภายหลังอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เช่นเดียวกันกับมวลชนอีกหลากหลายกลุ่มที่สนับสนุนตระกูลชินวัตรในการต่อสู้ จำนวนมากมีความคิดเป็นของตัวเอง แม้ว่าจะยอมมาอยู่ในการบริหารจัดการของตระกูลนี้ แต่ก็เพราะเชื่อว่ามันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ไม่ใช่แค่คุณทักษิณ ชินวัตรได้อำนาจได้ทรัพย์สินคืนเท่านั้น แต่จะเป็นหนทางลัดที่ทำให้อำนาจตกมาเป็นของประชาชนจริง ๆ เสียที
การเกี้ยะเซียะกับชนชั้นเก่าเท่านั้นจึงจะไม่ได้แก้ปัญหามวลชนทั้ง 2 ฟากฝั่งให้หมดไป!
มวลชนฟากฝั่งต่อต้านคุณทักษิณ ชินวัตรนั้นเริ่มแตกแขนง แม้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะเดินหน้าหาแผนที่สังคมไทยยุคหลังปฏิรูปมาเป็นตัวแบบในการรณรงค์ จนสรุปได้หลักการปกครอง 15 ประการมาเป็นจุดเริ่มต้นในการรณรงค์ต่อยอด ไม่เอาตัวไปให้ชนชั้นนำเก่าใช้เป็นฐานค้ำยันให้อยู่ในอำนาจต่อไปหากไร้หลักประกันในเรื่องการปฏิรูปประเทศประเทศอย่างจริงจัง ใครจะเกี๊ยะเซี๊ยะกันอย่างไรหรือไม่ก็ช่าง เพียงแต่อย่าละเมิดเงื่อนไข 3 ข้อที่เขาประกาศเป็นเหมือนปฏิญญาในการเกลับมาชุมนุมอีกครั้ง
แต่ก็มีมวลชนอีกหลายกลุ่มหลายที่มาที่เห็นว่าจำเป็นต้องขับไล่รัฐบาลทันที การชุมนุมเบื้องต้นเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2555 คือรูปธรรมการต่อสู้ล่าสุด
ปรากฏการณ์หลายจุดที่สดับมาบ่งบอกว่าขณะนี้แม้คลื่นลมสงบพอสมควร แต่ก็เสมือนเป็นอาการสงบก่อนเกิดพายุใหญ่ หนึ่งในปรากฏการณ์ที่ว่าคือแทบทุกฝ่ายนอกจากจะมีมวลชนจัดตั้งรองรับระดับหนึ่งแล้ว ยังมีการประกอบกำลังในรูปการ์ดกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ไม่เว้นแม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ แต่นั่นก็ไม่น่าตื่นตาตื่นใจเท่าอดีตผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยปีกตรงข้ามรัฐบาลที่เริ่มคัดสรรผู้ปฏิบัติงานหน่วยก้านและจิตใจเข้มข้นมาประกอบกำลังและฝึกปรือเพื่อเตรียมความพร้อมรับทุกสถานการณ์ แอบได้ยินมาว่าจะพร้อมสูงสุดประมาณกุมภาพันธ์ 2556 ไม่รู้จะสอดรับกับห้วงเวลาที่ร่างพ.ร.บ.ปรองดองฯฉบับล้มเลิกคดีคุณทักษิณ ชินวัตรกับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมวาระ 3 ที่ยังคารัฐสภาอยู่จะได้เวลาต้องมีบทสรุปหรือไม่ อย่างไร
ปีหน้า 2556 รัฐบาลจะเผชิญหน้ากับอย่างน้อย 2 เหตุการณ์ที่อาจจะมีโอกาสก่อให้เกิดการจุดชนวนเพื่อนำไปสู่การพลิกผันลักษณ์ใดลักษณ์หนึ่ง หนึ่งคือการตัดสินใจเดินหน้าเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 โดยไม่ทบทวนหลักการเดิมที่ชะลอมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2555 สองคือการตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศคดีปราสาทพระวิหารที่มีผลลบต่อประเทศไทย วันนี้มวลชนเริ่มตื่นรู้มากขึ้นกับกรณีที่ 1 เพราะมีการเคลื่อนไหวให้ข้อมูลมาอย่างต่อเนื่องจากหลากหลายกลุ่ม แม้จะยังไม่มากเท่าที่ควรแก่กรณี ส่วนกรณีที่ 2 ก็ขึ้นอยู่กับระดับแห่งผลลบจากคำพิพากษา และสถานการณ์โดยรวม
มวลชนฟากฝั่งเสื้อแดงแม้จะมีหลายเฉดสี แต่มากเฉดสีล้วนไม่สบายใจกับการเกี้ยะเซียะที่ทำให้การเดินหน้าสร้างระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์ที่เคยประกาศไว้มีอันต้องสะดุดหยุดอยู่กับที่ แถมการเลือกสรรบุคคลมาเป็นรัฐมนตรีสองสามรอบที่ผ่านมาก็ก่อให้เกิดความเจ็บปวดแก่แกนนำมวลชนบางคนครั้งแล้วครั้งเล่า
การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุดที่นายจตุพร พรหมพันธ์วืดตำแหน่งอีกครั้งเห็นได้ชัด
ปลอบใจกันได้ครับว่าเพื่อบรรลุยุทธศาสตร์ใหญ่ ตอนนี้ในทางยุทธวิธีต้องกลืนเลือดไว้ก่อน ราฟืนเอาไว้ รอเวลา เพราะเวลาอยู่ข้างพวกเรา
แต่จะทำอย่างนี้ไปได้นานเท่าไร ?
จากนี้ไป เชื่อว่าความขัดแย้งภายในจะเป็นปัญหาหลักของอำนาจการเมืองค่ายชินวัตร !
ไม่เพียงแต่สายแกนนำมวลชนแดงจะไม่มีความสุข และเริ่มตั้งคำถามตัวโต ๆ ว่าที่สุดแล้วพี่น้องชินวัตรก็แค่นักการเมืองแค่นายทุนการเมืองดาด ๆ ธรรมดา ๆ ที่ไม่ได้มีปณิธานเปลี่ยนบ้านแปลงเมืองในเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่แต่ประการใดเท่านั้น แม้แต่ในหมู่พี่น้องชินวัตรกันเอง หรือแม้แต่ระหว่างคุณทักษิณ ชินวัตร กับคุณน้องสาวคนที่นั่งเมืองในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ใช่ว่าจะเหมือนเดิมไปเสียหมดทุกประการ
คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตรก็เริ่มฉายแววจะเป็นยักษ์นอกตะเกียงวิเศษเหมือนกัน !
เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2555 ผมเขียนในหน้าเฟซบุ๊กของตัวเองไป จนถึงวันนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น ขออนุญาตนำมาลง ณ ที่นี้อีกครั้ง
“เหมือนจะชนะแต่ไม่ชนะ”
สถานการณ์ Dual Command ของอำนาจรัฐวันนี้ สร้างความอึดอัดคับข้องที่สุดให้ 2 (กลุ่ม)คน
คนหนึ่งคือพี่ชายท่านผู้นำ อีก(กลุ่ม)คนหนึ่งคือคนเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์สายอุดมการณ์ รวมทั้งส่วนใหญ่ของนักการเมืองกลุ่ม 111 คนแรกอึดอัดคับข้องตรงที่สู้ทุ่มเทฝ่าอุปสรรคด่านหนักหนาสาหัสชนิดที่ไม่น่าจะผ่านได้มาแล้วแต่ ณ วันนี้กลับเผชิญอุปสรรคขวากหนามใหม่ที่ทำอะไรไม่ได้อย่างใจ อยู่ในสถานะเหมือนชนะแต่ไม่ชนะ แถมอ้าปากพูดอะไรไม่ได้ เพราะไม่ใช่ศัตรูคู่อาฆาตที่ไหนหากเป็นน้องสาวที่รักที่สุด,
(กลุ่ม)คนหลังเริ่มตระหนักชัดเจนจนเริ่มออกปากต่อสาธารณะดังขึ้นแล้วว่าขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปก็ไม่ต้องวาดหวังถึงการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองในระดับโครงสร้างที่เคยดูเหมือนใกล้เข้ามาแล้วอีกต่อไป แม้แต่การหวลคืนสู่บัลลังก์อำนาจหลังโดนโทษตัดสิทธิมา 5 ปีก็แทบมองไม่เห็น คนเดือนตุลา 2 คนในพรรคที่เคยได้รับความเชื่อถือสูงตลอดยุคพี่ชายมีความหมายน้อยลงมากในสายตาน้องสาว กุนซือแม้มีตำแหน่งเหมือนใหญ่ แต่ได้ข่าวว่าก็แค่เหมือน เพราะคณะกุนซือชุดใหม่ใหญ่จริงเริ่มก่อตัวขึ้นบนอีกตึกหนึ่งที่ไม่ใช่ตึกชินฯ ฯลฯ
(กลุ่ม)คนหลังนี้เห็นแต่การเกี้ยเซี๊ยกับอำนาจเก่า และการเติบโตของอำนาจใหม่ล่าสุด
เริ่มมีข้อเสนอว่าด้วยการตั้งพรรคการเมืองใหม่หรือก่อตั้งกลุ่มผลักดันใหม่ที่เป็นอิสระจากพรรคเดิมและจากทั้งพี่ชายและน้องสาว ซึ่งก็เป็นไปได้ยากเต็มที
นี่คือการคลี่คลายปมเก่าไปขมวดปมใหม่ของสถานการณ์แบบไทย ๆ หาที่ไหนไม่ได้ นักวิเคราะห์สถานการณ์ไม่ว่าสำนักไหนแนวคิดใดไม่เคยคาดการณ์มาก่อนล่วงหน้า
นี่คือความไม่ปรานีของอำนาจ ใครลองได้เสพแล้วเป็นติดและไม่อยากเลิก
ไม่ว่าพี่ชาย ไม่ว่าน้องสาวคนสวยหรือน้องสาวอีกคนที่มีอักษรย่อเป็นข่าวเชิงสร้างสรรค์มหัศจรรย์ได้ทุกวัน !!
แต่ชีวิตจริงของคุณทักษิณ ณ ชินวัตรไม่เป็นอย่างนั้น
ยักษ์ที่ออกมาเริ่มเป็นตัวของตัวเอง มีความคิด มีหัวจิตหัวใจ มีความเจ็บปวด
ที่อาจจะไม่ยอมกลับเข้าสู่ตะเกียงวิเศษง่ายๆ !
คุณทักษิณ ชินวัตร และน้องสาวในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อาจมั่นใจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ว่ากระบวนการเกี๊ยะเซี๊ยะกับชนชั้นนำเก่ากำลังเดินหน้าไปอย่างดียิ่ง รอเวลา ราฟืน มุ่งหน้าบริหารประเทศเพื่อให้ผ่านการลงทุนสาธารณูปโภคครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ อีกไม่นานคงถึงฝั่งฝัน ความคิดนี้อาจจะถูกหากปัจจัยที่ถูกโค่นล้มไปเมื่อ 6 ปีก่อนนั้นเป็นฝีมือชนชั้นนำเก่าเป็นหลัก และสาเหตุก็มาจากในช่วงที่ครองอำนาจอยู่ให้ความใส่ใจและสนใจชนชั้นนำเก่าน้อยไป เพียงเท่านั้น
เมื่อรู้เหตุแล้วดับที่เหตุ – ทุกประการก็ไม่น่าจะมีปัญหา??
แต่นั่นแหละจะเป็นปัญหาใหญ่มากในอนาคต เพราะลึก ๆ แล้วเหมือนพี่น้องชินวัตรชินวัตรคู่นี้ไม่เชื่อในพลังมวลชนว่าเมื่อถึงที่สุดแล้วก็มีความคิดเป็นของตัวเอง ไปเชื่อในการบริหารจัดการมวลชนเสียมากกว่า ตลอดระยะเวลา 7 ปีมานี้ มวลชนเข้ามามีส่วนร่วมในความขัดแย้งทางการเมืองสูงมาก การตกบัลลังก์ของคุณทักษิณ ชินวัตรไม่ใช่เรื่องของชนชั้นนำเก่าหรือของพรรคประชาธิปัตย์เป็นหลัก แต่เป็นเรื่องที่เริ่มต้นจากมวลชนกลุ่มหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่กลางปี 2548 ด้วยเหตุผลเฉพาะ แล้วขยายตัวต่อเนื่อง ชนชั้นนำเก่ากับพรรคประชาธิปัตย์จะเข้ามาเป็นแนวร่วมหรือได้ประโยชน์จากผลของการต่อสู้ในภายหลังอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เช่นเดียวกันกับมวลชนอีกหลากหลายกลุ่มที่สนับสนุนตระกูลชินวัตรในการต่อสู้ จำนวนมากมีความคิดเป็นของตัวเอง แม้ว่าจะยอมมาอยู่ในการบริหารจัดการของตระกูลนี้ แต่ก็เพราะเชื่อว่ามันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ไม่ใช่แค่คุณทักษิณ ชินวัตรได้อำนาจได้ทรัพย์สินคืนเท่านั้น แต่จะเป็นหนทางลัดที่ทำให้อำนาจตกมาเป็นของประชาชนจริง ๆ เสียที
การเกี้ยะเซียะกับชนชั้นเก่าเท่านั้นจึงจะไม่ได้แก้ปัญหามวลชนทั้ง 2 ฟากฝั่งให้หมดไป!
มวลชนฟากฝั่งต่อต้านคุณทักษิณ ชินวัตรนั้นเริ่มแตกแขนง แม้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะเดินหน้าหาแผนที่สังคมไทยยุคหลังปฏิรูปมาเป็นตัวแบบในการรณรงค์ จนสรุปได้หลักการปกครอง 15 ประการมาเป็นจุดเริ่มต้นในการรณรงค์ต่อยอด ไม่เอาตัวไปให้ชนชั้นนำเก่าใช้เป็นฐานค้ำยันให้อยู่ในอำนาจต่อไปหากไร้หลักประกันในเรื่องการปฏิรูปประเทศประเทศอย่างจริงจัง ใครจะเกี๊ยะเซี๊ยะกันอย่างไรหรือไม่ก็ช่าง เพียงแต่อย่าละเมิดเงื่อนไข 3 ข้อที่เขาประกาศเป็นเหมือนปฏิญญาในการเกลับมาชุมนุมอีกครั้ง
แต่ก็มีมวลชนอีกหลายกลุ่มหลายที่มาที่เห็นว่าจำเป็นต้องขับไล่รัฐบาลทันที การชุมนุมเบื้องต้นเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2555 คือรูปธรรมการต่อสู้ล่าสุด
ปรากฏการณ์หลายจุดที่สดับมาบ่งบอกว่าขณะนี้แม้คลื่นลมสงบพอสมควร แต่ก็เสมือนเป็นอาการสงบก่อนเกิดพายุใหญ่ หนึ่งในปรากฏการณ์ที่ว่าคือแทบทุกฝ่ายนอกจากจะมีมวลชนจัดตั้งรองรับระดับหนึ่งแล้ว ยังมีการประกอบกำลังในรูปการ์ดกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ไม่เว้นแม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ แต่นั่นก็ไม่น่าตื่นตาตื่นใจเท่าอดีตผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยปีกตรงข้ามรัฐบาลที่เริ่มคัดสรรผู้ปฏิบัติงานหน่วยก้านและจิตใจเข้มข้นมาประกอบกำลังและฝึกปรือเพื่อเตรียมความพร้อมรับทุกสถานการณ์ แอบได้ยินมาว่าจะพร้อมสูงสุดประมาณกุมภาพันธ์ 2556 ไม่รู้จะสอดรับกับห้วงเวลาที่ร่างพ.ร.บ.ปรองดองฯฉบับล้มเลิกคดีคุณทักษิณ ชินวัตรกับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมวาระ 3 ที่ยังคารัฐสภาอยู่จะได้เวลาต้องมีบทสรุปหรือไม่ อย่างไร
ปีหน้า 2556 รัฐบาลจะเผชิญหน้ากับอย่างน้อย 2 เหตุการณ์ที่อาจจะมีโอกาสก่อให้เกิดการจุดชนวนเพื่อนำไปสู่การพลิกผันลักษณ์ใดลักษณ์หนึ่ง หนึ่งคือการตัดสินใจเดินหน้าเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 โดยไม่ทบทวนหลักการเดิมที่ชะลอมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2555 สองคือการตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศคดีปราสาทพระวิหารที่มีผลลบต่อประเทศไทย วันนี้มวลชนเริ่มตื่นรู้มากขึ้นกับกรณีที่ 1 เพราะมีการเคลื่อนไหวให้ข้อมูลมาอย่างต่อเนื่องจากหลากหลายกลุ่ม แม้จะยังไม่มากเท่าที่ควรแก่กรณี ส่วนกรณีที่ 2 ก็ขึ้นอยู่กับระดับแห่งผลลบจากคำพิพากษา และสถานการณ์โดยรวม
มวลชนฟากฝั่งเสื้อแดงแม้จะมีหลายเฉดสี แต่มากเฉดสีล้วนไม่สบายใจกับการเกี้ยะเซียะที่ทำให้การเดินหน้าสร้างระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์ที่เคยประกาศไว้มีอันต้องสะดุดหยุดอยู่กับที่ แถมการเลือกสรรบุคคลมาเป็นรัฐมนตรีสองสามรอบที่ผ่านมาก็ก่อให้เกิดความเจ็บปวดแก่แกนนำมวลชนบางคนครั้งแล้วครั้งเล่า
การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุดที่นายจตุพร พรหมพันธ์วืดตำแหน่งอีกครั้งเห็นได้ชัด
ปลอบใจกันได้ครับว่าเพื่อบรรลุยุทธศาสตร์ใหญ่ ตอนนี้ในทางยุทธวิธีต้องกลืนเลือดไว้ก่อน ราฟืนเอาไว้ รอเวลา เพราะเวลาอยู่ข้างพวกเรา
แต่จะทำอย่างนี้ไปได้นานเท่าไร ?
จากนี้ไป เชื่อว่าความขัดแย้งภายในจะเป็นปัญหาหลักของอำนาจการเมืองค่ายชินวัตร !
ไม่เพียงแต่สายแกนนำมวลชนแดงจะไม่มีความสุข และเริ่มตั้งคำถามตัวโต ๆ ว่าที่สุดแล้วพี่น้องชินวัตรก็แค่นักการเมืองแค่นายทุนการเมืองดาด ๆ ธรรมดา ๆ ที่ไม่ได้มีปณิธานเปลี่ยนบ้านแปลงเมืองในเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่แต่ประการใดเท่านั้น แม้แต่ในหมู่พี่น้องชินวัตรกันเอง หรือแม้แต่ระหว่างคุณทักษิณ ชินวัตร กับคุณน้องสาวคนที่นั่งเมืองในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ใช่ว่าจะเหมือนเดิมไปเสียหมดทุกประการ
คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตรก็เริ่มฉายแววจะเป็นยักษ์นอกตะเกียงวิเศษเหมือนกัน !
เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2555 ผมเขียนในหน้าเฟซบุ๊กของตัวเองไป จนถึงวันนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น ขออนุญาตนำมาลง ณ ที่นี้อีกครั้ง
“เหมือนจะชนะแต่ไม่ชนะ”
สถานการณ์ Dual Command ของอำนาจรัฐวันนี้ สร้างความอึดอัดคับข้องที่สุดให้ 2 (กลุ่ม)คน
คนหนึ่งคือพี่ชายท่านผู้นำ อีก(กลุ่ม)คนหนึ่งคือคนเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์สายอุดมการณ์ รวมทั้งส่วนใหญ่ของนักการเมืองกลุ่ม 111 คนแรกอึดอัดคับข้องตรงที่สู้ทุ่มเทฝ่าอุปสรรคด่านหนักหนาสาหัสชนิดที่ไม่น่าจะผ่านได้มาแล้วแต่ ณ วันนี้กลับเผชิญอุปสรรคขวากหนามใหม่ที่ทำอะไรไม่ได้อย่างใจ อยู่ในสถานะเหมือนชนะแต่ไม่ชนะ แถมอ้าปากพูดอะไรไม่ได้ เพราะไม่ใช่ศัตรูคู่อาฆาตที่ไหนหากเป็นน้องสาวที่รักที่สุด,
(กลุ่ม)คนหลังเริ่มตระหนักชัดเจนจนเริ่มออกปากต่อสาธารณะดังขึ้นแล้วว่าขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปก็ไม่ต้องวาดหวังถึงการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองในระดับโครงสร้างที่เคยดูเหมือนใกล้เข้ามาแล้วอีกต่อไป แม้แต่การหวลคืนสู่บัลลังก์อำนาจหลังโดนโทษตัดสิทธิมา 5 ปีก็แทบมองไม่เห็น คนเดือนตุลา 2 คนในพรรคที่เคยได้รับความเชื่อถือสูงตลอดยุคพี่ชายมีความหมายน้อยลงมากในสายตาน้องสาว กุนซือแม้มีตำแหน่งเหมือนใหญ่ แต่ได้ข่าวว่าก็แค่เหมือน เพราะคณะกุนซือชุดใหม่ใหญ่จริงเริ่มก่อตัวขึ้นบนอีกตึกหนึ่งที่ไม่ใช่ตึกชินฯ ฯลฯ
(กลุ่ม)คนหลังนี้เห็นแต่การเกี้ยเซี๊ยกับอำนาจเก่า และการเติบโตของอำนาจใหม่ล่าสุด
เริ่มมีข้อเสนอว่าด้วยการตั้งพรรคการเมืองใหม่หรือก่อตั้งกลุ่มผลักดันใหม่ที่เป็นอิสระจากพรรคเดิมและจากทั้งพี่ชายและน้องสาว ซึ่งก็เป็นไปได้ยากเต็มที
นี่คือการคลี่คลายปมเก่าไปขมวดปมใหม่ของสถานการณ์แบบไทย ๆ หาที่ไหนไม่ได้ นักวิเคราะห์สถานการณ์ไม่ว่าสำนักไหนแนวคิดใดไม่เคยคาดการณ์มาก่อนล่วงหน้า
นี่คือความไม่ปรานีของอำนาจ ใครลองได้เสพแล้วเป็นติดและไม่อยากเลิก
ไม่ว่าพี่ชาย ไม่ว่าน้องสาวคนสวยหรือน้องสาวอีกคนที่มีอักษรย่อเป็นข่าวเชิงสร้างสรรค์มหัศจรรย์ได้ทุกวัน !!