วันนี้ (22 พ.ย.) เวลา 14.00 น. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เรียกไต่สวน พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ แกนนำองค์การพิทักษ์สยาม ตามที่มีผู้ร้องว่าการชุมนุมที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้ อาจเข้าข่ายล้มระบอบการปกครองหรือไม่ตามมาตรา 68 โดย พล.อ.บุญเลิศได้ส่งนายประยงศ์ ไชยศรี และนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความองค์การพิทักษ์สยาม พร้อมถ้อยคำลายลักษณ์อักษรเข้าชี้แจงต่อแทนเนื่องจากติดภารกิจ
นายประยงศ์ ไชยศรี ทนายความองค์การพิทักษ์สยาม กล่าวก่อนการไต่สวนว่า ในวันนี้จะเป็นการชี้แจงข้อซักถามต่อคณะตุลาการ เพื่อประกอบการตัดสินใจว่าจะรับคำร้องของผู้ถูกร้องไว้พิจารณาหรือไม่ โดยยืนยันว่าการชุมนุมขององค์กรพิทักษ์สยามเป็นการชุมนุมภายใต้สิทธิ์ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ และประชาชนเองมีสิทธิ์ที่จะแสดงออกเพื่อปกป้องประเทศชาติ ตามที่เห็นพ้องร่วมกันใน 3 ข้อที่เคยประกาศไว้ในเรื่องการปล่อยให้มีการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ การบริหารราชการไม่มีประสิทธิภาพ เป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ และการปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่น
ทั้งนี้ ในการชุมนุมได้มีการประเมินมวลชนไว้ต่อเนื่อง และมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมมวลชนได้ ไม่มีการก่อเหตุรุนแรงจากผู้ชุมนุม ยืนยันว่าจะไม่มีการเคลื่อนมวลชนปิดล้อมรัฐสภา พร้อมมองว่า การที่รัฐบาลจะออก พ.ร.บ.ความมั่นคง ควบคุมการชุมนุม จะไม่สามารถยับยั้งเจตนาของประชาชนที่ทนไม่ไหวกับการบริหารราชการของรัฐบาล ซึ่งการมาชี้แจงในวันนี้จะมีผลต่อการชุมนุมหรือไม่นั้น ต้องรอคำสั่งศาลว่าจะออกมาอย่างไร แต่ในเรื่องมือที่ 3 ที่มีกระแสข่าวว่าจะก่อเหตุความรุนแรง ก็เป็นเรื่องของรัฐบาลที่ต้องดูแล
ขณะเดียวกัน การไต่ส่วนในวันนี้ ฝ่ายผู้ร้อง ทั้งนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา นายสิงห์ทอง บัวชุม สมาชิกพรรคเพื่อไทย และนายหนึ่งดิน วิมุตตินันท์ ทนายความชมรมผู้รักความเป็นธรรม ได้เข้าชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วย โดยยืนยันว่าการชุมนุมของกลุ่มองค์การ พิทักษ์สยามเข้าข่ายล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68
ในการไต่สวนของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ใช้เวลาไต่สวนประมาณ 15 นาทีเท่านั้น โดยมีการซักถามจากนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับแนวทางของ พล.อ.บุญเลิศ ในการแช่แข็งประเทศไทย และมีเจตนาล้มล้างรัฐบาลเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ นอกวิถีทางรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยนายประยงศ์ ไชยศรี ทนายความองค์การพิทักษ์สยาม ชี้แจงว่า แนวคิดการแช่แข็งประเทศไทย เป็นแนวคิดของ พล.อ.บุญเลิศ ที่ระบุว่า เป็นการแช่แข็งนักการเมืองเลวเป็นเวลา 5 ปี ไม่ได้มีเจตนาที่จะแช่แข็งประเทศ เพื่อหยุดระบบและการบริหารแผ่นดิน พร้อมยืนยันว่าการชุมนุมเป็นไปตามสิทธิ์ภายใต้รัฐธรรมนูญเพื่อขับไล่รัฐบาล โดยไม่มีการข่มขู่ใช้กำลัง และไม่ได้มีความต้องการให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐโดยวิธีนอกรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตาม คณะตุลาการ มีความต้องการให้ พล.อ.บุญเลิศ มาชี้แจงด้วยตนเอง เพราะจะได้ยืนยันแนวคิดวัตถุประสงค์การชุมนุมได้ดีที่สุด
ขณะเดียวกัน ภายหลังการไต่สวน นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความองค์การพิทักษ์สยาม ได้แสดงความมั่นใจว่าการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม ไม่เข้าข่ายล้มล้างระบอบการปกครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 เพราะมีเจตนาชัดเจนว่าไม่มีจุดประสงค์ล้มล้างการปกครอง และกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ
หลังจากเสร็จสิ้นการไต่สวนประมาณ 1 ชั่วโมง นายพิมล ธรรมาพิทักษ์พงษ์ ประธานคณะโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ ได้แถลงถึงผลการพิจารณาของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ ไม่รับคำร้องของสมาชิกพรรคเพื่อไทยเพื่อวินิจฉัยว่าการชุมนุมอาจเข้าข่ายล้มระบอบการปกครองตามมาตรา 68 เนื่องจากมีความชัดเจนจากการไต่สวนว่าแนวคิดการแช่แข็งประเทศเป็นเพียงการแช่แข็งนักการเมืองเลวไว้ระยะเวลา 5 ปีเท่านั้น และการชุมนุมเป็นการแสดงพลังขับไล่รัฐบาล หากไม่เป็นผลก็จะยุติการชุมนุม จึงมิได้เป็นเจตนาให้ได้มาซึ่งอำนาจโดยมิชอบ ไม่ปรากฏมูลเหตุล้มระบอบการปกครองประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
นายประยงศ์ ไชยศรี ทนายความองค์การพิทักษ์สยาม กล่าวก่อนการไต่สวนว่า ในวันนี้จะเป็นการชี้แจงข้อซักถามต่อคณะตุลาการ เพื่อประกอบการตัดสินใจว่าจะรับคำร้องของผู้ถูกร้องไว้พิจารณาหรือไม่ โดยยืนยันว่าการชุมนุมขององค์กรพิทักษ์สยามเป็นการชุมนุมภายใต้สิทธิ์ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ และประชาชนเองมีสิทธิ์ที่จะแสดงออกเพื่อปกป้องประเทศชาติ ตามที่เห็นพ้องร่วมกันใน 3 ข้อที่เคยประกาศไว้ในเรื่องการปล่อยให้มีการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ การบริหารราชการไม่มีประสิทธิภาพ เป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ และการปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่น
ทั้งนี้ ในการชุมนุมได้มีการประเมินมวลชนไว้ต่อเนื่อง และมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมมวลชนได้ ไม่มีการก่อเหตุรุนแรงจากผู้ชุมนุม ยืนยันว่าจะไม่มีการเคลื่อนมวลชนปิดล้อมรัฐสภา พร้อมมองว่า การที่รัฐบาลจะออก พ.ร.บ.ความมั่นคง ควบคุมการชุมนุม จะไม่สามารถยับยั้งเจตนาของประชาชนที่ทนไม่ไหวกับการบริหารราชการของรัฐบาล ซึ่งการมาชี้แจงในวันนี้จะมีผลต่อการชุมนุมหรือไม่นั้น ต้องรอคำสั่งศาลว่าจะออกมาอย่างไร แต่ในเรื่องมือที่ 3 ที่มีกระแสข่าวว่าจะก่อเหตุความรุนแรง ก็เป็นเรื่องของรัฐบาลที่ต้องดูแล
ขณะเดียวกัน การไต่ส่วนในวันนี้ ฝ่ายผู้ร้อง ทั้งนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา นายสิงห์ทอง บัวชุม สมาชิกพรรคเพื่อไทย และนายหนึ่งดิน วิมุตตินันท์ ทนายความชมรมผู้รักความเป็นธรรม ได้เข้าชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วย โดยยืนยันว่าการชุมนุมของกลุ่มองค์การ พิทักษ์สยามเข้าข่ายล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68
ในการไต่สวนของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ใช้เวลาไต่สวนประมาณ 15 นาทีเท่านั้น โดยมีการซักถามจากนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับแนวทางของ พล.อ.บุญเลิศ ในการแช่แข็งประเทศไทย และมีเจตนาล้มล้างรัฐบาลเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ นอกวิถีทางรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยนายประยงศ์ ไชยศรี ทนายความองค์การพิทักษ์สยาม ชี้แจงว่า แนวคิดการแช่แข็งประเทศไทย เป็นแนวคิดของ พล.อ.บุญเลิศ ที่ระบุว่า เป็นการแช่แข็งนักการเมืองเลวเป็นเวลา 5 ปี ไม่ได้มีเจตนาที่จะแช่แข็งประเทศ เพื่อหยุดระบบและการบริหารแผ่นดิน พร้อมยืนยันว่าการชุมนุมเป็นไปตามสิทธิ์ภายใต้รัฐธรรมนูญเพื่อขับไล่รัฐบาล โดยไม่มีการข่มขู่ใช้กำลัง และไม่ได้มีความต้องการให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐโดยวิธีนอกรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตาม คณะตุลาการ มีความต้องการให้ พล.อ.บุญเลิศ มาชี้แจงด้วยตนเอง เพราะจะได้ยืนยันแนวคิดวัตถุประสงค์การชุมนุมได้ดีที่สุด
ขณะเดียวกัน ภายหลังการไต่สวน นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความองค์การพิทักษ์สยาม ได้แสดงความมั่นใจว่าการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม ไม่เข้าข่ายล้มล้างระบอบการปกครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 เพราะมีเจตนาชัดเจนว่าไม่มีจุดประสงค์ล้มล้างการปกครอง และกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ
หลังจากเสร็จสิ้นการไต่สวนประมาณ 1 ชั่วโมง นายพิมล ธรรมาพิทักษ์พงษ์ ประธานคณะโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ ได้แถลงถึงผลการพิจารณาของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ ไม่รับคำร้องของสมาชิกพรรคเพื่อไทยเพื่อวินิจฉัยว่าการชุมนุมอาจเข้าข่ายล้มระบอบการปกครองตามมาตรา 68 เนื่องจากมีความชัดเจนจากการไต่สวนว่าแนวคิดการแช่แข็งประเทศเป็นเพียงการแช่แข็งนักการเมืองเลวไว้ระยะเวลา 5 ปีเท่านั้น และการชุมนุมเป็นการแสดงพลังขับไล่รัฐบาล หากไม่เป็นผลก็จะยุติการชุมนุม จึงมิได้เป็นเจตนาให้ได้มาซึ่งอำนาจโดยมิชอบ ไม่ปรากฏมูลเหตุล้มระบอบการปกครองประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
