ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-แม้จะเป็นที่รับรู้ว่า ไม่ว่ารัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรจะปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีสักกี่ครั้ง จะเฉดหัวใครออกไปและมีคำบัญชาให้ใครเข้ามา ก็มิได้มีความสลักสำคัญอะไร แต่ก็ต้องยอมรับเช่นกันว่า การปรับครม.ปู 3 ในครั้งนี้มีความน่าสนใจไม่น้อยเช่นกัน
เนื่องเพราะแต่ละตำแหน่งที่หลุดออกไปและตำแหน่งใหม่ที่ทดแทนเข้ามาสะท้อนความเป็นจริงทางการเมืองได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งรัฐมนตรีที่ทั้งถูกโยกสลับจากเก้าอี้ตัวเดิมให้ไปนั่งเก้าอี้ตัวใหม่ รวมถึงรัฐมนตรีคนเก่าที่ถูกเฉดหัวให้พ้นไปจากวงโคจรแห่งอำนาจและไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้หวนกลับคืนมาสู่เก้าอี้อำมาตย์ได้อีกครั้งหรือไม่
แน่นอน การปรับครม.เที่ยวนี้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเป็นที่ชัดเจนว่า เป็นการประสานงานกันระหว่าง “1เหลี่ยม” และอีก “3 แรงเจ๊” เจ้าของฉายา “เจ๊แรงเงา เจ๊แรงงาบและเจ๊แรงโง่” ที่กุมอำนาจเอาไว้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
สำหรับเก้าอี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษก็คือ เก้าอี้ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย” เพราะปรากฏรายชื่อผู้ท้าชิงมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ท้าชิงคนสำคัญคือ “ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี ที่ออกอาการกระเหี้ยนกระหือรือในเก้าอี้ตัวนี้เป็นพิเศษนับจากการลาออกของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์จากคำสาปของยายเนื่อม ชำนาญชาติศักดาในคดีธรณีสงฆ์อัลไพน์ เพราะเป็นที่คาดหมายว่า เป็ดเหลิมอาจต้องยกเก้าอี้ตัวนี้ให้กับ “พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์” ซึ่งน้องสาวสุดที่รักคือคุณหญิงพจมานผู้เป็นภรรยาของนายใหญ่แห่งดูไบชูรักแร้หนุนสุดขั้ว
แต่ในที่สุดแล้ว โผล่าสุดที่นำขึ้นทูลเกล้าฯ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2555 ที่ผ่านมาผู้ที่เข้าป้ายคว้าพุงปลาไปกินกลับตกเป็นของ “นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” ที่มีเสียงสนับสนุนที่แข็งแรงยิ่งจาก “เจ๊แรงเงา” หรือ “เจ๊กระบังลม” แห่งวังจันทร์ส่องหล้า
ดังนั้น แม้เป็ดเหลิมจะปากแข็งว่า ไม่ผิดหวัง แต่ในทางปฏิบัติแล้ว การแห้วเก้าอี้ มท.1 ในครั้งนี้สร้างความปวดร้าวทางจิตใจให้กับสารวัตรใหญ่แห่งบางบอนไม่น้อยทีเดียว
รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทยแจ้งว่า การขยับมาดำรงตำแหน่ง รมว.มหาดไทยของ นายจารุพงศ์ นั้นเป็นการปูทางที่จะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่จะมีการประชุมและลงคะแนนเลือกในวันที่ 30 ต.ค.นี้ เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรมีความไว้วางใจสูง รวมทั้งนายจารุพงศ์ยังเป็นที่ยอมรับของกลุ่มคนเสื้อแดงอีกด้วย จึงได้ให้นายจารุพงศ์ มาดูแลงานกระทรวงมหาดไทย ที่มีอำนาจในการสั่งการและดูแลพื้นที่ทั่วประเทศได้มากกว่ากระทรวงคมนาคม อีกทั้งเพื่อให้สมฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เช่นเดียวกับที่ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ อดีตหัวหน้าพรรคเคยนั่งเป็น มท.1 มาก่อน
คำถามที่ตามมามีอยู่ว่า ทำไมเจ๊กระบังลมถึงไว้วางใจนายจารุพงศ์เช่นนี้?
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากพิจารณาเส้นทางการเติบโตของนายจารุพงศ์ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาก็คงไม่น่าแปลกใจอะไรนัก เพราะนายจารุพงศ์เป็นข้าราชการเพียงไม่กี่คนที่สามารถย้ายข้ามห้วยได้ถึง 4 หน่วยงาน และการย้ายข้ามห้วยดังกล่าวล้วนเกิดขึ้นในช่วงที่ระบอบทักษิณเรืองอำนาจทั้งสิ้น
กล่าวคือหลังดำรงตำแหน่งรองปลัดกรุงเทพมหานคร(กทม.) ได้ไม่นานนัก ต่อมาในปี 2545 นายจารุพงศ์ได้ย้ายมาเป็น รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตามต่อด้วยปลัดกระทรวงยุติธรรม และปิดฉากชีวิตข้าราชการในเก้าอี้ปลัดกระทรวงแรงงาน
ถามว่า จะมีสักกี่คนที่ทำได้อย่างนายจารุพงศ์
นอกจากนี้ หลังจากเกษียณอายุราชการ นายจารุพงศ์ ได้เข้าร่วมงานการเมืองกับพรรคพลังประชาชน และต่อมาได้ย้ายมาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย จนกระทั่งในการประชุมใหญ่วิสามัญของพรรค ในเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ได้มีมติแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค แทนนายสุพล ฟองงามที่ลาออกไปก่อนหน้านั้น ต่อมาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2555 ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก่อนที่จะได้รับความไว้วางใจให้เป็นทั้งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ส่วนเก้าอี้รัฐมนตรีคมนาคมของนายจารุพงศ์ งานนี้นายใหญ่ไว้วางใจให้ “นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์” อดีตที่ปรึกษาด้านคมนาคมของตนเองเลื่อนชั้นจากรมช.เป็นว่าการเลยทีเดียว
นอกจากนี้ สายเจ๊กระบังลมที่รั้งเก้าอี้รัฐมนตรีหน้าใหม่อีกคนหนึ่งก็คือ “นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร” ที่ขึ้นแท่นเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กล่าวสำหรับ “บิ๊กอ๊อฟ” พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์” อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเพิ่งสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยไปสดๆ ร้อนๆ และได้รับการคาดหมายว่าในการปรับ ครม.ปู 3 พี่ชายของคุณหญิงพจมาน ประมุขหญิงแห่งบ้านจันทร์ส่องเหล้าว่าจะมาดำรงตำแหน่ง “รองนายกรัฐมนตรี” เพื่อกำกับสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น ปรากฏว่า ไม่มีชื่อติดในปรับคณะรัฐมนตรีเที่ยวนี้
ทั้งนี้ รายงานข่าวแจ้งว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ได้ปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งด้วยตนเอง เนื่องจากเกรงว่าจะตกเป็นเป้าโจมตีของฝ่ายตรงข้าม แต่ก็แนวโน้มที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย
สำหรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการก็เป็นไปตามคาดว่า “ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช” สายตรงวังจันทร์ส่องหล้าที่ต้องมีอันเป็นไป เพราะหนึ่ง-ไม่มีใครคบ ไม่มีใครเชียร์ ไม่มีใครสนับสนุนทั้งในพรรคเพื่อไทยและกระทรวงศึกษาธิการ และสอง-ไม่มีผลงานอันโดดเด่นอะไรให้เป็นที่ปรากฏต่อสายตาสาธารณชน โดยรัฐมนตรีคนใหม่ที่เข้ามาแทนก็คือ“นายพงศ์เทพ เทพกาจญนา” อดีตผู้พิพากษาสายตรงนายใหญ่ดูไบ ที่ควบเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่งหนึ่ง
เช่นเดียวกับ นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ ที่มาด้วยแรงหนุนของนายใหญ่และนายหญิงต้องลุกจากเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อยกตำแหน่งให้ “เสี่ยเพ้ง-นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล” สายตรงจากดูไบให้เข้ามาขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พลังงานให้เป็นไปตามความต้องการของนายใหญ่เช่นกัน
และว่ากันว่า งานนี้เสี่ยเพ้งน่าจะควง “บิ๊กไฝ” นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ อดีตผู้ว่าฯ บมจ.ปตท.เข้ามาร่วมงานด้วย
ส่วนคนที่น่าสงสารที่สุดก็หนีไม่พ้น “บิ๊กอ๊อด-พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา” เพราะเป็นที่ชัดแจ้งแล้วว่า นช.ทักษิณมิได้ให้ราคาเลยแม้แต่น้อย เพราะหลังจากผงาดในเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในครม.ปู 1 ก็ถูกลดชั้นมาเป็นรองนายกรัฐมนตรี ก่อนที่จะหลุดจากทุกตำแหน่งใน ครม.ปู 3
เหตุผลสั้นๆ และง่ายๆ ก็คือ บิ๊กอ๊อดไม่สามารถทำตามความปรารถนาของนายใหญ่ได้ในแทบจะทุกๆ เรื่อง
ขณะที่รัฐมนตรีที่รับใช้อย่างสุดลิ่มทิ่มประตูก็ได้รับการปูนบำเหน็จอย่างถ้วนหน้า ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ “อ้ายปึ้ง-นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล” ที่นอกจากเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแล้ว เที่ยวนี้ยังได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย
ด้าน พล.อ.พฤณฑ์ สุวรรณทัต ที่เที่ยวนี้นั่งแทนเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมตามคำบัญชาของนายใหญ่ เพราะต้องไม่ลืมว่า พล.อ.พฤณฑ์คือนักเรียนเตรียมทหาร 10 รุ่นเดียวกับ นช.ทักษิณ
หากยังจำกันได้ พล.อ.พฤณฑ์ผู้นี้เมื่อครั้งผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) ได้ส่งนายทหารเข้ายื่นหนังสือต่อ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้จัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ให้ยุติการพาดพิงถึงตัว พ.ต.ท.ทักษิณและสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยได้บอกว่าจะพาคณะนายทหารเข้าปิดล้อมบ้านพระอาทิตย์ สถานที่ทำการของสื่อในเครือผู้จัดการด้วย
เช่นเดียวกับนายประชา ประสพดี องครักษ์พิทักษ์นายใหญ่ที่เที่ยวนี้ได้รับการปูนบำเหน็จเป็นถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
ขณะที่เก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขก็เข้าทำนอง “สมบัติผลัดกันชม” เพราะรัฐมนตรีหน้าใหม่ที่เข้ามาแทนที่ “นายวิทยา บุรณศิริ” ก็คือ “นพ.ประดิษฐ์ สินธวณรงค์” เพราะปกติหมอประดิษฐ์ก็ทำงานเคียงข้างนายวิทยาในกระทรวงสาธารณสุขมาโดยตลอดอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม กรณีหมอประดิษฐ์นั้น ต้องบอกว่าน่าสนใจยิ่ง เพราะว่ากันว่า เขาคือนายทุนพรรคที่มีความใกล้ชิดกับนายกฯ นกแก้ว ไม่น้อย เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท เดคคอร์มาร์ท จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจนำเข้าผลิตภัณฑ์ตกแต่งบ้านระดับจากต่างประเทศ โดยมีลูกค้าเจ้าประจำอย่างโครงการในเครือเอสซีแอสเซท นอกจากนี้ นพ.ประดิษฐ ยังมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เวนเจอร์ จำกัด ในเครือแสนสิริอีกด้วย
ที่สำคัญคือ ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ หมอประดิษฐ์ยังได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งสำคัญๆอาทิ กรรมการและกรรมการบริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (บอร์ดการบินไทย) และผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์แผนไทย ในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) กระทรวงสาธารณสุข
ชัดเจนยิ่งว่า ผู้ที่ส่งหมอประดิษฐ์เข้าประกวดมิใช้ใครอื่น หากแต่คือ “เจ๊ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะนอกจากจะรู้จักมักจี่กันตั้งแต่ครั้งที่เจ๊ปูเป็นใหญ่ที่เอสซีแอสเซทแล้ว หมอประดิษฐ์ยังมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เวนเจอร์ จำกัด ในเครือแสนสิริอีกด้วย ซึ่งทุกคนย่อมรับรู้ว่าบิ๊กบอสของบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งนี้แนบแน่นกับนายกฯ นกแก้วเพียงใด
สำหรับสายของ “เจ๊ ด.-แรงงาบ” นั้น ต้องบอกว่ายังคงทรงอิทธิพลเหมือนเช่นที่ผ่านมาอย่างไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เช่นนั้นแล้วผู้ที่มีข่าวว่าต้องมีอันเป็นไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่าง “นายบุญทรง เตริยาภิรมย์” คงไม่ยืนหยัดในเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ทั้งๆ ที่เป็นสายล่อฟ้าและสุ่มเสี่ยงต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจเพียงใด
แถมล่าสุดเด็กในคาถา “นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์” อดีต ส.ส.เชียงราย และสมาชิกบ้าน 111 ก็ยังได้ดิบได้ดีเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแทน “นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข” เพิ่มขึ้นอีก 1 ตำแหน่ง
เช่นเดียวกับ “เสี่ยแมว -วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล” น้องรักของเจ๊ ด.ที่ไม่ว่าจะมีการปรับครม.สักกี่ครั้ง ชื่อของเสี่ยแมวก็ไม่เคยหลุดโผ จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการถูกเด้งเข้ากรุไปเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและเที่ยวนี้สามารถกลับมาผงาดในเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอีกครั้ง
ด้าน “เจ๊ติ๋ว-น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เที่ยวนี้ดูเหมือนว่า จะได้แรงหนุนจากทั้ง 3 เจ๊คือ เจ๊กระบังลม เจ๊ปู และอีกหนึ่งเจ๊คือเจ๊หน่อยให้ขยับเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อตอบแทนที่ทำงานหนักให้นายกฯ นกแก้วมาอย่างต่อเนื่อง
แต่ที่ขำไม่หวาดไม่ไหวก็คือ กรณีของ “ตุ๊ดตู่” นายจตุพร พรหมพันธ์ แกนนำคนเสื้อแดงคนสำคัญที่เต็งจ๋ามาตั้งแต่ต้นว่าจะเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อมาตกลงกับนายจตุพร ว่าใครจะได้เป็นรัฐมนตรีเพียงคนเดียวเท่านั้น จนเดอะเต้นต้องออกปฏิเสธเป็นพัลวันว่าไม่เป็นความจริง รวมถึงไม่มีเรื่องโควตาที่ว่า จะมีรัฐมนตรีแกนนำนปช.ได้เพียงตำแหน่งเดียว
ทว่า ท้ายที่สุดความฝันของเดอะคางคกที่ปรารถนาจะขึ้นวอก็ยังไม่เป็นความจริง เพราะข่าวหลายกระแสยืนยันตรงกันว่า งานนี้ นายกฯนกแก้วไม่ปรารถนาที่จะได้มาร่วมคณะรัฐมนตรี แต่ก็มีการปลอบใจอย่างเสียไม่ได้ด้วยการปล่อยข่าวว่า จะมอบตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้
ด้านโควตาพรรคร่วมรัฐบาลที่มีการปรับเปลี่ยน ได้แก่ พรรคชาติไทยพัฒนา นายยุคล ลิ้มแหลมทอง อดีตปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และที่ปรึกษา รมว.เกษตรและสหกรณ์ จะมาดำรงตำแหน่งแทน นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ กลายเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีใหม่เอี่ยมถอดด้ามในครม.ปู 3 ขณะที่ “ลูกยอด-ศิริวัฒน์ ขจรประศาสตร์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ “เสธ.หนั่น-พล.ต.สนั่น ขจรประศาสตร์” ในช่วงแรกมีแนวโน้มว่า อาจสูญเสียเก้าอี้ให้กับ “นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์” จะเข้ามาแทนที่ในโควตาดังกล่าวโดยนายประดิษฐ์จะรั้งเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่โผล่าสุดได้รับคำยืนยันว่า ลูกยอดยังคงเหนียวแน่นอยู่ในเก้าอี้ตัวเดิมโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ขณะที่พรรคพลังชลก็เป็นไปตามความคาดหมาย เพราะ “สามี-นายสนธยา คุณปลื้ม” จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง รมว.วัฒนธรรม แทน “ภรรยา-นางสุกุมล คุณปลื้ม” เช่นเดียวกับพรรคชาติพัฒนาที่จะมีปรับเปลี่ยนตัว รมว.อุตสาหกรรม ที่ ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัฒน์ ดำรงตำแหน่งอยู่เป็น “นายประเสริฐ บุญชัยสุข” ส.ส.จังหวัดนครราชสีมา สายตรงของ “นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ซึ่งก็เป็นไปตามโควตาเดิมและเข้าทำนองสมบัติผลัดกันชม
สำหรับเก้าอี้รัฐมนตรีอื่นที่น่าสนใจก็อย่างเช่น พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก ขยับจาก รมช.คมนาคมเป็น รมช.มหาดไทย นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ นายปลอดประสพ สุรัสวดี ที่หลุดจากเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นรองนายกฯ นายวราเทพ รัตนากร เป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ
เห็นรายชื่อรัฐมนตรีข้างต้นแล้ว คงต้องบอกว่า การเมืองไทยยังคงย่ำอยู่กับ ที่เพราะไม่ว่าจะปรับคณะรัฐมนตรีอีกกี่ครั้ง ก็เป็นเพียงแค่การจัดสรรโควตาเพื่อแบ่งอำนาจและผลประโยชน์ของกลุ่มก๊วนทางการเมือง โดยเป็นแค่เพียง “คณะผู้รับใช้ชุดที่ 3 ” ส่วนประชาชนไม่เคยได้รับประโยชน์เลยแม้แต่น้อย
อ่านเรื่องประกอบ...
1.เบ็ดเสร็จ “เชียงใหม่” ใต้เงา “เจ๊ ด.” หน้า 53
2.ข้าวค้างสต๊อก 12.1 ล้านตัน ส่งออกพินาศ-จีดีพีหด ของขวัญที่ “ปู” ยัดเยียดให้คนไทย