ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข อดีตบรรณาธิการนิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ( VOICE OF TAKSIN) และแกนนำกลุ่ม 24 มิถุนา เพื่อประชาธิปไตยนับเป็นรายล่าสุดที่ศาลมีคำพิพากษาในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นและแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ และองค์รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
สั่งจำคุก 10 ปีโดยไม่รอลงอาญา
ทั้งนี้ นายสมยศมิใช่ “คนเสื้อแดง” รายแรกที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษอย่างเด็ดขาด หากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้ก็มีกรณีของดา ตอร์ปิโด-ดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล กรณีอากง-นายอำพล ตั้งนพกุล หรือที่เพิ่งผ่านไปก่อนหน้านี้ไม่นานนักก็คือ ฯพณฯ ยศวริศ ชูกล่อม ที่รู้จักกันดีในชื่อ “เจ๋ง ดอกจิก”
นี่คือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนสำหรับความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายอาญา ม.112 ที่ลงโทษเหล่ากอของขบวนการล้มเจ้าที่มีตัวตนที่แท้จริงและอิงแอบแนบแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับคนเสื้อแดง
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเทียบกับทุกคดีที่เกิดขึ้น คงต้องกล่าวว่ากรณีของสมยศ พฤกษาเกษมสุขมีความเหิมเกริมมากที่สุด เพราะเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่มีหลักฐานชัดเจนปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรในนิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ( VOICE OF TAKSIN) ที่มีเขาเป็นบรรณาธิการ
คงไม่ต้องขยายความ วิญญูชนคงเข้าใจได้ว่า นิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ( VOICE OF TAKSIN) สมยศดำเนินการจัดทำขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์อื่นใด เพราะเพียงแค่ชื่อก็ชี้ชัดแล้วว่า เพื่อเป็นกระบอกเสียงของนักโทษชายหนีคดี
ทั้งนี้ อัยการบรรยายฟ้องเอาไว้ว่า “นิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ( VOICE OF TAKSIN) ปีที่ 1 ฉบับที่ 15 ปักษ์หลัง เดือน ก.พ. 2553 ที่พิมพ์บทความ คมความคิด ของผู้ใช้นามปากกาว่า จิตร พลจันทร์ เรื่องแผนนองเลือดกับยิงข้ามรุ่น หน้าที่ 45 - 47 โดยเนื้อหาบทความสื่อให้เข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ทรงเป็นผู้ออกคำสั่งให้สังหารประชาชนจำนวนมากในเหตุการณ์ 6 ต.ค.2519 และทรงเป็นผู้วางแผนตระเตรียมสถานการณ์เพื่อสังหารประชาชนจำนวนมากอย่างโหดเหี้ยมรุนแรงภายหลังวันพิพากษายึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งไม่มีมูลความจริง และระหว่างวันที่ 1 - 15 มี.ค.2553 เวลากลางวัน จำเลยยังจัดพิมพ์ จำหน่ายและเผยแพร่ นิตยสารเสียงทักษิณ ปีที่ 1 ฉบับที่ 16 ปักษ์แรก มี.ค.2553 บทความ คมความคิด ของจิตร พลจันทร์ เรื่อง 6 ตุลาแห่ง พ.ศ.2553 หน้าที่ 45-47 เนื้อหาสื่อให้เข้าใจว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ทรงมีพฤติการณ์ที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเหตุการณ์ที่มีความขัดแย้งและเกิดการนองเลือดขึ้นในประเทศไทยหลายครั้ง และทรงมีพฤติการณ์ในการควบคุมบงการอยู่เบื้องหลังรัฐบาลของประเทศไทยหลายชุด และยังทรงเป็นผู้วางแผนในการทำลายฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งไม่มีมูลความจริง เหตุเกิดที่แขวง-เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร และ ทุกท้องที่ ทั่วราชอาณาจักรไทย ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58,91,112”
ในที่สุดศาลก็มีคำพิพากษาออกมาว่า จำเลยมีความผิดซึ่งเป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษเป็นกระทงความผิดไป ให้จำคุกจำเลย 2 กระทงๆ ละ 5 ปี รวมจำคุก 10 ปี โดยเป็นที่น่าสังเกตว่า เป็นการลงโทษที่สูงกว่าโทษขั้นต่ำที่กำหนดเอาไว้ จำคุก 3-15 ปี ยิ่งเมื่อเทียบกับคดีที่นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ที่ศาลพิพากษาโทษเพียงแค่ 3 ปี และยังลดโทษเหลือจำคุก 2 ปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ความผิดของนายสมยศนั้น ดุลยพินิจของศาลเห็นว่ามีความร้ายแรงกว่า
กระนั้นก็ดี คงต้องบอกว่า คดีนี้มิได้มีความน่าสนใจแค่ชื่อของนายสมยศเพียงคนเดียวเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากรายชื่อกลุ่มก๊วนคนทำงานคือคอลัมนิสต์ที่เขียนบทความลงในนิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ( VOICE OF TAKSIN)ก็ล้วนแล้วจัดอยู่ในปีกซ้ายจัดทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นนายสุธรรม แสงประทุม นายจักรภพ เพ็ญแข นายจรัล ดิษฐาอภิชัย นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ หรือแม้กระทั่งรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาอย่างนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ก็เป็นหนึ่งในคอลัมนิสต์ของนิตยสารฉบับนี้
แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นเน้นย้ำเอาไว้ก็คือ เจ้าของบทความอันเป็นต้นเหตุแห่งคำพิพากษาที่ใช้นามปากกว่า “จิตร พลจันทร์” ก็หาใช่ใครอื่นไกล หากแต่คือ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
นอกจากนั้น คดีของนายสมยศมิอาจปฏิเสธได้ว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดง เพราะหนึ่งทนายความคือ นายคารม พลพรกลางก็เป็นทนายของคนเสื้อแดง แถมในวันพิพากษา นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. และคนเสื้อแดงก็เดินทางมาร่วมให้กำลังใจ
หนักไปกว่านั้นคือหลังจากเสร็จสิ้นการฟังคำพิพากษา กลุ่มเสื้อแดงได้รวมตัวกัน ที่บริเวณหน้าศาลอาญาพร้อมชูป้ายกระดาษเขียนข้อความว่า “ทวงคืนยุติธรรม” “อำมาตย์หยุดทำนาบนหลังคน” “การอาฆาตและพยาบาทคือความจริง” “คนไทยไม่ใช่ทาส” “อำมาตย์ทวงคืนความยุติธรรม” โดยยืนชูป้ายอยู่นานประมาณ 2 -3 นาที
ถึงตรงนี้ คงไม่ต้องอธิบายขยายความ ก็คงเข้าใจได้เองว่า คนเสื้อแดงมีความคิดอย่างไร