xs
xsm
sm
md
lg

ศาล รธน.ไม่รับคำร้องสั่ง “เสธ.อ้าย” ยุติชุมนุม ชี้ยังไม่มีเหตุล้มล้างการปกครอง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online




ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งไม่รับคำร้องยุติการชุมนุมกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม ชี้ไม่ปรากฏมูลเหตุล้มล้างการปกครอง “เสธ.อ้าย” ส่งตัวแทนและทนายความแจงวัตถุประสงค์ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ย้ำไม่เคยพูดแช่แข็งประเทศไทย แต่แช่แข็งนักการเมืองชั่ว ยันใช้สิทธิ์ตาม รธน.ทุกประการ

วันนี้ (22 พ.ย.) ศาลรัฐธรรมนูญได้ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนคำร้องที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา นายสิงห์ทอง บัวชุม สมาชิกพรรคเพื่อไทย และนายหนึ่งดิน วิมุตตินันท์ ทนายความชมรมผู้รักความเป็นธรรม ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ว่า พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์กรพิทักษ์สยาม ได้กระทำการโดยใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ เพื่อที่ศาลจะได้นำไปพิจารณาว่าจะรับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ โดยศาลได้มีหนังสือเรียก พล.อ.บุญเลิศ และ พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคณี โฆษกองค์การพิทักษ์สยามเข้าให้ถ้อยคำแต่บุคคลทั้ง 2 ได้มอบหมายให้ทนาย คือนายประยงค์ ไชยศรี และนายนิติธร ล้ำเหลือ เข้าชี้แจงต่อศาลแทน

ทั้งนี้ บรรยายกาศโดยทั่วไปบริเวณสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้จัดพื้นที่ใว้สำหรับผู้ที่จะมาชี้แจง รวมทั้งกลุ่มผู้สนับสนุน และสื่อมวลชนที่จะมาติดตามรับฟังการไต่สวน ด้วยการติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิดจากห้องพิจารณาคดีลงมายังชั้นล่าง เพื่อความสะดวก เนื่องจากห้องพิจารณาคดีทีจำนวนที่นั่งจำกัด และจุดแลกบัตร ซึ่งผู้ที่จะเข้ามาภายในบริเวณศาลจะต้องแลกบัตรและติดบัตรแสดงตน ทั้งนี้การเข้า-ออก บริเวณศาลจะมีบัตรที่แตกต่างกันในแต่ละจุด รวมถึงแยกประเภทของบุคคล เพื่อความเรียบร้อย โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.ทุ่งสองห้อง 15 นาย มาดูแลความเรียบร้อย และจะเพิ่มในช่วงใกล้เวลาการไต่สวน รวมทั้งจะมีการประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผู้ร้องคือทั้งนายเรืองไกร นายสิงห์ทอง และนายหนึ่งดินต่างก็เดินทางมาร่วมรับฟังการไต่สวนด้วย

โดย นายประยงค์ กล่าวก่อนเข้าชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า ที่ พล.อ.บุญเลิศ ไม่ได้มาชี้แจงด้วยตัวเอง เนื่องจากภารกิจเยอะ จึงมอบหมายให้ตนมาชี้แจง ซึ่งจะชี้แจงถึงวัตถุประสงค์ในการชุมนุม ว่า เป็นไปเพื่อแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยในการบริหารงานของรัฐบาล ที่มีการปล่อยให้มีการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงโดยไม่ดำเนินการ แสดงตนเป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีการทุจริตคอรัปชั่น ดังนั้นการชุมนุมครั้งนี้มีเจตนาชัดเจนว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบไม่เคลื่อนไปยึดสถานที่ราชการ รวมถึงรัฐสภา และหากผู้ชุมนุมมาน้อยก็จะยุติการชุมนุม แต่จากการประเมินขณะนี้ยังยืนยันว่ามาเป็นล้านที่ พล.อ.บุญเลิศ เคยประกาศไว้ และจะมีการชุมนุมหลังจากวันที่ 24 พ.ย.อีกหรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้ชุมนุม

นายประยงค์ กล่าวอีกว่า แม้ประชาชนจะมาร่วมชุมนุมมากทางกลุ่มก็คิดว่าสามารถควบคุมมวลชนได้ เพราะเป็นการชุมนุมโดยสงบ และจะไม่มีการปลุกระดมให้เกิดการคุ้มคลั่ง รวมถึงรัฐบาลก็ระบุเองว่าจะจัดกำลังเจ้าหน้าที่เข้าดูแลไม่น้อยกว่าห้าหมื่นนาย ซึ่งทางกลุ่มก็จะมีการจัดเจ้าหน้าที่ในการตรวจไม่ให้ผู้ที่จะร่วมชุมนุมพกพาอาวุธเข้ามา ดังนั้นต่อให้ออกกฎหมายอะไรก็ไม่มิอาจยับยั้งในการชุมนุมครั้งนี้ได้ เพราะการมาชุมนุมนุมครั้งนี้เพราะเห็นว่าประเทศถึงทางตันแล้ว

เมื่อถามว่า คำประกาศของ พล.อ.บุญเลิศ ที่ระบุว่าจะแช่แข็งประเทศไทยทำให้ถูกมองว่าเป็นการล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 นายประยงค์ กล่าวว่า พล.อ.บุญเลิศ ไม่เคยพูด มีแต่พูดว่าจะแช่แข็งนักการเมืองชั่ว ที่มีการระบุว่าจะแช่งเข็งประเทศไทยและมองว่าเป็นการล้มล้างการปกครองนั้น น่าจะมาจากฝ่ายตรงข้ามมากกกว่า ส่วนหากศาลสั่งให้ยุติการชุมนุมหรือไม่นั้น ขอฟังคำสั่งศาลก่อนว่าจะออกมาอย่างไร แล้วค่อยบอกว่าจะมีการดำเนินการอย่างไรต่อไป

ขณะที่นายนิติธร ก็ได้แจกเอกสารคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของ พล.อ.บุญเลิศ ที่ยื่นต่อศาล ระบุว่า การดำเนินกิจกรรมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 3 มาตรา 63 มาตรา 70 และมาตรา 71 บัญญัติให้อำนาจไว้ มิได้มีส่วนหนึ่งส่วนใดที่แสดงให้เห็นว่าจะล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองโดยวิธีการที่มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

โดยการชุมนุมในวันที่ 24 พ.ย.นี้เป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ โดยทางกลุ่มฯ ได้มีการทำหนังสือแจ้งการชุมนุมไปยังนายกรัฐมนตรี รมว.กห. ผบ.ตร. นายกสภาทนายความ กรรมการสิทธิมุนษยชนแห่งชาติ และส่งหนังสือทางโทรสารและจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ถึงสถานทูตต่างๆ อาทิ สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เพื่อแสดงให้เห็นถึงเจตนาที่แท้จริงของการใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุม รวมถึงการทำหน้าที่ของชนชาวไทย

นายเรืองไกร กล่าวว่า วันนี้ตนได้นำหลักฐานที่เป็นการถอดเทปคำสัมภาษณ์ของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ในรายการสถานีวิทยุหนึ่ง เมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา เป็นเวลา 10 นาที ซึ่งมั่นใจว่าหลักฐานชิ้นนี้ชี้ชัดว่า กลุ่มองค์การพิทักษ์สยามเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ล้มล้างการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย และเชื่อมั่นว่า หากศาลรัฐธรรมนูญได้ฟังคำชี้แจงดังกล่าว ก็จะมีคำสั่งให้กลุ่มองค์การพิทักษ์สยามยุติการชุมนุมอย่างแน่นอน

ด้านนายหนึ่งดิน กล่าวว่า จากคำร้องที่ได้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ มั่นใจว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งยุติการชุมนุมดังกล่าว เพราะการปลุกระดมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม ก่อให้เกิดความเสียหาย หากศาลไม่เร่งรีบพิจารณาหรือมีคำสั่งช้ากว่านี้ ประเทศและประชาชนก็อาจจะได้รับผลกระทบและเดือดร้อนได้ เนื่องจากการชุมนุมสอดคล้องกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจของ ส.ส. และ ส.ว. ส่วนศาลจะมีคำสั่งออกมาเป็นเช่นไร ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคณะตุลาการ ตนไม่ขอก้าวล่วง

มีรายงานว่า ศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาในการไต่สวนเพียง 15 นาที โดยได้ซักถามถึงประเด็นที่พล.อ.บุญเลิศ ประกาศจะแช่แข็งประเทศไทยว่ามีความหมายอย่างไรและคณะผู้บริหารประเทศที่มาจากการปฎิวัติของประชาชนคืออะไร รวมถึงการชุมนุมครั้งนี้มีเจตนาเพื่อล้มล้างรัฐบาลโดยวิธีการที่ไม่เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติใช่หรือไม่ ซึ่งนายประยงค์ได้ชี้แจงถึงวัตถุประสงค์ของการชุมนุม ว่า เป็นไปเพื่อแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยในการบริหารงานของรัฐบาล ที่มีการปล่อยให้มีการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงโดยไม่ดำเนินการ แสดงตนเป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีการทุจริตคอรัปชั่น ดังนั้นการชุมนุมครั้งนี้มีเจตนาชัดเจนว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบไม่เคลื่อนไปยึดสถานที่ราชการ รวมถึงรัฐสภา และหากผู้ชุมนุมมาน้อยก็จะยุติการชุมนุม

ส่วนเรื่องคำพูดแช่แข็งประเทศไทย ยืนยันว่า พล.อ.บุญเลิศ ไม่เคยพูด มีแต่พูดว่าจะแช่แข็งนักการเมืองชั่ว นักการเมืองเลวไม่ให้ได้มีโอกาสเข้ามาบริหารประเทศ กอบโกยผลประโยชน์ สัก 5 ปี ซึ่งเมื่อไม่มีนักการเมือง จะมีคณะบุคคลเข้ามาทำหน้าที่แทนโดยใช้วิธีการใด ตนไม่ทราบในรายละเอียดอย่างไรก็ตามยอมรับว่าการชุมนุมก็เพื่อล้มล้างรัฐบาล แต่ไม่ใช่การใช้วิธีการที่มิได้เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ เพราะชุมนุมที่กำลังจะมีขึ้นเป็นไปโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ตามที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้อยู่แล้ว และการกระทำนี้ พล.อ.บุญเลิศก็ไมได้ประสงค์ที่จะได้อำนาจเพื่อเป็นรัฐบาล หรือเพื่อประโยชน์ขององค์การ ทั้งนี้ หลังการไต่สวนศาลได้แจ้งให้คู่กรณีทราบว่าศาลจะนำข้อมูลที่ได้จากการไต่สวนไปพิจารณาและจะมีคำสั่งว่าจะรับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่

จากนั้นนายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ โฆษกศาลรัฐธรรมนูญแถลงว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งไม่รับคำร้องที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา นายสิงห์ทอง บัวชุม สมาชิกพรรคเพื่อไทย และนายหนึ่งดิน วิมุตตินันท์ ทนายความชมรมผู้รักความเป็นธรรม ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ว่า พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์กรพิทักษ์สยาม ได้กระทำการโดยใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

โดยศาลเห็นว่า ทางการไต่สวนได้สอบถามผู้แทนของพล.อ.บุญเลิศ และพล.อ.ท. วัชระ ยืนยันว่าไมได้มีการกล่าวเกี่ยวกับแนวคิดการปิดประเทศหรือแช่แข็งประเทศ แต่หมายความว่าเป็นการแช่แข็งนักการเมืองเลว นักการเมืองชั่ว ไว้สักระยะ5 ปี เพื่อป้องกันมิให้เข้ามากอบโกยผลประโยชน์ ตามคำชี้แจงได้ความต่อไปว่า การนัดชุมนุมในวันที่ 24 พ.ย.นี้เป็นการชุมนุมเพื่อแสดงพลังขับไล่รัฐบาล หากขับไล่แล้วไม่เป็นผล ก็จะยุติการชุมนุม และมิได้มีเจตนาเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐโดยมิชอบจากการชุมนุมครั้งนี้ กรณีตามคำร้องจึงยังไม่ปรากฏมูลเหตุว่าจะมีการใช้สิทธิเสรีภาพ ตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

เมื่อถามว่า แสดงว่าองค์กรพิทักษ์สยามสามารถชุมนุมได้ใช่หรือไม่ นายพิมล กล่าวว่า เมื่อศาลฯมีคำสั่งไม่รับคำร้อง ก็สามารถชุมนุมในวันที่ 24 พ.ย.นี้ต่อไปได้ และยืนยันว่าการพิจารณาของศาลในวันนี้ไม่มีการตั้งธงผลการพิจารณาไว้ล่วงหน้า ซึ่งหากผู้ร้องเห็นว่าการชุมนุมยืดเยื้อก็สามารถยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยได้ตามรัฐธรรมนูญ แต่ก็ขึ้นอยู่ว่าการชุมนุมจะเข้าข้ายการล้มล้างการปกครองหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้นศาลรัฐธรรมนูญได้ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนนายประยงค์ ไชยศรี และนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความซึ่งได้รับมอบหมายจากพล.อ.บุญเลิศ และพล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี โฆษกองค์การพิทักษ์สยาม ให้เข้าชี้แจงแทน โดยนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญได้ซักถามเพียง 15 นาที ถึงประเด็นที่ พล.อ.บุญเลิศ ประกาศจะแช่แข็งประเทศไทยว่ามีความหมายอย่างไร และคณะผู้บริหารประเทศที่มาจากการปฎิวัติของประชาชนคืออะไรเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดหรือไม่ รวมถึงการชุมนุมครั้งนี้มีเจตนาเพื่อขับไล่ หรือล้มล้างรัฐบาลโดยวิธีการที่ไม่เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติหรือไม่ และพล.อ.บุญเลิศ ต้องการได้อำนาจในการบริหารประเทศมาเป็นของตนเองหรือไม่

นายประยงค์ก็ได้ชี้แจงว่า วัตถุประสงค์ของการชุมนุม ว่า เป็นไปเพื่อแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยในการบริหารงานของรัฐบาลโดยมีเหตุผล 3 ประการตามที่ทราบกันแล้ว ซึ่งเรื่องคำพูดแช่แข็งประเทศไทย ยืนยันว่าพล.อ.บุญเลิศ ไม่เคยพูด มีแต่พูดว่าจะแช่แข็งนักการเมืองชั่ว นักการเมืองเลวไม่ให้ได้มีโอกาสเข้ามาบริหารประเทศ กอบโกยผลประโยชน์ สัก 5 ปี และไม่มีนักการเมือง ก็จะมีคณะบุคคลเข้ามาทำหน้าที่แทนโดยใช้วิธีการใด ตนไม่ทราบในรายละเอียด อย่างไรก็ตามยอมรับว่าการชุมนุมครั้งนี้ก็เพื่อขับไล่รัฐบาลโดยใช้วิธีการที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้คือการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ไม่มีการเคลื่อนมวลชนเข้าไปยังสถานที่ราชการ ซึ่งรัฐบาลชอบอ้างว่ามาจากเสียงของประชาชน ทางกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามก็อยากแสดงให้รัฐบาลเห็นว่ายังมีเสียงประชาชนอีกจำนวนมากที่ไม่ชอบรัฐบาล โดยพล.อ.บุญเลิศก็ได้ประกาศแล้วหลายครั้งว่าหากผู้ชุมนุมมาน้อยก็พร้อมจะยุติ ดังนั้นการชุมนุมในครั้งนี้จึงไม่ใช่การใช้กำลังไปบังคับข่มขู่ให้รัฐบาลลงจากอำนาจ

“ผมยืนยันแทนพล.อ.บุญเลิศได้เนื่องจากพล.อ.บุญเลิศเคยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อหลายครั้งว่าหากการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามสามารถขับไล่รัฐบาลได้ พล.อ.บุญเลิศจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับอำนาจรัฐ เพราะไม่อยากเป็นใหญ่เป็นโต การชุมนุมฯต้องการทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน ซึ่งเมื่อถึงจุดดังกล่าวสถานการณ์จะเป็นตัวบ่งบอกเอง “ นายประยงค์ กล่าว

อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่นายวสันต์จะซักถามประเด็นต่างๆ นั้น นายวสันต์ได้พยายามสอบถามถึงเหตุผลว่าทำไมพล.อ.บุญเลิศไม่มาชี้แจงด้วยตนเอง และการมอบหมายให้ผู้อื่นมาชี้แจงแทนจะสามารถตอบข้อสงสัยของศาลได้ทั้งหมดหรือไม่ เพราะการไต่สวนครั้งนี้เพื่อนำข้อเท็จจริงบางประการมาประกอบการพิจารณาว่าจะรับหรือไม่รับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณาวินิจฉัย อีกทั้งที่ปรากฎเป็นข่าวก็ไม่ใช่องค์การพิทักษ์สยามเป็นคนพูดแต่เป็นพล.อ.บุญเลิศเป็นคนพูด

ด้านนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความได้กล่าวไว้ก่อนศาลมีคำสั่งไม่รับคำร้องว่า หากศาลพิจารณารับคำร้องและวินิจฉัยว่าเป็นการชุมนุมภายใต้รัฐธรรมนูญจะเป็นผลดีกับผู้ชุมนุมมากกว่าการไม่รับคำร้อง เพราะจะกลายเป็นหลักประกันทางกฎหมาย ไม่ให้รัฐตั้งข้อหาเป็นการกลั่นแกล้งผู้ชุมนุม












กำลังโหลดความคิดเห็น