xs
xsm
sm
md
lg

ยุคแห่งอำนาจและความรุ่งเรืองของทุนสามานย์กำลังอวสาน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

นักการเมืองทุนสามานย์มีอิทธิพลในการครอบงำสังคมไทยมาอย่างยาวนาน ประชาชนไทยต่อสู้กับทุนสามานย์หลายครั้งหลายหน บางครั้งดูเหมือนว่าทุนสามานย์จะชนะ แต่นั่นเป็นเพียงปรากฎการณ์ของเปลวเทียนที่ใกล้มอดดับ ซึ่งมักจะลุกโชนขึ้นมาชั่วขณะ และดับไปในท้ายที่สุด

ในปลายพุทธศักราชที่ 2555 ภาคประชาชนในนาม องค์การพิทักษ์สยาม ก็ได้ลุกขึ้นมาต่อกรกับนักการเมืองทุนสามานย์อีกครั้ง ไม่ว่าผลการต่อสู้ของกลุ่มนี้จะประสบชัยชนะอย่างเด็ดขาดต่อนักการเมืองทุนสามานย์หรือไม่เด็ดขาดก็ตาม แต่ผลพวงของการต่อสู้จักเป็นการสะสมพลังเชิงพลวัตรให้กับภาคประชาชนกลุ่มอื่นๆได้ขับเคลื่อนการต่อสู้ จนกว่านักการเมืองทุนสามานย์จะตกจากเวทีประวัติศาสตร์ของสังคมไทยในอนาคตอันใกล้นี้

การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามทำให้นักการเมืองทุนสามานย์ภายใต้ระบอบทักษิณและรัฐบาลหุ่นเชิดยิ่งลักษณ์เกิดอาการแตกตื่น ลนลานและหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง จนต้องสั่งให้กลไกในเครือข่ายอำนาจทุกระดับออกมาตอบโต้และสกัดกั้นการชุมนุมอย่างเป็นกระบวนการ คำถามคือมีองค์ประกอบใดบ้างของการชุมนุมที่ส่งพลังจนทำให้รัฐบาลหุ่นเชิดเกิดภาวะประดุจนาวาที่กำลังจะล่มจมลงสู่ทะเลขึ้นมา

ลองพิจารณาเหตุผลที่ขององค์การพิทักษ์สยามหยิบยกขึ้นมาใช้ในการชุมนุมขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งมีสามประเด็นใหญ่ คือ 1) การปล่อยให้มีการจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ 2) การเป็นรัฐบาลหุ่นเชิดของ นช. ทักษิณ ชินวัตร และ 3) การทุจริตคอรัปชั่น

ทำไมรัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงปล่อยให้การจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์แพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวาง คำถามนี้ตอบไม่ยาก

ประการแรก ผู้บงการรัฐบาลนี้เคยประสบปัญหาไม่สามารถใช้อำนาจบาทใหญ่ตามอำเภอใจเมื่อคราวที่ตนเองมีอำนาจ จึงทำให้เกิดความรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมา และประสงค์จะล้มล้างไม่ให้เป็นอุปสรรคในการใช้อำนาจของตนเองอีกต่อไป เมื่อผู้บงการประสงค์เช่นนี้ผู้ที่อยู่ภายใต้การบงการก็ย่อมปฏิบัติตาม ประการที่สอง ผู้ลงมือปฏิบัติการจาบจ้วงสถาบันล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มบุคคลในเครือข่ายแกนนำพรรคลัทธิแดงทั้งสิ้น มีการปฏิบัติการเชิงสัญลักษณ์ ใส่ร้ายป้ายสี และหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อในวาทกรรมที่ตนเองสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการทำลายสถาบัน เช่น ใช้คำเชิงสัญลักษณ์เพื่อบิดเบือนความจริงเกี่ยวการชุมนุมเผาเมืองของพรรคลัทธิแดงว่า “ลุงสั่งฆ่า ป้าสั่งยิง” เป็นต้น คำเหล่านี้มีความหมายเชิงสัญลักษณ์อันเป็นที่รับรู้ในหมู่ของมวลชนลัทธิแดงว่าหมายถึงใคร

เมื่อการจาบจ้างล่วงละเมิดเป็นเจตนารมณ์ของผู้บงการ และถูกนำไปปฏิบัติโดยเหล่าแกนนำลัทธิแดง อันเป็นเนื้อเดียวกับรัฐบาลแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใดว่า ทำไมรัฐบาลนี้จึงปล่อยให้การกระทำแบบนี้แพร่ระบาดไปอย่างกว้างขวาง

สำหรับสื่อมวลชนที่เกาะติดและนำเรื่องราวการจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันออกมาเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปที่ไม่ใช่สาวกของลัทธิแดงทราบมากที่สุดก็คือ สำนักข่าว T-news ซึ่งนอกจากจะเป็นสำนักข่าวที่เผยแพร่การกระทำของลัทธิแดงแล้ว ยังเป็นแกนในการจัดตั้งองค์การภาคประชาชนเพื่อปกป้องพิทักษ์สถาบันด้วย และในการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม สำนักข่าว T-news ก็เป็นสื่อหลักของการนำเสนอข่าวการชุมนุม และชักชวนระดมผู้คนเข้าร่วมการชุมนุมอย่างต่อเนื่อง

การปฏิบัติงานของสำนักข่าว T-news ร่วมกับกลุ่มปกป้องพิทักษ์สถาบัน ทำให้ประชาชนผู้จงรักภักดีต่อสถาบันจำนวนมากผู้ไม่เคยรับรู้ความจริงในเรื่องนี้มาก่อน ได้ทราบข่าวสารเกี่ยวกับพฤติกรรมของรัฐบาลนี้ และเกิดความรู้สึกทนรัฐบาลไม่ได้ขึ้นมาอย่างรุนแรง แม้กระทั่งมวลชนเสื้อแดงบางกลุ่มที่แม้ว่าใจหนึ่งจะชอบผู้บงการรัฐบาล แต่เมื่อทราบความจริงในเรื่องนี้ พวกเขาก็ชั่งน้ำหนักจากข้อมูลต่างๆที่ ตนเองได้รับ ปรากฏว่ามีมวลชนเสื้อแดงจำนวนมากเสียใจกับพฤติกรรมของตนเองในอดีต และกลับใจออกมาเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลด้วย

ยิ่งกว่านั้นประชาชนในกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยซึ่งรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเป็นอย่างดี ก็เข้าร่วมการชุมนุมภายใต้เหตุผลนี้เป็นจำนวนมาก ดังนั้นเฉพาะประชาชนหลากหลายกลุ่มที่เข้าร่วมชุมนุมภายใต้เหตุผลเพื่อยับยั้งการจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันก็มีจำนวนมหาศาลแล้ว

เหตุผลประการที่สอง การเป็นรัฐบาลหุ่นเชิดของ นช. ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งทำให้รัฐบาลประกอบด้วยบุคคลในเครือข่ายตระกูลชินวัตร และ “ขี้ข้าทักษิณ” นายกรัฐมนตรีของรัฐบาลนี้คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ น้องสาวทางกฎหมายของนช.ทักษิณ เป็นบุคคลที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อมวลชนว่าเป็น “นายกฯนกแก้ว” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สื่อความหมายถึงความจำกัดของสติปัญญา เธอผู้นี้มีความสามารถเพียงเลียนแบบถ้อยคำและเปล่งเสียงออกมาตามที่ถูกกำหนดให้ทำ โดยมิได้เข้าใจต่อความหมายของสิ่งนั้นแต่อย่างใด

การที่ นช. ทักษิณ กำหนดให้ บุคคลเช่นนี้เป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศไทย จึงถูกตีความว่าเป็นการดูถูกคนไทยทั้งประเทศ ประกอบกับพฤติกรรมความผิดพลาดที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แสดงออกมาทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศในเวทีนานาชาติหลายครั้งหลายครา ประชาชนคนไทยหากตาไม่บอด หูไม่หนวก ย่อมสามารถประเมินได้ว่า เธอผู้นี้มีสติปัญญาอยู่ในระดับใด

นอกจากไร้ซึ่งปัญญาความสามารถในการบริหารประเทศแล้ว บุคคลผู้นี้ยังได้แสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสมในสถานภาพความเป็นผู้นำของประเทศไทย เมื่อคราวนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐมาเยือนประเทศไทย ปรากฏว่าเธอได้ส่งสายตาอันหยาดเยิ้ม กิริยา และท่วงท่าเชิงชู้สาวในลักษณะที่เชิญชวนต่อนายโอบามา จนกลายเป็นข่าวดังในระดับโลก หนังสือพิมพ์ต่างประเทศหลายประเทศ เช่น อังกฤษ จีน นำภาพที่แสดงกิริยาไม่เหมาะสมของเธอกระจายไปทั่วโลก และนำไปเขียนในทำนองว่าเธออยากเป็นภรรยาคนที่สองของนายโอบามา เรื่องราวที่เธอทำนอกจากจะสร้างความเสื่อมเสียแก่ประเทศไทยโดยรวมแล้ว ยังเป็นการสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของสตรีไทยอย่างรุนแรงอีกด้วย และเหตุการณ์นี้ก็เป็นการบ่งชี้อย่างชัดเจนว่า การบงการของ นช. ทักษิณ ที่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกฯ เป็นการดูถูกคนไทย และเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของความเป็นคนไทยทั้งประเทศ

และที่สำคัญอีกประการคือ นช.ทักษิณ ชินวัตร ยังได้นำ “ขี้ข้า” ของตนเองอย่าง เฉลิม อยู่บำรุง มาเป็นรองนายกฯ การเอาคนระดับ “ขี้ข้า” ที่มี กาย วาจา และใจ ต่ำทรามมานั่งตำแหน่งสำคัญของประเทศนับว่าเป็นการดูถูกคนไทยอย่างถึงที่สุด และพฤติกรรมของบุคคลนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณะว่า กระทำตัวได้สมกับคำว่า “ขี้ข้า” อย่างแท้จริง

ในด้านนโยบายการบริหารประเทศ นช. ทักษิณ ยังได้บงการให้รัฐบาลหุ่นเชิดของตนเองใช้นโยบายประชานิยมเพื่อทำลายล้างระบบเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างถึงรากถึงโคน อย่างเช่น นโยบายจำนำข้าว ได้ทำลายระบบการค้าข้าว ทำลายการผลิตและการส่งออกข้าว จนทำให้ประเทศไทยซึ่งมีข้าวคุณภาพดีที่สุดในโลกและส่งข้าวออกไปขายได้มากที่สุดในโลก กลายเป็นประเทศที่มีข้าวคุณภาพแย่ลงและ และลำดับการส่งออกก็ลดลงจากที่หนึ่งกลายเป็นที่สาม

นี่ยังไม่นับนโยบายประชานิยมอื่นๆ ที่ทำลายทั้งคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อมของชาวกรุงเทพฯ ทำลายความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดีงาม สร้างหนี้สินแก่ประชาชน ทำคนให้กลายเป็นทาสเรือนเบี้ย สมคบประเทศสหรัฐอเมริกาชักศึกเข้าบ้าน ร่วมกับบริษัทเชฟรอนกอบโกยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ อันเป็นสมบัติของคนไทยทั้งประเทศ และทำลายระบบเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองโดยรวม

เมื่อรัฐบาลหุ่นเชิดสร้างความเสียหายแก่ประเทศอย่างแสนสาหัสเช่นนี้ ประชาชนจำนวนมากที่ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด ก็ย่อมเกิดความรู้สึกทนไม่ได้ต่อสิ่งที่รัฐบาลและผู้บงการกระทำ พวกเขาจึงออกมาเข้าร่วมขับไล่รัฐบาลนี้ออกไป คนกลุ่มนี้ก็มีกลายกลุ่ม เช่น กลุ่มเกษตรกรที่เดือดร้อนจากราคาพืชผลตกต่ำ กลุ่มผู้รับผลกระทบจากโครงการทำลายล้างทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กลุ่มชนชั้น กลางที่อยู่ในเมือง กลุ่มสตรีไทยผู้รักศักดิ์ศรี เป็นต้น กลุ่มเหล่านี้บางกลุ่มอาจเป็นกลุ่มเก่าที่เคยจัดการกับระบอบทักษิณมาแล้ว แต่มีจำนวนไม่น้อยที่เป็นกลุ่มใหม่ซึ่งไม่เคยเข้าร่วมการชุมนุมมาก่อน

เหตุผลประการที่สาม การทุจริตคอรัปชั่น เรื่องนี้ดำรงคงอยู่ในสังคมไทยมานับสิบปี เกิดขึ้นอย่างหนักหน่วงภายใต้รัฐบาลที่มีพรรคการเมืองบริหารประเทศ เพราะลักษณะธรรมชาติของพรรคการเมืองไทยถูกครอบงำและบงการด้วยกลุ่มทุนสามานย์ เล่นการเมืองเพราะต้องการสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และลาศยศทางสังคม โดยเฉพาะระบอบทักษิณทำให้การทุจริตกลายเป็นค่านิยมของสังคมซึมลึกลงไปในจิตใจของผู้คนทุกระดับ ทุกหน่วยงาน ทั้งในระดับผู้กำหนดนโยบายอย่างนักการเมืองและข้าราชการระดับสูง ผู้นำนโยบายไปปฏิบัติอย่างข้าราชการระดับกลางและระดับล่าง นักธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการนำโครงการต่างๆไปปฏิบัติ และชาวบ้านที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของนโยบาย

การทุจริตได้กัดกร่อนสังคมไทยถึงระดับจิตวิญาณ ผู้คนจำนวนมากเห็นการทุจริตเป็นเรื่องธรรมดา และกระทำการฉ้อฉลอย่างไม่ละอายแก่ใจ และหากปล่อยให้บรรยากาศเลวร้ายเช่นนี้มีความต่อเนื่องยาวนานออกไปเท่าไร สักวันหนึ่งคนไทยอาจจะไม่รู้จักคำว่า “ความซื่อสัตย์” อีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม การหยุดยั้งการทุจริต ไม่ใช่การล้มรัฐบาลกลุ่มทุนสามานย์พวกหนึ่ง และแทนที่ด้วยกลุ่มทุนสามานย์อีกพวกหนึ่ง ดังประโยคที่กล่าวขานกันในสังคมว่า “อัปรีย์ไป จัญไรมา” แต่จะต้องกวาดล้างทั้งคู่ และนี่เป็นที่มาของคำว่า “แช่แข็ง” หรือ “แช่แข็งนักการเมืองทั้งประเภทอัปรีย์และจัญไร” เพื่อยุติบทบาทการทำลายล้างสังคมไทยของบุคคลเหล่านั้น กลุ่มประชาชนที่เข้าร่วมการชุมนุมด้วยเหตุผลนี้มีจำนวนไม่น้อย ส่วนมากเป็นชนชั้นกลาง

นอกจากการเข้าร่วมชุมนุมด้วยเหตุผลทั้งสามประการแล้ว ยังมีประชาชนอีกไม่น้อยเช่นกันที่เข้าร่วมการชุมนุมเพื่อหวังให้เกิด “การปฏิรูปการเมือง” โดยเฉพาะการปฏิรูประบบสิทธิผลประโยชน์ในทรัพยากรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ การตื่นตัวของประชาชนกลุ่มนี้เกิดขึ้นจากมีการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ข้อเท็จจริงอย่างเป็นระบบของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สมาชิกวุฒิสภากลุ่ม 40 กลุ่มประชาชนด้านพลังงาน และสื่อมวลชนโดยเฉพาะ เอเอสทีวี ซึ่งทำให้ประชาชนทั่วไปรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างกว้างขวาง

ปัจจุบันมีประชาชนจำนวนมากทราบว่าประเทศไทยมีน้ำมันและก๊าซจำนวนมหาศาลที่ถูกปกปิดเอาไว้ โดยการสมคบของนักการเมือง ข้าราชการกระทรวงพลังงาน การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และบริษัทน้ำมันต่างชาติ

ประชาชนยังทราบว่า กฎหมาย ระบบการจัดสรรสิทธิผลประโยชน์ และระบบการบริหารด้านพลังงานเอื้อประโยชน์ให้เฉพาะนักการเมือง ข้าราชการระดับสูงและนายทุนต่างชาติเท่านั้น ส่วนคนไทยและสังคมไทยได้รับประโยชน์น้อยนิดมากจากทรัพยากรอันล้ำค่าและมีมูลค่ามหาศาลเหล่านี้

นักการเมืองทุนสามานย์ทั้งหลายไม่ว่ามาจากพรรคการเมืองใด ไม่เคยคิดแก้กฎหมายและปฏิรูประบบการจัดการสิทธิประโยชน์ด้านพลังงานเพื่อสร้างประโยชน์แก่ประชาชนแม้แต่น้อย จึงมีผู้คนจำนวนมากที่รู้ข่าวสารเข้าร่วมการชุมนุมเพื่อหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และนำไปสู่การปฏิรูประบบสิทธิประโยชน์ด้านทรัพยากรให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง

ดังนั้นไม่ว่ารัฐบาลหุ่นเชิดของทักษิณจะพยายามสกัดยับยั้งการชุมนุมของประชาชนมากเพียงใด ก็ไม่อาจทำได้ตามที่พวกเขาปรารถนา การชุมนุมในวันที่ 24 พ.ย. นี้ หากภาคประชาชนได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด สามารถกวาดล้าง แช่แข็งนักการเมืองทุนสามานย์ได้สำเร็จ ก็จะเป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงคุณภาพใหม่ทางการเมืองขึ้นมา แต่หากยังไม่ได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดก็จะเป็นการสะสมพลังเชิงพลวัตรที่จะขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อไปในอนาคตข้างหน้า ในเวลาไม่นานนับจากนี้

ยุคแห่งการครอบครองอำนาจและความรุ่งเรืองของนักการเมืองทุนสามานย์ผ่านพ้นไปแล้ว ยุคการหลอกลวงผู้คนด้วยการบิดเบือน สร้างเรื่องเท็จ โฆษณาชวนเชื่อให้ผู้คนลุ่มหลงงมงายกำลังเคลื่อนตัวสู่สภาวะตะวันใกล้จะตกดิน ขณะที่ยุคแห่งการตื่นรู้ของประชาชน ยุคแห่งการทวงสิทธิอำนาจอันชอบธรรมในการบริหารประเทศ และการจัดการทรัพยากรอย่างเป็นธรรมกำลังจะมีพลังแข็งแกร่งมากขึ้นทุกขณะ และจะสามารถกวาดล้างนักการเมืองทุนสามานย์ออกไปเวทีประวัติศาสตร์ของสังคมไทยในไม่ช้านี้


กำลังโหลดความคิดเห็น