xs
xsm
sm
md
lg

อำนาจประชาชน จงเจริญ !

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

--กระบวนการสร้าง “อำนาจจัดการตนเอง” และ “อำนาจกำหนดประเทศชาติ” ของประชาชน

ข้อเขียนเชิงทฤษฎีนี้ แบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ๆ คือ 1.ที่มาของปัญหาและทางออกของปัญหา และ 2. ว่าด้วย “อำนาจประชาชน”

1.ที่มาของปัญหาและทางออกของปัญหา


ทุกวันนี้ ประเทศไทยเต็มไปด้วยปัญหาและวิกฤติ กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างกว้างขวาง และไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยลงหรือแก้ไขได้อย่างแท้จริงแต่ประการใด ด้วยผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศไม่ว่ามาจากพรรคการเมืองใด จ้องแต่จะผลาญเงินภาษีประชาชน ทั้งเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้แก่พรรคพวกตน และเสริมฐานอำนาจทางการเมืองของตนในระบบรัฐสภาที่ถือเอาคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นใหญ่ ละเลยการสร้างเสริมคุณค่าชีวิตคนไทยอย่างสิ้นเชิง ถึงที่สุดก็กลายเป็นว่า กลุ่มนักการเมืองผู้ใช้อำนาจ นั่นเองคือผู้ก่อปัญหา สร้างปัญหา และเพิ่มปัญหา

จึงพูดได้ว่า พวกเขาเป็น “เหตุแห่งปัญหา” ทั้งหลายทั้งปวง !

แล้วใครจะแก้ไขปัญหาชาติได้ ? ในเมื่อในระบบรัฐสภานี้ อำนาจสูงสุดตกอยู่ในมือนักการเมือง ขณะที่กลไกอำนาจรัฐทั้งทหาร ตำรวจและพลเรือน รวมทั้งส่วนหนึ่งขององค์กรอิสระ ต่างได้สวามิภักดิ์ต่อนักการเมืองผู้ใช้อำนาจอย่างไม่มีเงื่อนไข เพียงเพื่อความอยู่รอด และลาภยศ สรรเสริญ ยินยอมปรับตัวเองเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเหตุแห่งปัญหา

ด้วยเหตุนี้ ณ วันนี้ เราจึงได้ข้อสรุปชัดเจนแล้วว่า ผู้ที่จะแสดงบทบาทเป็น “เจ้าภาพ” แก้ปัญหาชาติ จักเป็นใครอื่นไม่ได้ ต้องเป็นประชาชนเท่านั้น เพราะนักการเมืองเป็นต้นเหตุแห่งปัญหา “ไม่มีสิทธิ์”แก้ปัญหา พวกเขายิ่งแก้ยิ่งโกง กลบเกลื่อนความชั่วและโยนความผิดให้แก่ผู้อื่นรวมทั้งพร้อมเสมอที่จะฉกฉวยโอกาสสร้างเสริมและกระชับอำนาจไว้ในมือตนให้มากที่สุด ปัจจุบันก็เห็นชัดเต็มตาอยู่แล้วว่า พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ในสภาฯและนอกสภาฯ

ฝ่ายนายทหารที่เคยมีประวัติก่อรัฐประหารอยู่บ่อยๆ ปัจจุบันก็ “หมดสภาพ” ไม่อยู่ในฐานะที่จะก้าวขึ้นมาแก้ปัญหาได้ เพราะพวกเขาต่างประกาศตนเป็น “เครื่องมือ” รัฐบาลของกลุ่มการเมืองผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศอย่างฉ้อฉลแล้วอย่างไม่มีเงื่อนไข โดยยกเอากฎกติกาบรรดามีขึ้นมาเป็นข้ออ้าง จึงกลายเป็นภาพปรากฏไปทั่วว่า พวกเขายินดี “หลับหูหลับตา” เดินตามก้นนักการเมือง

ดังนั้น มีแต่ประชาชนเท่านั้น ที่จะเป็นผู้กอบกู้ประเทศชาติ มิให้ล่มจมไปกับปัญหาและวิกฤติต่างๆ ทำการ“ปลดปล่อย”ตนเองให้พ้นจากกรอบอำนาจกำหนดของกลุ่มทุนสามานย์ฯ ที่ตั้งหน้าตั้งตาปล้นชาติปล้นประชาชน โดยใช้ระบบรัฐสภาเป็นเครื่องมือ

จะต้องทำกันอย่างไร ?

ในการแก้ไขปัญหาวิกฤติของชาติของประชาชนครั้งนี้ สำหรับประเทศไทยวันนี้ ไม่อาจแก้ได้ในระบบอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะด้วยช่องทางใดๆ ในการเมืองระบบรัฐสภาที่กำลังเป็นอยู่นี้ เพราะระบบรัฐสภาวันนี้ตกอยู่ในการกำหนดแบบเบ็ดเสร็จของของพรรคการเมืองกลุ่มทุนสามานย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ ที่มีแนวโน้มชัดเจนว่า ต้องการใช้เสียงข้างมากของตนในรัฐสภา ทำการยึดรัฐสภา แล้วตรากฎหมายยึดประเทศในที่สุด

ในความเป็นจริง ปัจจุบันระบบรัฐสภาไทยมีสภาพเป็นระบบ “ปิด” ชัดเจน กีดกันการเข้าไปมีส่วนร่วมจัดการของประชาชนอย่างสิ้นเชิง โดยใช้คำว่า “ผู้แทน” เป็นข้ออ้าง ว่าบรรดาสมาชิกสภาฯล้วนมาจากการเลือกตั้ง เป็นตัวแทนประชาชนอยู่แล้วโดยอัตโนมัติ ซึ่งโดยความจริงแล้ว พวกเขาล้วนแต่เป็นคนของพรรคการเมืองในสังกัดกลุ่มทุนสามานย์ ที่เข้าไปนั่งในสภาฯเพื่อปฏิบัติตนตามแนวกำหนดของกลุ่มทุนฯเจ้าของพรรคอย่างเคร่งครัด ดังนั้น พวก “ส.ส.”เหล่านั้น จึงไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชน แต่เป็นตัวแทนของกลุ่มทุนเจ้าของพรรค ปฏิบัติตนตามเจตนารมณ์ของกลุ่มทุนเจ้าของพรรค

กล่าวได้ว่า ระบบรัฐสภาซึ่งเป็นสถาบันการเมืองของประเทศสมัยใหม่ที่เรียกว่า “รัฐชาติ” ในประเทศไทยได้ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของกลุ่มทุนสามานย์แล้วอย่างเบ็ดเสร็จ หมดสถานภาพของความเป็น “สถาบัน” ทางการเมืองอย่างสิ้นเชิง ต้องถือว่าเป็น “กลไก”ที่ชำรุดแล้ว ใช้ไม่ได้ผลแล้ว

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เราจะต้องทำความเข้าใจใน “ความจริง” ทางประวัติศาสตร์การเมืองของมวลมนุษยชาติ ว่า ระบบรัฐสภาเกิดขึ้นตามความต้องการของชนชั้นนายทุน ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือรองรับการใช้อำนาจของกลุ่มทุน เสริมสร้างอำนาจกลุ่มทุน และรักษาผลประโยชน์กลุ่มทุน กล่าวโดยสรุปก็คือ มันคือระบบการเมืองที่รับใช้ผลประโยชน์ชนชั้นนายทุนเป็นสำคัญ

ด้วยเหตุนี้ การแก้ไขปัญหาวิกฤติชาติของคนไทยครั้งนี้ จึงไม่เพียงแต่ต้องเลิกล้มระบบรัฐสภาที่ “บูดเน่าแล้ว” ด้วยน้ำมือของกลุ่มทุนสามานย์ฯ หากยังต้องปฏิเสธระบบรัฐสภาที่เป็นกลไกขับเคลื่อนกระบวนการปกครองของชนชั้นนายทุนมาหลายศตวรรษแล้วด้วย อีกทั้ง ในยุคปัจจุบันก็กำลังพิสูจน์ชัดยิ่งขึ้นแล้วว่า มันไม่สามารถแก้ไขปัญหาของคนส่วนใหญ่ในสังคมได้อย่างแท้จริง ประชาชนในประเทศต่างๆ พากันรวมตัวกันเคลื่อนไหวเปิดโปง และต่อต้านการใช้อำนาจบริหารประเทศของกลุ่มทุนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมองเห็นว่า กลุ่มทุนใช้ระบบรัฐสภาเป็นเครื่องมือแสวงประโยชน์ เอารัดเอาเปรียบประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ แนวโน้มของการปฏิรูประบบรัฐสภา ให้เป็นสภาของประชาชน ปรากฏชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ

จึงแน่นอนที่สุด สิ่งที่คนไทยต้องเลือก เมื่อตนเองมีอำนาจเลือกได้ จึงต้องเป็นระบบการเมืองที่สอดรับกับผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ และสิ่งนั้นก็คือ “ระบบสภาประชาชน”

แน่ละ ระบบนี้จะปรากฏเป็นจริงได้ ก็ด้วยพลังอำนาจของประชาชนเท่านั้น จะหวังให้ใครมาทำแทนหรือมอบให้ไม่ได้เลย นี่คือ “ความจริง” หรือ “ธรรม” ที่เราต้องเข้าถึง

ด้วยเหตุนี้ การแก้ไขปัญหาชาติโดยประชาชนเป็น “เจ้าภาพ” จึงมีเพียงทางเดียว คือจักต้องสร้างระบบใหม่ขึ้นมาแทนที่ระบบเก่า สร้าง “ระบบสภาประชาชน” ขึ้นแทนที่ “ระบบรัฐสภา” โดยขั้นแรก จะต้องสร้างอำนาจประชาชนขึ้นมา เคลื่อนไหวต่อสู้เอาชนะอำนาจกลุ่มการเมืองในการบังคับของทุนนิยมสามานย์ และขั้นต่อไปประกาศเลิกล้มระบบรัฐสภาที่วนเวียนอยู่แต่กับการเลือกตั้งที่เอาชนะกันได้ด้วยอำนาจเงิน แล้วสถาปนาระบบสภาประชาชน ที่ประชาชนชาวไทยสามารถคัดเลือก “คนของตน” เข้าไปทำหน้าที่ในสภา

สภาประชาชนเป็นองค์กรอำนาจสูงสุดของประเทศไทย เป็นที่มาของรัฐบาลที่ใช้อำนาจบริหารภายในกรอบกฎหมายที่มาจากสภาประชาชน โดยการลงพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ อันเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยประชาชนอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ในครรลองของการเมืองในระบบสภาประชาชนนี้ กลไกอำนาจรัฐทั้งหลายทั้งปวง ล้วนแต่ขับเคลื่อนตัวเองไปในครรลองของกฎหมายที่บัญญัติขึ้นโดยตัวแทนประชาชนในสภาประชาชนทั้งสิ้น

นี่คือนัยสำคัญของความเป็น “นิติรัฐ” ในระบบการเมืองของประชาชน

จะต้องทำแบบไหน ?

ในที่นี้ ผู้เขียนขอเสนอให้ “ทุกฝ่าย” ที่เข้าถึง “ความจริง” เกิดความ “ตื่นรู้” จงรวมตัวกันเข้าเป็น “ขบวนการประชาชนเปลี่ยนแปลง-ปฏิรูป-ปฏิวัติประเทศไทย” ร่วมกันสร้าง “อำนาจประชาชน” ในทุกๆจุดที่ทำได้

2.ว่าด้วย “อำนาจประชาชน”


อำนาจที่เราจะสร้าง(และกำลังสร้าง)นี้ หลักๆ ก็ คือ “อำนาจจัดการตนเอง” ในเรื่องเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับตนโดยตรง และ “อำนาจกำหนด” ในเรื่องร่วมกันระดับสูงขึ้นไป จนถึงระดับชาติ โดย “อำนาจจัดการตนเอง” เป็นฐานรากของ “อำนาจกำหนด”

ทั้งนี้ “อำนาจจัดการตนเอง” ในทุกๆระดับจะมีสองมิติ โดยมิติล่าง เป็นอำนาจจัดการตนเองในเฉพาะเรื่องเฉพาะตน กับมิติบน เป็นอำนาจจัดการตนเองในเรื่องร่วมกัน ที่จะเชื่อมโยงไปถึงกลุ่มอื่น ขยายวงออกไปเรื่อยๆ จนถึงระดับชาติ เป็น “อำนาจกำหนด” สูงสุด

อีกนัยหนึ่ง “อำนาจกำหนด” ของประชาชนนี้มีที่มาจาก “เบื้องล่าง” เป็นอำนาจกำหนดจากเบื้องล่าง สะท้อนอำนาจอธิปไตยสูงสุดจากเบื้องล่าง เป็นรากฐานของระบอบประชาธิปไตยประชาชนอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

การสร้าง “อำนาจกำหนด” ของประชาชน ให้เป็นรากฐานของ “ประชาธิปไตยประชาชน” อย่างแท้จริง จึงต้องเริ่มต้นด้วยการสร้าง “อำนาจจัดการตนเอง”ตั้งแต่ระดับล่างสุดขึ้นมา โดยประชาชนเมื่อรู้จักการใช้อำนาจจัดการเฉพาะเรื่องเฉพาะตนแล้ว ก็ต้องเรียนรู้ที่จะ “จัดการตนเองร่วม” ในระดับสูงที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ซึ่งในการนี้จะต้องพัฒนา “กลไก” ซึ่งก็คือ “สภาประชาชน” ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยหลักการ อำนาจจัดการตนเองเป็นอำนาจสิทธิ์ขาดของประชาชนเจ้าของเรื่องเฉพาะนั้นๆ โดยใช้ระบบ “สภาประชาชน” ในมิติเฉพาะเรื่อง เป็นกลไกขับเคลื่อน ขณะที่อำนาจจัดการในเรื่องร่วมกัน จะต้องเป็นอำนาจร่วมกับกลุ่มอื่น โดยใช้ระบบ “สภาประชาชน” ในมิติเรื่องร่วมกัน เป็นกลไกขับเคลื่อน

โดยพฤตินัย อำนาจนี้จะขยายวงกว้างและซ้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตามการขยายของอำนาจมิติบนจากระดับล่างไปสู่ระดับบนสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับชาติ โดยใช้ช่องทางของ “สภาประชาชน” จาก “สภาประชาชน เฉพาะตัว” เป็น “สภาประชาชนร่วม” และ “สภาประชาชนแห่งชาติ” ในที่สุด

นี่คือกระบวนการสั่งสม “อำนาจกำหนด”ของประชาชน จากล่างสู่บน การแก้ไขปัญหาจะต้องกระทำให้สำเร็จในมิติล่างก่อนเสมอ แล้วจึงขยายขึ้นสู่มิติบน เช่นนี้ ก็จะสามารถสร้างความแข็งแกร่งให้แก่การจัดการตนเองของมวลชนระดับล่างเป็นอันดับแรก หรือก็คือ สร้างความแข็งแกร่งให้แก่สังคมไทยในระดับล่างเป็นอันดับแรก สังคมไทยก็จะกลายเป็นสังคมที่แข็งแกร่งตั้งแต่เบื้องล่างขึ้นมายังส่วนบน และในที่สุดจะทำให้สังคมไทยแข็งแกร่งโดยรวม

นั่นหมายถึงว่า ปัญหาชาติจะแก้ตกไปได้ ก็ด้วยการแก้ไขปัญหาประชาชนให้ตกไปเสียก่อน

นี่คือสิ่งที่เราเรียกว่า “ระบบประชาธิปไตยประชาชน” ที่อำนาจประชาชนอยู่ในฐานะเป็นอำนาจกำหนดความเป็นไปของประเทศชาติ เมื่อประชาชนดีแล้ว ประเทศชาติจึงจะดี

อีกนัยหนึ่ง ประชาชนคือศูนย์กลาง ระดับคุณค่าชีวิตของประชาชนคือตัววัดระดับคุณค่าของสังคม

“กฏ”การสร้างอำนาจของประชาชน


1.สร้างทางปัญญา


2. สร้างทางการจัดตั้ง

1.การสร้างอำนาจประชาชนทางปัญญา


โดยนัยก็คือ การสร้างความตื่นรู้ ให้มวลชนเข้าถึงความจริง (เข้าถึงธรรม) ซึ่งเป็นเนื้อหาหลักของการเคลื่อนไหวต่อสู้ในห้วงแปดปีระหว่างปี 2548-2556 นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

อาจกล่าวได้ว่า กระบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยด้วยอำนาจประชาชน เริ่มต้นอย่างจริงจังในปลายปี 2548 จาก “ปรากฏการณ์สนธิ” ซึ่งมีนัยของการสร้างอำนาจประชาชนทาง “ปัญญา”อย่างชัดเจน

การ “จุดเทียนปัญญา” ด้วยการนำเสนอความจริง และใช้ธรรมนำหน้า นำไปสู่การ “ตื่นรู้” ของมวลชน นับเป็นการสร้างความพร้อมเบื้องต้นของภาคประชาชน ในการรวมตัวกันดำเนินการเคลื่อนไหวขับไล่กลุ่มการเมืองฉ้อฉล รัฐบาลพรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

การก่อตั้ง “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ในต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2549 เป็นการยกระดับครั้งใหญ่ของขบวนการการเมืองภาคประชาชน ยังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล โดยการรัฐประหาร แต่ก็ไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย

การชุมนุมอย่างยืดเยื้อ 193 วันในปี 2551 เป็นมหกรรมทางการเมืองอันยิ่งใหญ่ ในการต่อต้านรัฐบาลหุ่นเชิด ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนำไปสู่การเปลี่ยนขั้วทางการเมือง พรรคประชาธิปัตย์ได้รับอานิสงค์จัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ

การชุมนุม 158 วันในปี 2554 นำไปสู่การรับรู้ครั้งใหญ่ ถึงแก่นแท้ของรัฐบาลที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ ว่าเป็นกลุ่มการเมืองตัวแทนกลุ่มทุนที่มุ่งรักษาผลประโยชน์ของตนยิ่งกว่าผลประโยชน์ของชาติของประชาชน และมีพฤติกรรมฉ้อฉล ทุจริตโกงกินไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากลุ่มการเมืองในสังกัดกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ

จึงได้มีข้อสรุปว่า “พรรคการเมืองตัวแทนกลุ่มทุน” คือปัญหาของชาติ พวกเขาใช้ระบบรัฐสภาเป็นเครื่องมือ ใช้การเลือกตั้งเป็นช่องทาง ผัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าใช้อำนาจบริหารประเทศ มุ่งจัดสรรทรัพยากรของชาติไปในทางที่เอื้อประโยชน์ต่อตนเองเป็นที่ตั้ง

การแก่งแย่งอำนาจภายในระบบรัฐสภา ที่ถือเอาคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นตัวตัดสิน ทำให้พรรคการเมืองดำเนินนโยบาย “ประชานิยม” ซื้อเสียงเลือกตั้ง มีการตั้งงบประมาณใช้จ่ายเกินจริงจำนวนมาก เพื่อเป็น “เงื่อนไข” ให้สามารถเบียดบังเงินงบประมาณ อันเป็นมาตรการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย สร้างภาระหนี้สินสาธารณะและหนี้สินครัวเรือนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและดุลยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างรุนแรง ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ตรงกันข้ามกลุ่มการเมือง กลับเสวยสุขถ้วนหน้า จากการเบียดบังเงินงบประมาณในสัดส่วนที่สูง และจากการใช้อำนาจฉ้อฉล แสวงประโยชน์ส่วนตนอย่างไม่บันยะบันยัง

หน่วยราชการซึ่งเป็น “กลไกรัฐ” ก็มีแนวโน้มที่จะรับใช้อำนาจการเมืองยิ่งกว่าการปฏิบัติราชการอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งหมายถึงการสนองตอบความต้องการของนักการเมืองในทุกๆเรื่อง เมื่อบวกกับการดำเนินนโยบายประชานิยมของพรรคการเมือง เพื่อแย่งชิงพื้นที่คะแนนเสียง รุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะประกอบกันเข้าเป็น “ปัจจัยเร่ง” ให้เกิดวิกฤติรุนแรงยิ่งขึ้น จนยากเกินกว่าที่จะแก้ไขได้

กล่าวโดยรวมแล้ว การใช้อำนาจของพรรคการเมืองตัวแทนกลุ่มทุนฯ ในบริบทของการเลือกตั้งในระบบรัฐสภา ก็คือที่มาของ “เหตุ”แห่งปัญหาและวิกฤติต่างๆ ทั้งที่ปรากฏต่อประเทศชาติ และต่อประชาชน

อีกนัยหนึ่ง มันก็คือ “อำนาจกำหนด” ให้ประเทศไทยเคลื่อนตัวไปสู่ความหายนะ และนำคนไทยส่วนใหญ่ตกสู่ห้วงวิกฤติ เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า

จากนี้ มวลชนตื่นรู้จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้ข้อสรุปตรงกันว่า หมดเวลาแล้ว สำหรับกลุ่มพรรคการเมืองเหล่านี้ ในการใช้อำนาจปู้ยี่ปู้ยำประเทศชาติ และถึงเวลาแล้ว ที่ประชาชนคนไทยทุกภาคส่วน จะต้องรวมตัวกันเข้า สร้างอำนาจของตนเองขึ้นมา แล้วใช้อำนาจของตนเองนี้ เข้า “จัดการ” ประเทศไทย

2.การสร้างอำนาจประชาชนทางการจัดตั้ง


ในที่นี้ จะขอกล่าวถึงบทบาทของสภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย ในฐานะที่เป็นองค์กรร่วมของขบวนการประชาชนเปลี่ยนแปลง-ปฏิรูป-ปฏิวัติประเทศไทย

ภายหลังการประกาศยุติบทบาทของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวันที่ 23 สิงหาคม 2556 เพียงหนึ่งสัปดาห์ ในวันที่ 1 กันยายน ที่ประชุมร่วมองค์กรการเมืองภาคประชาชนจำนวนหนึ่งก็มีมติก่อตั้งสภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย และได้ทำการประชุมใหญ่ขยายวงอีกครั้งในวันที่ 8 กันยายน มีตัวแทนองค์กรต่างๆกว่า 40 องค์กรเข้าร่วมประชุม และมีมติรับรองการก่อตั้ง “สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย2556” (สปท.2556) อย่างเป็นทางการ

ในการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 กันยายน 2556 ได้มีการอ่านคำประกาศของสภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทยด้วยภาษาไทย อังกฤษ จีน และอาหรับ พร้อมกับเปิดแถลงข่าวผ่านสื่อมวลชนจำนวนมาก แนะนำคณะทำงานชั่วคราวของสภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย

ต่อมาในวันที่ 22 กันยายน ได้มีการประชุมคณะทำงานครั้งแรก กำหนดทิศทางการทำงาน ขับเคลื่อนกระบวนการ “สร้างอำนาจจัดการตนเอง” ของประชาชนในทุกๆจุดที่จำเป็น เช่น เกษตรกรสวนยางที่จังหวัด

อีกนัยหนึ่ง สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย กำหนดภารกิจพื้นฐานของตนเองไว้ที่ “ปลดปล่อย” พลังอำนาจของประชาชน จะไปถึงทุกที่ที่ประชาชนกำลังต่อสู้ สนับสนุนให้พวกเขาจัดตั้งกันขึ้นมาเป็น “สภาประชาชน” เพื่อใช้อำนาจของตนเอง จัดการกับปัญหาที่ตนเองเผชิญหน้าอยู่

การมีอำนาจจัดการตัวเอง จะเป็นการพลิกหน้าประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทยและของโลกครั้งใหญ่ เป็นการปูพื้นให้แก่ระบบ “ประชาธิปไตยประชาชนแบบไทย” ที่อำนาจกำหนดมาจากเบื้องล่างอย่างแท้จริง ตั้งแต่เริ่มต้น

มีนัยแห่งการ “ปฏิวัติ” อย่างชัดเจน !

โดยภาพรวม สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย เป็นพัฒนาการต่อเนื่องภายในขบวนการประชาชนเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทย (ผู้เขียนขอเรียกเต็มๆว่า “ขบวนการประชาชนเปลี่ยนแปลง ปฏิรูป ปฏิวัติ ประเทศไทย”) เป็นการรวมตัวกันครั้งประวัติศาสตร์ของกลุ่มองค์กรต่างๆในขบวนการการเมืองภาคประชาชน มีการกำหนดเป้าหมายทางการเมืองอย่างชัดเจนว่า จะต้องกำจัดทุนนิยมสามานย์เผด็จการผูกขาดให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย และสร้างประเทศไทยให้เป็นสังคมที่เป็นธรรมและเป็นสุข

จะทำเช่นนี้ได้สำเร็จ ประชาชนก็ต้องใช้ “อำนาจ”ของตนเอง อำนาจนี้จะไม่มีใคร “มอบให้” หรือ “ทำแทน” มีแต่จะต้อง “สร้าง” ขึ้นมาเอง

บทสรุปเกี่ยวกับสภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย

1.สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย มีสถานภาพเหนือพรรคการเมือง

สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย เป็นองค์กรจัดตั้งของขบวนการประชาชนเปลี่ยนแปลง-ปฏิรูป-ปฏิวัติประเทศไทย ที่จะนำประเทศไทยก้าวพ้นจากวังวนของการเมืองกลุ่มทุน ที่เป็นการเมืองแบบพรรค แข่งขันกันหาเสียงเลือกตั้งเพื่อครองเสียงข้างมากในสภาฯ และจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ

2.สภาประชาชนฯ เป็นเวทีเปิดของประชาชน เป็นองค์ประกอบหลักของการเมืองประชาชน

ประชาชนทุกสาขาอาชีพ ทุกระดับชั้น สามารถส่งตัวแทนของตนเข้าสู่สภาฯแห่งนี้ นำเสนอแนวทางการบริหารจัดการประเทศ บัญญัติกฎหมาย ฯลฯ โดยถือเอาผลประโยน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นตัวตั้ง และร่วมกันลงมติคัดเลือกบุคคลและคณะบุคคลที่เหมาะสมจัดตั้งรัฐบาลใช้อำนาจบริหารประเทศ ตลอดจนการแต่งตั้งคณะตุลาการศาล และคณะผู้บัญชาการเหล่าทัพ ฯลฯ ซึ่งจะสมบูรณ์ได้ด้วยการลงพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ไทย

อีกนัยหนึ่ง สภาประชาชนฯ เป็นกลไกอำนาจของประชาชน ที่อยู่เหนือพรรคการเมืองใดๆ แสดงบทบาทยิ่งกว่าพรรคการเมืองใดๆ

ด้วยเหตุนี้ ในระบอบประชาธิปไตยประชาชนที่เป็นการเมืองของประชาชน จึงไม่จำเป็นต้องมีพรรคการเมือง แต่มีองค์กรจัดตั้งทางการเมืองที่เป็นเครื่องมือของประชาชนก็คือ “สภาประชาชน”ในทุกแห่งหนของประเทศไทย

3.สภาประชาชนฯเป็นที่รวมของ “นักเปลี่ยนแปลง-ปฏิรูป-ปฏิวัติ” ที่พร้อมอุทิศตัวให้แก่ภารกิจส่วนรวม สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศชาติ สร้างความเป็นธรรมให้เกิดแก่สังคม ซึ่งทั้งหมดนั้นก็เพื่อสร้างชีวิตที่ดีให้แก่คนไทยโดยรวม

บุคลากรชั้นเลิศของประชาชนเหล่านี้ จักยึดมั่นในการ “ปฏิบัติ 3 ธรรม” เป็นผู้ “กล้าหาญ” ในการเข้าถึงความจริง นำเสนอความจริง ปรับแนวคิดชี้นำการปฏิบัติอย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง และสามารถสร้างนวัตกรรมและผลงานยอดเยี่ยมในท่ามกลางการปฏิบัติของมวลชนอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

ท่วงทำนองในการทำงานของพวกเขา จักต้อง “ถูกต้อง-ทุ่มเท-พอเหมาะ-เกิดผลจริง” เลือกทำแต่ในสิ่งที่ถูกต้อง และทำเต็มที่ สุดกำลัง ทำอย่างทุ่มเท ไม่ขยักขย่อน ขณะที่รู้จักทำให้ทุกอย่างดำเนินไปได้อย่างพอเหมาะพอสม หรือ “พอดี” ไม่เลยเถิด หลงทาง สุดโต่ง เพื่อเป็นหลักประกันให้เกิดผลดีสูงสุดในทุกสิ่งที่ตนรับผิดชอบ

อีกนัยหนึ่ง จะทำทุกสิ่งทุกอย่างบนพื้นฐานของความเป็นจริง ปรับแนวคิดชี้นำไปตามสภาพเป็นจริง และดำเนินการทุกอย่างตามสภาพเป็นจริงเสมอ ถือเอา “ความเป็นจริง” เป็นตัวตั้ง มิใช่ถือเอา “ตัวกู” เป็นตัวตั้ง ไม่ดื้อดึง ไม่อหังการ โอ้อวด หยิ่งยะโส ฯลฯ

บุคลากรดีเลิศของประชาชน จักต้องเป็นผู้ที่มวลชนรัก เชื่อมั่น และพร้อมที่จะ “ร่วมหัวจมท้าย” ด้วยในทุกๆเรื่องที่จะต้องทำให้สำเร็จ

สรุปคือ สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย เป็นอีกขั้นหนึ่งของพัฒนาการ ขบวนการประชาชนเปลี่ยนแปลง-ปฏิรูป-ปฏิวัติประเทศไทย เป็นอีกรูปธรรมหนึ่งของ “กฎ”การสร้างอำนาจประชาชน ให้เป็น “อำนาจกำหนด” ทิศทางอนาคตของประเทศไทย

อำนาจกำหนดของประชาชนนี้ ก็คือ เครื่องมือของประชาชน ในการ “เปลี่ยนแปลง-ปฏิรูป-ปฏิวัติ” ประเทศไทย

ในขั้นที่ผ่านมา ภารกิจพื้นฐาน ที่เป็น “หัวใจ” ของการเคลื่อนไหว ก็คือการสร้าง “อำนาจกำหนด”ด้วยการ “จุดเทียนปัญญา” ชนชั้นสูงและกลางที่ยึดมั่นใน “ธรรม” ความถูกต้อง พากัน “ตื่นรู้” ประกอบกันเข้าเป็น “กองทัพมวลชนตื่นรู้” ดำเนิน “สงครามมวลชน” นำไปสู่การ “ลุกฮือ” ขึ้นของ “พลังเงียบ” ที่ทนไม่ไหวต่อการทรยศชาติของกลุ่มนักการเมืองสังกัดกลุ่มทุนสามานย์ โดยเฉพาะกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ ที่รุกคืบกลืนกินประเทศไทย

มาถึงขั้นนี้ ขบวนการประชาชนฯ ได้ยกระดับครั้งใหญ่ เมื่อสามารถก่อตั้ง “สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย” เพื่อทำการ “จัดตั้ง” มวลชนทุกระดับ โดยเฉพาะระดับล่างที่กำลังเผชิญกับวิกฤติร้ายแรงทางด้านการประกอบอาชีพ ซ้ำถูกกลไกอำนาจรัฐรังแก

การจัดตั้งมวลชนระดับล่างทั่วทั้งประเทศ จะนำไปสู่การยกระดับการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่การปฏิวัติแบบ “ค่อยเป็นค่อยไป” ทีละด้านๆ ตามความจำเป็นและความเรียกร้องต้องการของมวลชนระดับล่าง

นั่นหมายถึงว่า การจัดตั้งมวลชนทุกแห่ง จะมีผลตรงกันคือ มวลชนจะได้รับการปลดปล่อย และ“ระเบิด”พลังอำนาจภายในของตนเองออกมา ในรูปของ “อำนาจจัดการตนเอง”

อำนาจจัดการตนเองของมวลชนแต่ละกลุ่ม ในที่สุด จะประกอบกันเข้าเป็น “อำนาจถาวร” ของขบวนการประชาชนฯ

โดยนัยนี้ การจัดตั้งมวลชนระดับล่างทั่วประเทศ ก็คือกระบวนการ “สถาปนาอำนาจถาวร” ของประชาชนขึ้นมาบนผืนแผ่นดินไทย

อำนาจนี้จะเป็น “อำนาจกำหนด” ขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลง-ปฏิรูป-ปฏิวัติประเทศไทย อย่างยั่งยืน ทั้งในห้วงก่อนและหลังการใช้อำนาจบริหารของรัฐบาลประชาชน !
กำลังโหลดความคิดเห็น