xs
xsm
sm
md
lg

เฮ! “วุฒิสภา” โชว์เพาฯ ตี “อุดม มั่งมีดี” วืด ป.ป.ท.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อุดม มั่งมีดี
รายงานการเมือง

มติเสียงส่วนใหญ่วุฒิสภา หรือสภาสูงออกเสียงในการประชุมวุฒิสภาเมื่อ 14 มกราคม 2556 ไม่เห็นชอบให้ “อุดม มั่งมีดี” อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ที่ตามข่าวก่อนหน้านี้บอกว่าได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท.

“อุดม มั่งมีดี” อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา เป็นเพื่อนผู้พิพากษาร่วมรุ่นกับสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี แกนนำพรรคเพื่อไทย เข้าร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองกับกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างเปิดเผยและมีบทบาทสำคัญ จนได้รับความไว้วางใจจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีอาญา

ก่อนหน้านี้ “อุดม” ได้รับการเสนอชื่อจากกระทรวงยุติธรรม โดย พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรมชงเข้าที่ประชุม ครม.ตั้งแต่เมื่อ 2 เมษายน 2555 ให้เป็นกรรมการ ป.ป.ท. จากนั้นมีการเสนอชื่อเสื้อแดงตัวพ่อคนนี้เป็น ป.ป.ท.ต่อไปให้สภาผู้แทนราษฏร มีการใช้เสียงข้างมากในสภาฯ เพื่อไทย เห็นชอบให้อุดมเป็น ป.ป.ท.ไปเมื่อ 31 ตุลาคม 2555 ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 258 เสียง ไม่เห็นชอบ 3 เสียง

ทั้งที่ประชุมสภาผู้แทนฯ วันดังกล่าว ส.ส.ประชาธิปัตย์เกือบทั้งหมด ได้วอล์กเอาต์ออกจากห้องประชุมเพราะไม่เห็นด้วยต่อการเสนอชื่อรวมถึงขอให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบประวัติฯแต่ก็ต้านไม่ไหว เพราะส.ส.เพื่อไทยส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนฯไม่เห็นด้วย

จนมีการส่งชื่ออุดมมาที่วุฒิสภาพิจารณาเป็นลำดับต่อมาตามกฎหมาย แต่กว่าวุฒิสภาจะพิจารณาวาระดังกล่าวได้ก็เมื่อ 14 ม.ค. 56 สุดท้ายผลการประชุมลับกว่า 2 ชั่วโมง ที่ประชุมวุฒิสภาก็มีมติไม่เห็นชอบให้อุดมเป็น ป.ป.ท.ไปด้วยคะแนนเสียง ด้วยเสียงไม่เห็นชอบ 67 คะแนน เห็นชอบ 51 คะแนนและไม่ออกเสียง 3 คะแนน

ทำให้อุดมไม่ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาเป็น ป.ป.ท.ไปตามมาตรา 5 ของ พ.ร.บ.มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2551 ผลออกมาแบบนี้เลยทำให้กระทรวงยุติธรรมและคณะรัฐมนตรีก็ต้องไปหารือกันอีกครั้ง ในการเสนอชื่อคนเป็น ป.ป.ท.คนใหม่แทนอุดม

มติวุฒิสภาดังกล่าว แสดงให้เห็นอะไรบางอย่างภายในวุฒิสภา ว่าฝ่ายนิติบัญญัติได้ออกฤทธิ์ออกเดชกับฝ่ายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งผลคะแนนที่ออกมาทำให้ที่หลายคนเคยคิดว่าเพื่อไทยน่าจะรุกคืบเข้าไปในสภาสูงได้มากแล้ว ท่าจะไม่จริงเสียทีเดียว

แม้จะเป็นการประชุมลับ แต่ก็มีข่าวออกมาว่าเหตุผลหลักๆ ที่วุฒิสภาไม่เห็นชอบให้อุดม เข้าไปมีบทบาทในบอร์ด ป.ป.ท.เพราะเห็นว่าตัวอุดม อายุปาเข้าไป 72 ปีแล้ว ซึ่งแม้กฎหมายจะไม่ได้ห้ามเอาไว้ เพราะเขียนไว้แค่ว่าต้องอายุไม่ต่ำกว่า 45 ปีเท่านั้นแต่ตามกฎหมายให้ผู้เป็นป.ป.ท.มีเวลาทำงานในตำแหน่งได้ 4 ปี ส.ว.หลายคนเลยเห็นว่าตัวอุดมอายุมากเกินไป เพราะขนาดกรรมการองค์กรอิสระหลายแห่งก็ให้อายุไม่เกิน 70 ปี

อย่างไรก็ตาม มีข่าวว่าเหตุผลหลักที่ทำให้อุดม วืดอดเป็น ป.ป.ท.น่าจะเป็นเพราะการพิจารณาเรื่องบทบาทที่ผ่านมาของตัวนายอุดมมากกว่า เพราะแม้ตามกฎหมายจะระบุว่าผู้จะเป็นป.ป.ท.ต้องไม่เป็นผู้มีตำแหน่งในพรรคการเมือง แต่คนส่วนใหญ่ก็รู้จักตัวอุดมกันทั่วประเทศ เพราะเป็นอดีตตุลาการที่เคยขึ้นเวทีเสื้อแดง-นปช.ไปวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการยุติธรรมและการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระบางแห่งอย่างร้อนแรงมาแล้ว เช่นการวิจารณ์คดียุบพรรคไทยรักไทย-พรรคพลังประชาชน

การที่ อุดม เลือกเปิดตัวบนเวทีเสื้อแดงเช่นนี้ ทำให้หลายคนเห็นว่า อาจเป็นเพราะต้องการตามรอยเพื่อนอดีตตุลาการอีกคนหนึ่งในพรรคเพื่อไทย คือ มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา-อดีตแกนนำเสื้อแดง ที่ต่อมาได้เป็น ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชาชนและตอนนี้ก็มีตำแหน่งการเมืองอยู่ในรัฐบาลเพื่อไทย

ประเด็นสำคัญที่ทำให้หลายคนรู้จักชื่อ อุดม มั่งมีดี ขึ้นไปอีก ก็เพราะก่อนหน้านี้เมื่อปีที่แล้ว ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีก็ยอมรับกลางสภาฯในตอนตอบกระทู้สดของวัชระ เพชรทอง ส.ส.ประชาธิปัตย์ว่า บุคคลที่ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานสอบสวนคดีจตุพร พรหมพันธุ์ ถูกสอบสวนว่าทำผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112ในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กรณีจตุพรขึ้นเวทีปราศรัยบนเวทีเสื้อแดงที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมีเนื้อหาการปราศรัยไม่เหมาะสม ซึ่งเดิมดีเอสไอมีท่าทีจะเอาผิดจตุพร แต่ตอนมาก็สั่งไม่ฟ้อง

ตัวเฉลิมบอกกลางสภาฯ ว่าที่ดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องก็เพราะมีการไปหารือข้อกฎหมายกับอุดม มั่งมีดี หลังธาริต ไม่ยอมบอกว่าคนที่ให้ข้อแนะนำข้อกฎหมายว่าจตุพรไม่ผิดมาตรา 112 คือใคร จนเมื่อเฉลิมยอมรับอย่างเป็นทางการกลางสภาฯ ผู้คนทั้งประเทศถึงได้รู้ว่า ที่จตุพร รอดคุกคดี 112 นอกจากต้องขอบคุณธาริตแล้ว ยังต้องขอบใจ “อุดม” อีกด้วย

มีเสียงชื่นชมอย่างมากที่วุฒิสภา มีมติไม่เห็นชอบให้อุดมเป็น ป.ป.ท.

ด้วยเหตุเพราะที่ผ่านมา ภาพลักษณ์ของ ป.ป.ท.ที่โครงสร้างองค์กรถูกออกแบบมาให้เป็นเสมือน ป.ป.ช.ในภาครัฐ เพื่อมาช่วยแบ่งเบาภาระของ ป.ป.ช. แม้จะเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมที่ก็ต้องขึ้นอยู่กับฝ่ายการเมืองอย่างหลีกเลี่ยง ไม่ได้ แต่ก็มีความพยายามจะออกแบบองค์กรมาให้สามารถทำงานได้อย่างมีอิสระพอสมควร แต่ปรากฏว่าในช่วงรัฐบาลชุดนี้ ที่ พล.ต.อ.ประชา คุมกระทรวงยุติธรรม กลับปรากฏว่า ป.ป.ท.มีปัญหาอย่างมากในเรื่องการทำงาน สังคมเห็นชัดว่า ป.ป.ท.โดนการเมืองแทรกแซงอย่างหนัก ทำให้การตรวจสอบเรื่องการทุจริตต่างๆ มีปัญหา

ดูได้จากกรณีการสั่งย้าย พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ จากเลขาธิการ ป.ป.ท. ไปเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม หลังมีข่าวว่าฝ่ายการเมืองโดยเฉพาะเครือข่าย “เจ๊ ด.” ในเพื่อไทยไม่พอใจที่พ.ต.อ.ดุษฏีไปตามสอบปมทุจริตบางเรื่องแล้วเจอตอใหญ่ มีเครือข่ายนักการเมืองมีส่วนพัวพันกับเรื่องการทุจริตหลายโครงการเช่นงบป้องกันและช่วยเหลือน้ำท่วมปี 54 หรือกรณีการเลี่ยงภาษีการนำเข้ารถหรูจากต่างประเทศเข้ามายังประเทศไทย

เลยมีการเชือด พ.ต.อ.ดุษฎี พ้นเก้าอี้เลขาธิการ ป.ป.ท.ไป หลังมีข่าวลือว่า เพราะขอแล้วไม่ได้

ทำให้ภาพลักษณ์ของ ป.ป.ท.ช่วงที่ผ่านมาอยู่ในสภาพที่หลายคนไม่เชื่อถืออีกต่อไปแล้ว สภาพ ป.ป.ท.วันนี้ จึงไม่แตกต่างอะไรกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ อีกหนึ่งหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม

การที่ต้นทางอย่างวุฒิสภา จะมาช่วยกลั่นกรองคนเข้าไปอยู่ใน ป.ป.ท.ให้ได้คนที่สังคมยอมรับอย่างแท้จริง จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะอย่างน้อยก็จะได้ไม่ทำให้ ป.ป.ท.แย่หนักไปกว่าเดิม

เนื่องจากหากองค์กรนี้ ที่ควรต้องปลอดจากการเมืองกลับมีคนซึ่งสังคมมองว่าอิงการเมืองไปทำงาน ก็มีแต่จะทำให้ ป.ป.ท.ที่แย่หนักอยู่แล้วตอนนี้ ยิ่งกู่ไม่กลับเพราะตอนนี้คดีสำคัญหลายคดีที่ค้างใน ป.ป.ท.ก็พบว่าแทบไม่มีอะไรคืบหน้าออกมาเลย นับแต่เปลี่ยนตัวเลขาธิการ ป.ป.ท.เป็น พ.ต.อ.โภคพิบูลย์ โปตระนันทน์

วุฒิสภาที่เคยได้รับฉายาจากสื่อมวลชนประจำรัฐสภาในการตั้งฉายาเมื่อปลายปี 55 ว่า “ตะแกรง...เลือกร่อน” ด้วยเหตุผลว่า สภาสูงเลือกที่จะตรวจสอบเฉพาะเรื่องที่ ส.ว.บางกลุ่มต้องการ

แต่หาก ส.ว.เลือกร่อนแบบนี้ คือกลั่นกรองคนไปทำงานให้ประเทศอย่างดีที่สุด แล้วสังคมได้ประโยชน์ ก็ทำไปเถอะ อย่างน้อยก็มีคนให้กำลังใจ
กำลังโหลดความคิดเห็น