xs
xsm
sm
md
lg

วงเสวนาแก้รธน. ซัดส.ส.ไร้คุณภาพ แนะโละทิ้งครึ่งหนึ่ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วงเสวนาพัฒนาประชาธิปไตย ระบุรธน.50 ถึงเวลาต้องแก้ไข "ลิขิต" แนะอย่ามองการแก้รธน.เป็นยาหม้อ ต้องถามทุกฝ่ายก่อน เชื่อขัดแย้งมากขึ้นหากขาดการยอมรับ "จรัส"เสนอแก้ไขรายมาตราในส่วนที่บกพร่อง โดยเเฉพาะควรปรับส.ส.ลดลงครึ่งหนึ่ง เพราะมีแต่ปริมาณ ไม่มีคุณภาพ "วรเจตน์"จองเวรศาล อัดระบบตุลาการขาดความชอบธรรม ชี้รัฐฯสูญเสียอำนาจให้ศาลรธน. หลังยอมรับคำวินิจฉัยที่ไม่ชัดเจน แนะรัฐลุยโหวต วาระ3 ชี้ หากไม่ผ่าน ยุบสภาเลือกตั้งใหม่

เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ (10 ก.พ.) ที่โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) สถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย ร่วมกับมูลนิธิคอนราด ประจำประเทศไทย ร่วมกันจัดงานเสวนาวิชาการ หัวข้อ"รัฐธรรมนูญ 2550 ถึงเวลาต้องตัดสินใจ" โดยมี นายลิขิต ธีรเวคิน ราชบัณฑิต สาขาวิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ นายจรัส สุวรรณมาลา อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา และ นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ หัวหน้าภาควิชากฎหมาย มหาชน คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมเสวนา

ทั้งนี้ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ในฐานะประธานสถาบันการศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย กล่าวเปิดงานว่า ขณะนี้ความเห็นในสังคมไทยยังคงเกิดความแตกต่าง ว่าสมควรจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งประเด็นลักษณะนี้สังคมไทยต้องรีบหาคำตอบ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง หากสามารถหาทางออกที่ดีเพื่อให้บ้านเมืองพ้นวิกฤต ก็จะทำให้ประเทศก้าวไป และพัฒนาไปโดยระบบโครงสร้าง สภาพการเมือง ที่ไม่เป็นอุปสรรค

** "ลิขิต"เชื่อยิ่งแก้ ยิ่งขัดแย้ง

นายลิขิต ธีรเวคิน กล่าวว่า 1. รัฐธรรมนูญ 2550 มาจากรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งหลายส่วนดีกว่ารัฐธรรมนูญ 2540 แต่ก็บางประเด็นที่จำเป็นต้องแก้ไข โดยเฉพาะที่มาที่ไปของรัฐธรรมนูญ 2550 เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว มาจากการรัฐประหาร

2. ประเด็นเรื่องการประชุมไม่ครบองค์ ที่ต้องควรปรับเปลี่ยน เพราะเมื่อหากสมาชิกไม่ครบองค์ประชุม ก็ควรจะยุติการประชุม ไม่ใช่ดึงดันที่จะประชุมต่อไป

3. การลงประชามติ ซึ่งเป็นประเด็นใหม่ที่น่าสนใจ และหากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ควรจัดทำประชามติถามประชาชนก่อนว่า จะขอแก้รัฐธรรมนูญ ทั้งฉบับได้หรือไม่

ทั้งนี้มองว่ารัฐธรรมนูญ มาตราที่จำเป็นต้องแก้ไขเด็ดขาด คือ มาตรา 309 เพราะรับไม่ได้ มีไว้ไม่ได้ เพราะการใส่มาตรา 309 เท่ากับเป็นการนำสิ่งซึ่งผิดหลักนิติธรรม และขัดต่อหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย ให้กลายมาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง โดยใช้รัฐธรรมนูญ 50 เป็นกฎหมายรองรับ

" ขณะนี้เรากำลังมองรัฐธรรมนูญว่า เป็นเหมือนยาหม้อ หากดำเนินการแก้ไขทุกอย่างก็จะจบ แต่แท้จริงแล้วเชื่อว่า ยิ่งแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเกิดความขัดแย้งมากขึ้น เพราะคนในสังคมมีความแตกต่างกัน"

นายลิขิต กล่าวด้วยว่า ก่อนที่จะแก้ไขรธน. ควรถามก่อนว่า เห็นด้วยที่จะให้เดินหน้าแก้ไขรธน.หรือไม่ หากเห็นด้วย ให้เดินหน้าแก้ไขรธน. ก็ควรหารือกันก่อนว่า เราจะอยู่ร่วมกันหรือไม่ และอยู่ร่วมกันอย่างไร ถอยมาคนละก้าวหรือไม่ ต้องการให้บ้านเมืองแตกแยกเช่นนี้หรือไม่ หลักสำคัญที่สุด รธน. ต้องมีความเป็นประชาธิปไตย โดยขอเรียกร้องประเด็น 1. สิทธิเสรีภาพ ความ เสมอภาพ ความยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน ฉะนั้น ความเสมอภาพต้องมาก่อนภราดรภาพ ตราบใดที่ไม่เป็นเช่นนั้น ความปรองดองย่อมไม่เกิดแน่นอน กฎของการปรองดอง ต้องเอาหลักการเรื่องการการยอมรับมาก่อน ถึงจะปรองดองได้

** "จรัส"ชี้จำนวนส.ส.เยอะเกินไป

นายจรัส สุวรรณมาลา กล่าวว่า เราใช้ รธน.50 มาเป็นเวลา 5 ปี เกิดการเลือกตั้งทั่วไป 2 ครั้ง แต่ส่วนตัวเห็นว่ารธน. 50 มีประเด็นที่เกิดข้อบกพร่อง และจำเป็นต้องแก้ไข แต่ไม่ใช่ว่าหากไม่แก้จะเกิดวิกฤติ เพราะคิดว่า รธน.ฉบับนี้ยังไม่ถึงขั้นวิกฤติ เพราะยังไม่ได้เป็นเหตุของปัญหาเท่าใด

ต้องยอมรับว่ารัฐบาลชุดปัจจุบัน มีความชอบธรรม สถาบันการเมืองอื่นๆ ก็ทำงานไปตามไปปกติ ไม่เกิดอุปสรรค อาจมีทำงานขัดข้องบ้าง คอร์รัปชันบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาของรัฐธรรมนูญ นั่นเป็นปัญหาของการตรวจสอบ ประเด็นที่ต้องแก้ไขรธน. ถ้าจะแก้ส่วนที่บกพร่อง ก็ควรแก้ไขเป็นรายมาตรา แต่ปรากฏว่า รธน.ฉบับนี้มาจากการปฏิวัติ ส่งผลให้เกิดการไม่ยอมรับ ถ้าอยากจะลบทิ้ง ก็ต้องยกร่างขึ้นมาใหม่ ถ้าจะยกร่างใหม่ ก็ต้องทำประชามติ ถามประชาชน ซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจ ซึ่งมองว่าการยกร่างขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่เรื่องแปลก สามารถทำได้ แต่ต้องเป็นไปตามกระบวนการที่ถูกต้อง และที่สำคัญควรทำความเข้าใจให้เกิดความชัดเจนก่อนที่จะทำประชามติ การทำประมติควรให้เวลาที่มากพอสมควร ไม่ควรรีบทำตั้งเป้าให้รีบจบเร็ว

ทั้งนี้ รธน.50 มีข้อบกพร่องหลายอยาง โดยเฉพาะเรื่องแนวนโยบายบนพื้นฐานแห่งรัฐ หากตัดออกไป ก็จะกระชับมากขึ้น ส่วนที่หลายๆ ครั้งก่อนการร่างรธน. มีการพูดถึงกันว่า ควรมีสภาเดียวได้หรือไม่ ไม่มีวุฒิสภา แต่หากให้เหลือเพียงสภาเดียว ก็ต้องทำให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นอิสระจากรัฐบาล ต้องไม่มีการผูกขาดจากพรรคการเมือง แต่ส่วนตัวคิดว่า วุฒิสภาทำงานได้ดีกว่าสภาผู้แทนราษฎร และต้องทำให้ส.ส. ไม่ได้ทำหน้าที่ในสภาแค่เพียงการยกมือ ปริมาณมาก แต่คุณภาพไม่ได้ดีขึ้น ก็ควรปรับส.ส.ให้เหลือ 1 คน ต่อประชากร 5 แสนคน ซึ่งก็จะมีส.ส.ประมาณ 125 คน ส่วนส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ ควรเหลือเพียงครึ่งหนึ่ง และไม่ควรเอาส.ส.ที่ป่วยเข้ามาทำงาน เพราะเสียศักยภาพ

** อัดระบบตุลาการขาดความชอบธรรม

นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ กล่าวว่า ถึงที่สุด รธน. ฉบับนี้ต้องแก้ไข แม้ว่าจะมีผู้ไม่เห็นด้วย แต่ก็ต้องยอมรับความเป็นจริง เพราะมีหลายมาตราไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรม รวมทั้งระบบศาล ตุลาการ ขาดความชอบธรรมในประชาธิปไตย ศาลที่อยู่ในปัจจุบันไม่ชอบธรรมในแง่ของความชอบธรรมของการใช้อำนาจ อีกทั้งประเทศไทยเกิดการไม่เคารพ และไม่ยอมรับ จะแก้ไขรธน.อย่างไร ก็แก้ไขไม่ได้ เวลารัฐบาลใดแตะ จะดำเนินการแก้ไขก็ไม่สามารถทำได้ เกิดปัญหาขึ้นตลอด และจากการที่ได้พูดคุยกับนักวิชาการ เห็นว่าศาลรธน. รับคำร้องว่า การแก้ไขรธน. เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง การที่องค์กรพิทักษ์รธน. ละเมิดรธน.เสียเอง เราจะต้องฟังอีกหรือไม่ หากต้องฟังก็จะไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรได้เอง

ขณะนี้กระบวนการแก้ไขรธน. พ้นวาระ 2 มาแล้ว กำลังอยู่ในวาระ 3 ซึ่งรัฐบาลสูญเสียอำนาจให้กับศาลรธน. เพราะไปยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรธน. ซึ่งเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ชัดเจน เพราะแทนที่คำวินิจฉัยจะช่วยแก้ไขปัญหากลับยิ่งสร้างปมปัญหา

อย่างไรก็ตาม มองว่ารัฐบาลปล่อยค้างการแก้ไขรธน.วาระ 3 ไม่ได้ ไม่ถูกต้อง ควรเดินหน้าลงมติวาระ 3 ไป ผ่านหรือไม่ผ่าน ก็ค่อยว่ากัน หากไม่ผ่านรัฐบาลก็ยุบสภา แล้วมาเลือกตั้งใหม่ จากนั้นก็มาเดินหน้าเรื่องการแก้ไขรธน.ต่อไป หรือไม่อีกแนวทางหนึ่งก็คือ ค้างการแก้ไขรธน. วาระ 3 ไว้ แล้วไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบศาล หากไม่ใช้หลักการเช่นนี้ เราไม่สามารถหากทางออกในเรื่องนี้ได้ สุดท้ายผลเสียหายจะตกอยู่กับประเทศชาติ

ด้านนายไพบูลย์ นิติตะวัน กล่าวว่า ปัญหาจริงแล้วๆ อยู่ที่คนเขียนรธน.ปี 50 เพราะเขียนว่า จะแก้ไขรธน.ได้ต้องเป็นเสียงข้างมาก และใช้เพียงสภาเดียว ขณะที่กฎหมายทั่วไปยังใช้ 2 สภาเลย การที่ไปเขียนเช่นนี้ เป็นที่มาให้เกิดความฟุ้งซ่าน หากต้องใช้เสียงข้างมากแบบพิเศษ จำเป็นต้องรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย.
กำลังโหลดความคิดเห็น