ผมคิดว่าที่เสื้อแดง และพรรคเพื่อไทยกำลังเร่งเดินเกมเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรม ไม่ว่าจะออกเป็นพ.ร.ก.หรือพ.ร.บ.เป็นเพียงการแสดงให้เห็นว่า พวกเขาไม่ได้นิ่งดูดายกับคนเสื้อแดงที่ยังติดคุกอยู่
เป็นเพียงการแสดงเพื่อลดทอนแรงกดดันของคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลและพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแกนนำ นปช.ที่ได้ดิบได้ดีเข้าไปมีตำแหน่งทางการเมือง และถูกกล่าวหาว่าทอดทิ้งมวลชนออกมาช่วยเหลือมวลชนของตัวเองที่ยังติดคุกติดตาราง
ฟันธงได้เลยว่าการนิรโทษกรรมไม่มีวันถูกผลักดันให้เป็นจริง ถ้าทักษิณไม่ได้รับประโยชน์จากการนิรโทษกรรมด้วย
การออกมาเคลื่อนไหวของนายเจริญ จรรย์โกมล จึงเป็นเพียงเกมหนึ่งที่ทักษิณวางไว้ เพื่อเช็กกระแสของสังคม โดยจับเอามวลชนของตัวเองเป็นตัวประกัน และถือโอกาสใช้คนกลุ่มอื่นเป็นข้ออ้างว่าเป็นฝ่ายขัดขวางความพยายามสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคมไทย
เพราะตอนนี้กำลังถูกคนเสื้อแดงกดดันอย่างหนักให้ปล่อยตัวนักโทษเสื้อแดงที่ยังอยู่ในคุก จนเกิดการเคลื่อนไหวของกลุ่ม 29 มกราคมและกลายเป็นการวิวาทะกันเองของนางดารุณี กฤตบุญญาลัยกับหมอเหวง โตจิราการ
ถึงขั้นด่าทอกันผ่านสื่อ โดยหมอเหวงกล่าวหาว่า กลุ่ม 29 มกราคม แยกมิตรศัตรูไม่ถูก สถาปนาตัวเองเป็นแกนนำแล้วถีบเสื้อแดง เอาปืนมายิงมิตรเปรียบเหมือนแนวร่วมของพรรคประชาธิปัตย์ จนนางดารุณีต้องออกมาโต้ว่าคนเสื้อแดงไม่ใช่ควายที่จะถีบหรือสนตะพายได้
แต่ถ้าจะว่าไปแล้วคนเสื้อแดงที่ยังติดคุกอยู่ตอนนี้ส่วนใหญ่เป็นคดีร้ายแรงทั้งนั้น เช่น เผาศาลากลาง และมีอาวุธสงคราม คดีเล็กคดีน้อย เช่น ฝ่าฝืน พ.ร.ก.หรือพ.ร.บ.นั้นจริงแล้วไม่มีใครติดคุกเหลืออยู่แล้วเพราะโทษเบาถึงติดคุกพ้นคุกไปหมดแล้ว
คดีที่ยังติดคุกและโทษหนักก็เช่นคดีที่ศาลเพิ่งตัดสินจำคุก 10 ปีเมื่อไม่นานมานี้คือกรณี จ.ส.ต.ปริญญา มณีโคตม์ อดีตผู้บังคับหมู่ป้องกันและปราบปราม สภ.คูคต จ.ปทุมธานี ขี่จักรยานบรรทุกเครื่องยิงระเบิดขนาด 40 มม. ชนิดเอ็ม 79 และชนวนเอ็ม 403 จำนวน 62 ชุด ฝ่าด่านความมั่นคงบริเวณดอนเมืองระหว่างการชุมนุมของคนเสื้อแดง
ถ้าเรายังจำได้อาวุธเอ็ม 79 นี่แหละครับที่เป็นเครื่องมือในการยิงใส่การชุมนุมของพันธมิตรฯ หลายครั้งจนมีผู้เสียชีวิตนับ 10 คน เป็นอาวุธที่คนเสื้อแดงใช้ในระหว่างการชุมนุมยิงใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจจนเสียชีวิต และเป็นอาวุธที่คนเสื้อแดงใช้ยิงออกจากที่ชุมนุมไม่เว้นแต่ละคืนจนประชาชนที่ไปชุมนุมต่อต้านบริเวณแยกศาลาแดงเสียชีวิต
นอกจากนั้นก็เป็นคดีเผาศาลากลางต่างๆ ซึ่งถ้าเรานำคำพิพากษาของศาลมาพิจารณาจะเห็นว่าความหนักเบาของแต่ละคนก็ว่ากันไปตามหลักฐานที่ปรากฏ เช่น คดีจำคุกเผาศาลากลางอุบลราชธานี ศาลตัดสินจำคุก 33 ปี 4 เดือน จำนวน 4 ราย เป็นการลงโทษ 1 ใน 3 จากเดิมจำคุกตลอดชีวิตเพราะให้การเป็นประโยชน์ต่อคดี
จำคุก 1 ปี ลดเหลือ 8 เดือน จำนวน 3 ราย และยกฟ้องจำนวน 9 รายเพราะหลักฐานมีเพียงภาพถ่ายขณะเข้าร่วมชุมนุม ที่คนเสื้อแดงปลุกปั่นว่า พวกเขาติดคุกทั้งที่มีหลักฐานเพียงภาพถ่ายจึงเป็นความเท็จ
คดีเผาศาลากลางมุกดาหารศาลสั่งจำคุก 20 ปี จำนวน 13 คน และยกฟ้องเพราะไม่มีหลักฐานจำนวน 16 คน ส่วนคดีเผาศาลากลางอุดรธานี ศาลสั่งจำคุกตั้งแต่ 22 ปี 6 เดือน ไปถึง 11 ปี 3 เดือน จำนวน 5 ราย จำคุก 2 ปี 6 เดือน จำนวน 4 ราย และมีความผิดเพียงฝ่าฝืน พ.ร.ก.สั่งจำคุก 6 เดือน และปล่อยตัวไปเพราะจำคุกมาครบกำหนดแล้วจำนวน 13 ราย
จะเห็นได้ว่าการพิจารณาของศาลเป็นไปตามพยานหลักฐานและรูปคดี เมื่อมีหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ก็ถูกศาลสั่งจำคุก ไม่มีหลักฐานก็ปล่อยตัวไป ไม่ใช่การกลั่นแกล้งใส่ร้ายมวลชนเสื้อแดงแต่อย่างใด
ผมคิดว่าต้องตอบคำถามสังคมให้ได้ว่าคนเหล่านี้สมควรได้รับการนิรโทษกรรมหรือไม่ และอะไรคือเหตุที่พวกเขาควรจะได้รับอิสรภาพ จริงอยู่การชุมนุมต่อต้านรัฐบาลเป็นสิทธิของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมของคนเสื้อแดงหรือเสื้อเหลือง แต่ต้องตอบคำถามให้ได้ด้วยว่า การกระทำเช่นนั้นเกินขอบเขตของสิทธิในระบอบประชาธิปไตยหรือไม่
ซึ่งดูเหมือนว่าจนถึงตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พรรคประชาธิปัตย์ และข้อเสนอล่าสุดของคุณนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ไม่มีใครเห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมคนเหล่านั้นเลย
ความเดือดร้อนจึงอยู่ที่แกนนำเสื้อแดงที่พวกเขาสุขสบายในขณะที่มวลชนที่พวกเขายุยงให้ก่อความรุนแรงยังต้องชดใช้กรรมอยู่ในคุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนระดับนำอย่างณัฐวุฒิ ใสยเกื้อที่ประกาศบนเวทีว่า เผาไปเลยพี่น้องผมรับผิดชอบเอง วันนี้นั่งเก้าอี้อำมาตย์อยู่กระทรวงพาณิชย์
ที่สำคัญเราไม่เคยได้ยินแกนนำเสื้อแดงยอมรับการกระทำของฝ่ายตัวเองเลย แม้ว่าหลายคดีศาลจะตัดสินไปแล้ว และมีหลักฐานประจักษ์พยานต่างๆเกิดขึ้นมากมายทั้งการสั่งการ คลิปวิดีโอ และรูปถ่ายต่อสาธารณะ
ดังนั้นประเด็นที่ผมเห็นด้วยกับคุณนิชา ภรรยาของพล.อ.ร่มเกล้ากล่าวไว้ก็คือ คนเหล่านั้นได้สำนึกต่อความผิดที่ตัวเองกระทำไปหรือยัง และถามว่า ถ้าไม่มีเหตุการณ์การชุมนุมด้วยอาวุธเมื่อวันที่ 10 เมษายน จนทหารเสียชีวิต 5 นายและบาดเจ็บร่วม 300 คน จะมีเหตุการณ์นองเลือดจนมีผู้เสียชีวิตมากมายเช่นนี้หรือไม่
แล้วเราจะปล่อยให้เหตุการณ์ครั้งนั้นจบลงไป โดยไม่ค้นหาสาเหตุเพื่อจะหาทางป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำรอยอีกหรือ จะมีอะไรเป็นหลักประกันว่า การนิรโทษกรรมครั้งนี้คือ หนทางแสวงหาความปรองดองของสังคมไทย
วันนี้หลายฝ่ายยืนยันตรงกันว่า ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมในคดีอาญาร้ายแรง คดีทุจริตคอร์รัปชัน และคดี 112 ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรฯ หรือประชาธิปัตย์ การแกล้งเรียกฝ่ายต่างๆ ไปคุยของรองประธานสภาจึงเป็นเพียงทางออกที่จะไปแจ้งกับคนเสื้อแดงว่ารัฐบาลได้พยายามหาทางออกเพื่อจะนิรโทษกรรมให้แล้ว แต่ถูกคนกลุ่มอื่นขัดขวาง
และลึกๆ ก็คือว่า การเดินเกมเพื่อผลักดันให้ปล่อยตัวคนเสื้อแดงติดคุกนั้นมีทักษิณเป็นหนึ่งในเงื่อนไขเสมอ คนที่จับเสื้อแดงเป็นตัวประกันก็คือ ทักษิณไม่ใช่คนอื่น
ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และถูกกล่าวหาด้วยข้อหาร้ายแรงทั้งที่เข้าร่วมชุมนุมโดยสงบ ผมคิดว่าเราเองก็ต้องระวังไม่ให้กลายเป็นเครื่องมือที่แกนนำเสื้อแดงซึ่งกำลังดิ้นหาทางออกเพราะกำลังถูกกดดันจากมวลชนของตัวเอง โดยเอาไปอ้างได้ว่า พวกเขาพยายามช่วยมวลชนที่ติดคุกแล้วแต่ติดขัดที่กลุ่มอื่นที่จิตใจคับแคบ
สำหรับพันธมิตรฯ ผมคิดว่ายังไงเราก็ต้องยืนยันจุดยืนเดิมครับว่า พร้อมที่จะต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม เพราะเราเชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรมของบ้านเมืองนี้
เป็นเพียงการแสดงเพื่อลดทอนแรงกดดันของคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลและพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแกนนำ นปช.ที่ได้ดิบได้ดีเข้าไปมีตำแหน่งทางการเมือง และถูกกล่าวหาว่าทอดทิ้งมวลชนออกมาช่วยเหลือมวลชนของตัวเองที่ยังติดคุกติดตาราง
ฟันธงได้เลยว่าการนิรโทษกรรมไม่มีวันถูกผลักดันให้เป็นจริง ถ้าทักษิณไม่ได้รับประโยชน์จากการนิรโทษกรรมด้วย
การออกมาเคลื่อนไหวของนายเจริญ จรรย์โกมล จึงเป็นเพียงเกมหนึ่งที่ทักษิณวางไว้ เพื่อเช็กกระแสของสังคม โดยจับเอามวลชนของตัวเองเป็นตัวประกัน และถือโอกาสใช้คนกลุ่มอื่นเป็นข้ออ้างว่าเป็นฝ่ายขัดขวางความพยายามสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคมไทย
เพราะตอนนี้กำลังถูกคนเสื้อแดงกดดันอย่างหนักให้ปล่อยตัวนักโทษเสื้อแดงที่ยังอยู่ในคุก จนเกิดการเคลื่อนไหวของกลุ่ม 29 มกราคมและกลายเป็นการวิวาทะกันเองของนางดารุณี กฤตบุญญาลัยกับหมอเหวง โตจิราการ
ถึงขั้นด่าทอกันผ่านสื่อ โดยหมอเหวงกล่าวหาว่า กลุ่ม 29 มกราคม แยกมิตรศัตรูไม่ถูก สถาปนาตัวเองเป็นแกนนำแล้วถีบเสื้อแดง เอาปืนมายิงมิตรเปรียบเหมือนแนวร่วมของพรรคประชาธิปัตย์ จนนางดารุณีต้องออกมาโต้ว่าคนเสื้อแดงไม่ใช่ควายที่จะถีบหรือสนตะพายได้
แต่ถ้าจะว่าไปแล้วคนเสื้อแดงที่ยังติดคุกอยู่ตอนนี้ส่วนใหญ่เป็นคดีร้ายแรงทั้งนั้น เช่น เผาศาลากลาง และมีอาวุธสงคราม คดีเล็กคดีน้อย เช่น ฝ่าฝืน พ.ร.ก.หรือพ.ร.บ.นั้นจริงแล้วไม่มีใครติดคุกเหลืออยู่แล้วเพราะโทษเบาถึงติดคุกพ้นคุกไปหมดแล้ว
คดีที่ยังติดคุกและโทษหนักก็เช่นคดีที่ศาลเพิ่งตัดสินจำคุก 10 ปีเมื่อไม่นานมานี้คือกรณี จ.ส.ต.ปริญญา มณีโคตม์ อดีตผู้บังคับหมู่ป้องกันและปราบปราม สภ.คูคต จ.ปทุมธานี ขี่จักรยานบรรทุกเครื่องยิงระเบิดขนาด 40 มม. ชนิดเอ็ม 79 และชนวนเอ็ม 403 จำนวน 62 ชุด ฝ่าด่านความมั่นคงบริเวณดอนเมืองระหว่างการชุมนุมของคนเสื้อแดง
ถ้าเรายังจำได้อาวุธเอ็ม 79 นี่แหละครับที่เป็นเครื่องมือในการยิงใส่การชุมนุมของพันธมิตรฯ หลายครั้งจนมีผู้เสียชีวิตนับ 10 คน เป็นอาวุธที่คนเสื้อแดงใช้ในระหว่างการชุมนุมยิงใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจจนเสียชีวิต และเป็นอาวุธที่คนเสื้อแดงใช้ยิงออกจากที่ชุมนุมไม่เว้นแต่ละคืนจนประชาชนที่ไปชุมนุมต่อต้านบริเวณแยกศาลาแดงเสียชีวิต
นอกจากนั้นก็เป็นคดีเผาศาลากลางต่างๆ ซึ่งถ้าเรานำคำพิพากษาของศาลมาพิจารณาจะเห็นว่าความหนักเบาของแต่ละคนก็ว่ากันไปตามหลักฐานที่ปรากฏ เช่น คดีจำคุกเผาศาลากลางอุบลราชธานี ศาลตัดสินจำคุก 33 ปี 4 เดือน จำนวน 4 ราย เป็นการลงโทษ 1 ใน 3 จากเดิมจำคุกตลอดชีวิตเพราะให้การเป็นประโยชน์ต่อคดี
จำคุก 1 ปี ลดเหลือ 8 เดือน จำนวน 3 ราย และยกฟ้องจำนวน 9 รายเพราะหลักฐานมีเพียงภาพถ่ายขณะเข้าร่วมชุมนุม ที่คนเสื้อแดงปลุกปั่นว่า พวกเขาติดคุกทั้งที่มีหลักฐานเพียงภาพถ่ายจึงเป็นความเท็จ
คดีเผาศาลากลางมุกดาหารศาลสั่งจำคุก 20 ปี จำนวน 13 คน และยกฟ้องเพราะไม่มีหลักฐานจำนวน 16 คน ส่วนคดีเผาศาลากลางอุดรธานี ศาลสั่งจำคุกตั้งแต่ 22 ปี 6 เดือน ไปถึง 11 ปี 3 เดือน จำนวน 5 ราย จำคุก 2 ปี 6 เดือน จำนวน 4 ราย และมีความผิดเพียงฝ่าฝืน พ.ร.ก.สั่งจำคุก 6 เดือน และปล่อยตัวไปเพราะจำคุกมาครบกำหนดแล้วจำนวน 13 ราย
จะเห็นได้ว่าการพิจารณาของศาลเป็นไปตามพยานหลักฐานและรูปคดี เมื่อมีหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ก็ถูกศาลสั่งจำคุก ไม่มีหลักฐานก็ปล่อยตัวไป ไม่ใช่การกลั่นแกล้งใส่ร้ายมวลชนเสื้อแดงแต่อย่างใด
ผมคิดว่าต้องตอบคำถามสังคมให้ได้ว่าคนเหล่านี้สมควรได้รับการนิรโทษกรรมหรือไม่ และอะไรคือเหตุที่พวกเขาควรจะได้รับอิสรภาพ จริงอยู่การชุมนุมต่อต้านรัฐบาลเป็นสิทธิของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมของคนเสื้อแดงหรือเสื้อเหลือง แต่ต้องตอบคำถามให้ได้ด้วยว่า การกระทำเช่นนั้นเกินขอบเขตของสิทธิในระบอบประชาธิปไตยหรือไม่
ซึ่งดูเหมือนว่าจนถึงตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พรรคประชาธิปัตย์ และข้อเสนอล่าสุดของคุณนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ไม่มีใครเห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมคนเหล่านั้นเลย
ความเดือดร้อนจึงอยู่ที่แกนนำเสื้อแดงที่พวกเขาสุขสบายในขณะที่มวลชนที่พวกเขายุยงให้ก่อความรุนแรงยังต้องชดใช้กรรมอยู่ในคุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนระดับนำอย่างณัฐวุฒิ ใสยเกื้อที่ประกาศบนเวทีว่า เผาไปเลยพี่น้องผมรับผิดชอบเอง วันนี้นั่งเก้าอี้อำมาตย์อยู่กระทรวงพาณิชย์
ที่สำคัญเราไม่เคยได้ยินแกนนำเสื้อแดงยอมรับการกระทำของฝ่ายตัวเองเลย แม้ว่าหลายคดีศาลจะตัดสินไปแล้ว และมีหลักฐานประจักษ์พยานต่างๆเกิดขึ้นมากมายทั้งการสั่งการ คลิปวิดีโอ และรูปถ่ายต่อสาธารณะ
ดังนั้นประเด็นที่ผมเห็นด้วยกับคุณนิชา ภรรยาของพล.อ.ร่มเกล้ากล่าวไว้ก็คือ คนเหล่านั้นได้สำนึกต่อความผิดที่ตัวเองกระทำไปหรือยัง และถามว่า ถ้าไม่มีเหตุการณ์การชุมนุมด้วยอาวุธเมื่อวันที่ 10 เมษายน จนทหารเสียชีวิต 5 นายและบาดเจ็บร่วม 300 คน จะมีเหตุการณ์นองเลือดจนมีผู้เสียชีวิตมากมายเช่นนี้หรือไม่
แล้วเราจะปล่อยให้เหตุการณ์ครั้งนั้นจบลงไป โดยไม่ค้นหาสาเหตุเพื่อจะหาทางป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำรอยอีกหรือ จะมีอะไรเป็นหลักประกันว่า การนิรโทษกรรมครั้งนี้คือ หนทางแสวงหาความปรองดองของสังคมไทย
วันนี้หลายฝ่ายยืนยันตรงกันว่า ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมในคดีอาญาร้ายแรง คดีทุจริตคอร์รัปชัน และคดี 112 ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรฯ หรือประชาธิปัตย์ การแกล้งเรียกฝ่ายต่างๆ ไปคุยของรองประธานสภาจึงเป็นเพียงทางออกที่จะไปแจ้งกับคนเสื้อแดงว่ารัฐบาลได้พยายามหาทางออกเพื่อจะนิรโทษกรรมให้แล้ว แต่ถูกคนกลุ่มอื่นขัดขวาง
และลึกๆ ก็คือว่า การเดินเกมเพื่อผลักดันให้ปล่อยตัวคนเสื้อแดงติดคุกนั้นมีทักษิณเป็นหนึ่งในเงื่อนไขเสมอ คนที่จับเสื้อแดงเป็นตัวประกันก็คือ ทักษิณไม่ใช่คนอื่น
ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และถูกกล่าวหาด้วยข้อหาร้ายแรงทั้งที่เข้าร่วมชุมนุมโดยสงบ ผมคิดว่าเราเองก็ต้องระวังไม่ให้กลายเป็นเครื่องมือที่แกนนำเสื้อแดงซึ่งกำลังดิ้นหาทางออกเพราะกำลังถูกกดดันจากมวลชนของตัวเอง โดยเอาไปอ้างได้ว่า พวกเขาพยายามช่วยมวลชนที่ติดคุกแล้วแต่ติดขัดที่กลุ่มอื่นที่จิตใจคับแคบ
สำหรับพันธมิตรฯ ผมคิดว่ายังไงเราก็ต้องยืนยันจุดยืนเดิมครับว่า พร้อมที่จะต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม เพราะเราเชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรมของบ้านเมืองนี้