ASTVผู้จัดการรายวัน - ผู้ว่าแบงก์ชาติเอาอยู่ ตัวแทนสภาอุตฯ เคลิ้ม เหตุ 6 ใน 7 ข้อเสนอ แบงก์ชาติดำเนินการอยู่แล้ว ส่วนข้อเสนอให้แยกเงินเก็งกำไรกับเงินลงทุนออมา คงไม่เหมาะสมในตลาดการเงินแบบเสรี ยืนยันตั้งแต่ต้นปีไม่พบการโจมตีค่าเงิน แต่ยังมีแนวโน้มผันผวนต่อ แนะผู้ประกอบการปรับตัว พร้อมประสานแบงก์ให้ช่วยภาคธุรกิจเข้าถึงเครื่องมือบริหารความเสี่ยง และจะประชาสัมพันธ์ให้ทราบกลไกการทำงานการดูแลความเสี่ยงมากขึ้น
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยช่วงเช้าวานนี้ (29 ม.ค.)ว่า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เตรียมเสนอให้ ธปท.ในการหารือร่วมกันในช่วงบ่ายวานนี้ ธปท.เห็นว่าข้อเสนอ 6 ใน 7 ข้อ ในขณะนี้ ธปท.ได้ดำเนินการเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว แต่มีเพียงข้อเสนอเดียวที่ ส.อ.ท.ต้องการให้แยกบัญชีเงินที่จะเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินกับต่างชาตินำเงินทุนเข้ามาลงทุนให้ชัดเจน เพื่อออกมาตรการควบคุมนั้นเห็นว่าไม่สามารถระบุได้ชัดเจนนักว่า เป็นการเข้ามาเก็งกำไร หรือเข้ามาลงทุนระยะสั้น
“ส่วนมาตรการที่เห็นว่า ควรจะให้มีการลงทะเบียนเงินทุนที่ไหลเข้ามาว่า เข้ามาจากไหน และเข้ามาทำอะไรนั้น ในบางประเทศก็มีทำอยู่ ซึ่งในส่วนของ ธปท. หากมีความจำเป็นก็เป็นมาตรการหนึ่งที่ทำได้ แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยเป็นประเทศที่กฎเกณฑ์ในการนำเข้าและส่งออกเงินทุนค่อนข้างเสรี ดังนั้น การจะดำเนินการอย่างไร ออกมาตรการอะไร ต้องทำให้เหมาะสมกับสถานการณ์และระยะเวลา เพราะกรณีแบบนี้จะสร้างความไม่เชื่อมั่น และยังสร้างความยุ่งยากให้กับสถาบันการเงินผู้ปฏิบัติด้วย”
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ยังไม่เห็นการนำเงินเข้ามาซื้อขายเงินบาทในลักษณะการเก็งกำไรทั้งในตลาดเงิน และตลาดตราสารหนี้ และ ธปท.มีหน้าที่ติดตามใกล้ชิด ซึ่งในช่วงก่อนหน้านี้ เคยมีสถาบันบางแห่ง หรือธนาคารต่างประเทศบางแห่งช่วยในเรื่องการเก็งกำไรค่าเงิน เช่น การนำเงินเข้ามาโดยไม่มีธุรกรรมรองรับที่เหมาะสม ซึ่งเมื่อ ธปท.พบก็ให้ชี้แจง และหากชี้แจงไม่ได้ก็มีการลงโทษป้องปราม ไปจนถึงการยกเลิกใบอนุญาตการทำธุรกรรมดังกล่าว
"ค่าเงินบาทในช่วงต่อไปยังคงมีความผันผวน และทุกฝ่ายจำเป็นต้องช่วยกัน โดยในส่วนของทางการ ก็จะดูในส่วนของโครงสร้าง ในภาพรวมของระบบอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท รวมทั้งการผ่อนคลายมาตรการให้เกิดการไหลออกของเงินที่สะดวก และมากขึ้น ขณะที่รัฐบาลก็ช่วยในเรื่องการสร้างสมดุลเงินเช้าออก โดยได้ขอให้รัฐวิสาหกิจที่จะกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อลงทุนหรือมีหนี้สินต่างประเทศ บริหารอัตราแลกเปลี่ยนให้เหมาะสม และช่วยสร้างเสถียรภาพของค่าเงิน แต่ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนก็ต้องช่วยตัวเอง ต้องปรับตัวรองรับความผันผวนที่จะเกิดด้วย" นายประสารกล่าว
สำหรับตัวเลขการส่งออกไทยตลอดปี 55 เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเพียง 3.2% จากตัวเลขที่ ธปท.คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 3.6%นั้น ผู้ว่าการธปท.กล่าวว่า ยังไม่ได้มีผลให้ ธปท.ต้องปรับเปลี่ยนการคาดการณ์เศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะโต 5.9% โดยจะต้องพิจารณาภาพรวมในด้านการใช้จ่าย การลงทุน ของภาคเอกชนในไตรมาสที่ 4 ด้วย
ประสานแบงก์ช่วยภาคธุรกิจ
นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท.กล่าวภายหลังจากการหารือร่วมกับส.อ.ท.ว่า การหารือครั้งนี้เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันมากกว่า โดยทาง ส.อ.ท.เบาใจขึ้น หลังจากที่ ธปท.ได้ชี้ให้เห็นว่าเงินบาทอาจแข็งค่ามากในช่วงเวลา 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ก็มีแนวโน้มเงินบาทอ่อนค่าลงบ้างแล้ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่เงินบาทจะดีดตัวในระยะสั้นๆ แต่สิ่งเหล่านี้ต้องดูระยะยาว ซึ่งเหมือนกับหลายๆ สกุลเงิน จึงต้องดูปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจประเทศนั้นๆ ประกอบด้วย และต่อไปธปท.จะดูแลค่าเงินบาทเทียบกับสกุลเงินอื่นๆให้หลากหลายมิติมากขึ้นไม่เฉพาะดอลลาร์สหรัฐ
“ขณะนี้แบงก์ชาติยังไม่มีการใช้มาตรการอะไรมาดูแลค่าเงินบาท เราก็มีมาตรการในมือ ซึ่งดูความเหมาะสมตามสถานการณ์ เพราะการใช้ยาพวกนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสียต้องให้ถูกกับโรค และหากใช้ยาแรงหรืออ่อนเกินไปอาจไม่ได้ผล ฉะนั้น เราต้องมั่นใจในการใช้ในช่วงเวลาที่จำเป็นและขนาดที่เหมาะสม”รองผู้ว่าการธปท.กล่าวและว่าในอีกทางหนึ่งธปท.จะประสานไปยังธนาคารพาณิชย์ช่วยผ่อนคลายบางเรื่อง เพื่อให้ธุรกิจเข้าถึงเครื่องมือต่างๆ ป้องกันความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งเห็นว่าสิ่งนี้ภาคธุรกิจควรทำอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์ให้ทราบกลไกการทำงานต่างๆ เพื่อให้ได้รับค่าใช้จ่ายไม่แพง ขณะที่ภาคธุรกิจควรหันมาใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการจ่ายหรือรับชำระสินค้ามากขึ้น
นอกจากนี้ ธปท.ขอย้ำว่าตอนนี้ได้ให้แก่ผู้ประกอบการสามารถนำรายได้จากต่างประเทศฝากไว้ได้เท่ากับยอดธุรกรรมได้โดยไม่จำกัดระยะเวลา ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพียงแต่อาจอ่อนเรื่องประชาสัมพันธ์ ซึ่งจะดูแลเรื่องนี้ต่อไปและทางส.อ.ท.ช่วยด้วยอีกทางหนึ่ง.
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยช่วงเช้าวานนี้ (29 ม.ค.)ว่า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เตรียมเสนอให้ ธปท.ในการหารือร่วมกันในช่วงบ่ายวานนี้ ธปท.เห็นว่าข้อเสนอ 6 ใน 7 ข้อ ในขณะนี้ ธปท.ได้ดำเนินการเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว แต่มีเพียงข้อเสนอเดียวที่ ส.อ.ท.ต้องการให้แยกบัญชีเงินที่จะเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินกับต่างชาตินำเงินทุนเข้ามาลงทุนให้ชัดเจน เพื่อออกมาตรการควบคุมนั้นเห็นว่าไม่สามารถระบุได้ชัดเจนนักว่า เป็นการเข้ามาเก็งกำไร หรือเข้ามาลงทุนระยะสั้น
“ส่วนมาตรการที่เห็นว่า ควรจะให้มีการลงทะเบียนเงินทุนที่ไหลเข้ามาว่า เข้ามาจากไหน และเข้ามาทำอะไรนั้น ในบางประเทศก็มีทำอยู่ ซึ่งในส่วนของ ธปท. หากมีความจำเป็นก็เป็นมาตรการหนึ่งที่ทำได้ แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยเป็นประเทศที่กฎเกณฑ์ในการนำเข้าและส่งออกเงินทุนค่อนข้างเสรี ดังนั้น การจะดำเนินการอย่างไร ออกมาตรการอะไร ต้องทำให้เหมาะสมกับสถานการณ์และระยะเวลา เพราะกรณีแบบนี้จะสร้างความไม่เชื่อมั่น และยังสร้างความยุ่งยากให้กับสถาบันการเงินผู้ปฏิบัติด้วย”
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ยังไม่เห็นการนำเงินเข้ามาซื้อขายเงินบาทในลักษณะการเก็งกำไรทั้งในตลาดเงิน และตลาดตราสารหนี้ และ ธปท.มีหน้าที่ติดตามใกล้ชิด ซึ่งในช่วงก่อนหน้านี้ เคยมีสถาบันบางแห่ง หรือธนาคารต่างประเทศบางแห่งช่วยในเรื่องการเก็งกำไรค่าเงิน เช่น การนำเงินเข้ามาโดยไม่มีธุรกรรมรองรับที่เหมาะสม ซึ่งเมื่อ ธปท.พบก็ให้ชี้แจง และหากชี้แจงไม่ได้ก็มีการลงโทษป้องปราม ไปจนถึงการยกเลิกใบอนุญาตการทำธุรกรรมดังกล่าว
"ค่าเงินบาทในช่วงต่อไปยังคงมีความผันผวน และทุกฝ่ายจำเป็นต้องช่วยกัน โดยในส่วนของทางการ ก็จะดูในส่วนของโครงสร้าง ในภาพรวมของระบบอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท รวมทั้งการผ่อนคลายมาตรการให้เกิดการไหลออกของเงินที่สะดวก และมากขึ้น ขณะที่รัฐบาลก็ช่วยในเรื่องการสร้างสมดุลเงินเช้าออก โดยได้ขอให้รัฐวิสาหกิจที่จะกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อลงทุนหรือมีหนี้สินต่างประเทศ บริหารอัตราแลกเปลี่ยนให้เหมาะสม และช่วยสร้างเสถียรภาพของค่าเงิน แต่ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนก็ต้องช่วยตัวเอง ต้องปรับตัวรองรับความผันผวนที่จะเกิดด้วย" นายประสารกล่าว
สำหรับตัวเลขการส่งออกไทยตลอดปี 55 เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเพียง 3.2% จากตัวเลขที่ ธปท.คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 3.6%นั้น ผู้ว่าการธปท.กล่าวว่า ยังไม่ได้มีผลให้ ธปท.ต้องปรับเปลี่ยนการคาดการณ์เศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะโต 5.9% โดยจะต้องพิจารณาภาพรวมในด้านการใช้จ่าย การลงทุน ของภาคเอกชนในไตรมาสที่ 4 ด้วย
ประสานแบงก์ช่วยภาคธุรกิจ
นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท.กล่าวภายหลังจากการหารือร่วมกับส.อ.ท.ว่า การหารือครั้งนี้เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันมากกว่า โดยทาง ส.อ.ท.เบาใจขึ้น หลังจากที่ ธปท.ได้ชี้ให้เห็นว่าเงินบาทอาจแข็งค่ามากในช่วงเวลา 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ก็มีแนวโน้มเงินบาทอ่อนค่าลงบ้างแล้ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่เงินบาทจะดีดตัวในระยะสั้นๆ แต่สิ่งเหล่านี้ต้องดูระยะยาว ซึ่งเหมือนกับหลายๆ สกุลเงิน จึงต้องดูปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจประเทศนั้นๆ ประกอบด้วย และต่อไปธปท.จะดูแลค่าเงินบาทเทียบกับสกุลเงินอื่นๆให้หลากหลายมิติมากขึ้นไม่เฉพาะดอลลาร์สหรัฐ
“ขณะนี้แบงก์ชาติยังไม่มีการใช้มาตรการอะไรมาดูแลค่าเงินบาท เราก็มีมาตรการในมือ ซึ่งดูความเหมาะสมตามสถานการณ์ เพราะการใช้ยาพวกนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสียต้องให้ถูกกับโรค และหากใช้ยาแรงหรืออ่อนเกินไปอาจไม่ได้ผล ฉะนั้น เราต้องมั่นใจในการใช้ในช่วงเวลาที่จำเป็นและขนาดที่เหมาะสม”รองผู้ว่าการธปท.กล่าวและว่าในอีกทางหนึ่งธปท.จะประสานไปยังธนาคารพาณิชย์ช่วยผ่อนคลายบางเรื่อง เพื่อให้ธุรกิจเข้าถึงเครื่องมือต่างๆ ป้องกันความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งเห็นว่าสิ่งนี้ภาคธุรกิจควรทำอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์ให้ทราบกลไกการทำงานต่างๆ เพื่อให้ได้รับค่าใช้จ่ายไม่แพง ขณะที่ภาคธุรกิจควรหันมาใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการจ่ายหรือรับชำระสินค้ามากขึ้น
นอกจากนี้ ธปท.ขอย้ำว่าตอนนี้ได้ให้แก่ผู้ประกอบการสามารถนำรายได้จากต่างประเทศฝากไว้ได้เท่ากับยอดธุรกรรมได้โดยไม่จำกัดระยะเวลา ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพียงแต่อาจอ่อนเรื่องประชาสัมพันธ์ ซึ่งจะดูแลเรื่องนี้ต่อไปและทางส.อ.ท.ช่วยด้วยอีกทางหนึ่ง.
