xs
xsm
sm
md
lg

ม็อบสวนยางรีเทิร์น ย้ำจุดเสี่ยงรัฐบาลพัง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รายงานการเมือง

เหมือนจะจบแต่ไม่จบ เมื่อจู่ๆ “ม็อบสวนยาง” ออกมาเคลื่อนไหวปิดถนนสาย 41 ทั้งขาขึ้นและขาล่อง บริเวณบ้านเตาปูน อ.จุฬาภรณ์ และสี่แยกควนหนองหงษ์ หมู่ 2 ต.ควนหนองหงษ์ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์เดิมอีกครั้งหนึ่ง

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ข่าวออกมาว่า “ชาวสวนยาง” พอใจที่รัฐบาลที่จะเพิ่มการช่วยเหลือปัจจัยการผลิตจาก 1,260 บาทต่อไร่ เป็น 2,520 บาทต่อไร่ แต่ไม่เกิน 25 ไร่ โดยใช้งบประมาณราว 2.12 หมื่นล้านบาทเมื่อสัปดาห์ก่อน

เมื่อคำนวณฐานมาตรการช่วยเหลือปัจจัยการผลิตตกต่อไร่ต่อปริมาณยางต่อกิโลกรัมแล้วอยู่ที่ 12 บาท เมื่อรวมกับราคายางในปัจจุบันอยู่ประมาณ 78-80 บาท การช่วยเหลือจะอยู่ในระดับ 90 บาท ซึ่งอยู่ในระดับที่ “ม็อบสวนยาง” พอรับได้ เพราะเอาเข้าจริงเป้าหมายการออกมาเรียกร้องนั้นอยู่ที่ 100-120 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นตัวเลขที่รัฐบาลรับไม่ได้

อย่างไรก็ตาม “ม็อบสวนยาง” ที่ว่าจะจบ แต่ไม่จบก็เพราะมาจับได้ไล่ทันว่า “รัฐบาล” ไม่ยอมทำตามข้อเสนอทั้งหมด

ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 กันยายน ฝ่ายรัฐบาลส่ง “บิ๊กเฟื่อง-พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง” รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการแก้ไขปัญหายางพารา ลงไปประชุมร่วมกับแกนนำภาคีเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางพารา และปาล์มน้ำมัน 14 จังหวัดภาคใต้ บวกกับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี รวม 16 จังหวัด ที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช ตามที่ทางเครือข่ายชาวสวนยางได้นัดหมายไว้

และแรกเริ่มเดิมทีต้องการให้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ลงไปด้วยตัวเองด้วยซ้ำ แต่เมื่อบรรยากาศเย็นลงก็ไม่ได้ติดใจ

ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลก็ไม่ได้ไปในฐานะ “เบี้ยล่าง” ที่จะยอมทุกอย่างตามที่เรียกร้องกันมา เพราะมีเป้าหมายสูงสุดให้ “แกนนำภาคีเครือข่าย” ทั้งหมด ลงนามใน “เอ็มโอยู” หรือบันทึกข้อตกลงร่วมกัน

โดยคาดหวังจะชิงโอกาสหักคอให้ “แกนนำภาคีเครือข่าย” ทั้งหมดลงนามใน “เอ็มโอยู” ที่ว่า เพื่อรับรู้ร่วมกันว่าทุกคนต้องทำตามข้อตกลง ทุกอย่างจึงจะ “จบ”

ปฏิบัติการของ “บิ๊กเฟื่อง” เกือบสลับขาหลอก “แกนนำภาคีเครือข่าย” ได้สำเร็จ สามารถล็อบบี้แกนนำในส่วน “ภาคใต้ตอนล่าง” ซึ่งประกอบด้วย นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ยอมเซ็นลงนามแล้ว

แต่ฟ้ามีตาที่แกนนำ 11 จังหวัด “ภาคใต้ตอนบน” ไหวตัวทัน เกรงว่า “รัฐบาล” จะไม่ทำตามที่ได้ “สัญญา” เอาไว้!!!

โดยเฉพาะข้อเสนอของ “ภาคีเครือข่าย” ที่ขอให้รัฐบาลต้องไม่ดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญากับแกนนำและผู้ชุมนุมทั่วประเทศ และต้องเยียวยาและจ่ายค่าชดเชยให้ผู้ได้รับบาดเจ็บและได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม

ทำให้ภายหลังการประชุม “ศักดิ์สฤษดิ์ ศรีประศาสตร์” ผู้ประสานงานเครือข่ายฝั่งอันดามัน ชิงประกาศตัดหน้าว่า ไม่สามารถลงนามด้วยได้ เนื่องจากไม่มั่นใจในตัวของผู้แทนรัฐบาล ว่าจะดำเนินการแก้ไขปัญหาได้ และยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนในเรื่องของเอกสารสิทธิต่างๆ

ที่สำคัญ “แกนนำภาคีเครือข่าย” ต้องการให้รัฐบาลแสดงความจริงในการแก้ไขปัญหาด้วยการส่งผู้ที่มี “อำนาจ” ในการตัดสินใจ ที่มากกว่า “พล.ต.ต.ธวัช” ไม่ว่าจะเป็นตัว “นายกฯยิ่งลักษณ์” เอง หรือจะเป็น “บิ๊กผิว-พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก” รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหายางพารา มาดำเนินการด้วยตัวเอง

เพราะใครจะรู้ว่าหาก “แกนนำภาคเครือข่าย” เผลอเซ็น “เอ็มโอยู” ไปตามที่รัฐบาลต้องการแล้ว ข้อเรียกร้องเกี่ยวกับคดีความ และการเยียวยากลุ่มผู้ชุมนุมจะได้รับการตอบสนอง โดยเฉพาะการดำเนินคดีเกี่ยวกับการชุมนุม ที่เชื่อลึกๆว่า รัฐบาลต้องเอาจริงเพื่อ “เชือดไก่ให้ลิงดู” ไม่ให้เป็นโมเดลให้พื้นที่อื่น หรือประเด็นเรียกร้องอื่นๆ

สั่งสอนให้เห็นกันไปเลยว่าอย่ามาหือมาอือกับ “รัฐบาลเพื่อไทย” มากนัก

เพราะฝ่ายรัฐบาลก็คงประเมินไว้ว่า หากยอมปล่อยตัวผู้กระทำความผิดจากการชุมนุมของ “ม็อบสวนยาง” จะทำให้ “ผู้เรียกร้อง” กลุ่มอื่นนำมาเป็นตัวอย่างก่อเหตุความรุนแรง แล้วยื่นเงื่อนไขให้ปล่อยตัวทีหลังตามมาอีก ซึ่งจะส่งผลเสียต่อรัฐบาลเอง

หมากนี้ต้องบอกว่า “รัฐบาล-ม็อบสวนยาง” รู้ทันกัน ฝ่ายหนึ่งส่งเพียงคนระดับรองเลขาฯนายกฯมาในฐานะ “ผู้ประสานงาน” ที่ไม่มีอำนาจตัดสินใจ ขณะที่อีกฝ่ายก็เรียกร้องให้ “ผู้มีอำนาจ” มาลงนามข้อตกลงด้วยตัวเองเท่านั้น

โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาลที่เมื่อเห็นว่ามี “ม็อบสวนยาง” เริ่มมีท่าทียอมรับมาตรการเยียวยาบางส่วน ก็ดูจะ “ทิ้งทุ่น” ไม่สนใจเข้าไปแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ทั้งที่ก่อนหน้านี้รีบเร่งส่งทีม 5 เสนาบดีลงพื้นที่ไปเจรจา แต่เมื่อชาวบ้านโอนอ่อนก็หวังจะ “ลักไก่” รวบรัดตัดความ

เมื่อถึงจุดนี้ฝ่ายเครือข่ายชาวสวนยาง สมทบด้วยชาวสวนปาล์มก็ชิงจังหวะ “บลัฟ” ข้อเสนอไปสู่จุดเริ่มต้น และเลือกยึดจุดยุทธศาสตร์ “แยกควนหนองหงษ์” หวังกดดันรัฐบาลอีกระลอก พร้อมทั้งออกแถลงการณ์ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นข้อเรียกร้องที่ “เกินรับได้” ของฝ่ายรัฐบาล

โดยเนื้อหาแถลงการณ์ฉบับที่ 1 ระบุว่า “เนื่องจากก่อนหน้านี้ ได้มีการชุมนุมปิดถนนบริเวณบ้านเตาตูล และแยกควนหนองหงษ์ อ.ชะอวด เรียกร้องราคายางพารา แต่ไม่มีการตอบรับใดๆ ที่เป็นน่าพอใจจากรัฐบาล จึงได้มีการปิดถนนที่บริเวณบ้านเตาปูนอีกครั้ง เพื่อยื่นข้อเสนอดังนี้ 1. ราคาแผ่นดิบ 120 บาท 2. ปาล์มทะลาย 7 บาท 3. ให้นายกรัฐมนตรีเข้าประชุมสภาทุกครั้ง”

อีกทั้งยังยื่นคำขาดอีกด้วยว่า “หากไม่ได้ตามข้อเรียกร้องจะปิดถนนปักหลักชุมนุมต่อไปเรื่อยๆ โดยจะไม่มีการเจรจาที่ไหนโดยเด็ดขาด ถ้ามีการเจรจาให้มาเจรจาต่อหน้าผู้ชุมนุมที่ตรงนี้”

เป็นคำขู่ที่ “เขย่าขวัญ” รัฐบาลอีกครั้ง โดยเฉพาะ “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ซึ่งต้องออกหน้ารับศึกแทน “คุณหนูปู” ที่จำเป็นต้องทบทวนว่าจะงัดไม้ไหนมารับมือศึกระลอกสองที่มาแบบติดๆกันเช่นนี้

และก็แทบไม่ต้องเดา เมื่อฝ่ายรัฐบาลที่มีอำนาจอยู่ในมืองัด “ไม้แข็ง” มาใช้ทันทีเมื่อมีการชุมนุม ซึ่งก็เป็นสาเหตุให้มีการกระทบกระทั่งกันตลอดเวลา จนพื้นที่ชุมนุมถูกขนานนามว่าเป็น “สมรภูมิควนหนองหงษ์” มีการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ที่หวังเข้าสลายม็อบ

มีการระดมกำลังพลกนับพันนาย ใช้ทั้งแก๊สน้ำตา และการยิงปืนข่มขู่ ทำให้มีผู้บาดเจ็บหลายราย ทั้งที่เป็นมาตรการเกือบจะสูงสุดของการสลายการชุมนุม

รวมทั้งการสร้างสถานกาณณ์ทุบ-เผารถตำรวจ คล้ายจะต้องการให้สถานการณ์บานปลายหนักขึ้นไปเรื่อยๆ

ขณะที่ “ส่วนกลาง” ที่ กทม.ก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะพิจารณาทบทวน หรือทำความเข้าใจให้เกิดความชัดเจนกับ “ม็อบสวนยาง” แม้แต่น้อย มีเพียงการออกมาใช้วิธี “ป้ายสี” อย่างเคยว่าผู้ชุมนุมไม่ใช่เกษตรกรตัวจริงบ้าง หรือมีกลุ่มการเมืองหนุนหลังอยู่บ้าง

ตามจังหวะที่ “เอแบคโพลล์” ออกมาเปิดเผยดัชนีความเสี่ยงของรัฐบาลพุ่งขึ้นสูง สืบเนื่องมากจาก “ม็อบสวนยาง” กำลังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สุดอยู่ที่ 8.80 คะแนน จากเต็ม 10 คะแนน

สะท้อนให้เห็นว่าหาก “รัฐบาล” ยังเลือกบริหารจัดการ “ม็อบสวนยาง” แบบไม่ได้สนใจหรือให้ความสำคัญมากนัก

จาก “ม็อบสวนยาง” เรียกร้องความช่วยเหลือ อาจแปรสภาพเป็น “ม็อบคว่ำรัฐบาล” ได้ไม่ยาก
กำลังโหลดความคิดเห็น