ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ได้ฤกษ์เปิดตัวเปิดหน้ากันแล้วสำหรับสนามเลือกตั้งท้องถิ่นชิงเก้าอี้ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งที่น่าจับตามองย่อมหนีไม่พ้นการต่อสู้ขับเคี่ยวกันของสองพรรคใหญ่ คือพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ โดยในฝั่งพรรคเพื่อไทยยังคงเป็นพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.พรรคเพื่อไทย และม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ไปจนกว่าจะถึงวันชี้ชะตา ในวันที่ 3 มีนาคม 2556 ที่จะถึงนี้
ขณะเดียวกัน การเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ครั้งนี้ สำหรับความสำคัญของทั้ง 2ฝ่าย มีเดิมพันสูงทั้งคู่ เพราะต่างฝ่ายต่างแพ้ไม่ได้ โดยทางพรรคประชาธิปัตย์ พื้นที่กทม.ถือเป็นหม้อข้าวใบสุดท้าย เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในทางปัจจัยและต้นทุนคะแนนเสียงทางการเมืองที่ยังพอเหลืออยู่ ขณะที่ฝั่งพรรคเพื่อไทยหมายมั่นปั้นมือ ตีเมืองหลวงแตก นอกจากได้ทุบทำลายฝ่ายตรงกันข้ามแล้ว ยังเป็นการรุกเข้ายึดกุมพื้นที่ฐานเสียงสำคัญที่ตัวเองติดแต้มลบเสมอมาและ เพื่อเป็นแต้มต่อไปถึงการเลือกตั้งทั่วไปอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม หากจะกล่าวถึงในมุมของคนกรุงเทพฯ ด้วยแล้วที่ไม่พ้นต้องอยู่ในสภาวะตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งต้องบอกว่าน่าหดหู่ไม่น้อยเช่นกันในเรื่องของความคาดหวังในด้านต่างๆ อาทิ ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ ปัญหาการจราจรและการขนส่งมวลชน เนื่องจากปัญหาของกรุงเทพฯยังมีอะไรอีกมากมายที่จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ
เพราะตัวแทนจากสองพรรคใหญ่ที่เสนอตัวเข้ามาให้เลือก ทั้งคนเก่าที่ต้องการรักษาแชมป์ อย่าง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จากพรรคประชาธิปัตย์ สมฉายาดีแต่พูดแบบปฏิเสธเสียมิได้ เนื่องจาก 4ปี ที่ผ่านมาในการทำหน้าที่ของหม่อมหมู คนกทม.ย่อมรู้ดีว่ามีผลงานเชิงประจักษ์สักกี่มากน้อย ขณะที่ผู้ท้าชิงจากพรรคเพื่อไทย อย่าง เสาไฟ้าเมดอินดูไบ พล.ต.อ.พงศพัศ นั้นเมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวด์ใครที่ติดตามมาก็มีดีแค่นักประชาสัมพันธ์ สร้างภาพอย่างฉาบฉวยเท่านั้น ดังนั้นแล้ว เห็นทีงานนี้บอกตรงๆคงต้องบอกว่าปวดหัวปวดใจแทนคน กทม.ไม่น้อยเลยทีเดียว
**จูดี้ เสาไฟฟ้าเมดอินดูไบ จุดดับรอยต่อรัฐบาล
กล่าวสำหรับ พล.ต.อ.พงศพัศ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.พรรคเพื่อไทย ต้องบอกว่ากว่าจะเบียดเข้าป้ายมาได้ก็เจอศึกหนักในพรรคเพื่อไทยไม่น้อย เพราะเจอทั้งขวางทาง ก่อหวอดกันของส.ส.เพื่อไทยในกลุ่มก๊วนกทม.ของคุณหญิงหน่อย สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จนเป็นแผลร้าวลึกภายในพรรคเพื่อไทยอยู่นานสองนาน ไม่เว้นแม้แต่วินาทีที่ จูดี้ ได้รับภารกิจเป็นตัวแทนของพรรคเพื่อไทยแล้ว ก็ยังถูกหักหน้าจาก คุณหญิงสุดารัตน์ อยู่ดี
ล่าสุด นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรค เป็นผู้อำนวยการศูนย์เลือกตั้ง ลงทุนลงแรงบอกว่าคุณหญิงสุดารัตน์จะเข้ามาอยู่ในทีมงานอำนวยการเลือกตั้งของพรรค วันหยุดที่ผ่านมาคุณหญิงสุดารัตน์มาช่วยดูนโยบายการหาเสียงผู้ว่าฯกทม. แต่สุดท้ายก็หน้าแหกไปเต็มๆ เพราะปรากฏว่าวันได้ฤกษ์เปิดตัวกันตูมตาม ขณะที่ “บิ๊กจูดี้” โดดขึ้นโพเดียมโชว์วิสัยทัศน์อย่างฉะฉาน ผู้คนมาให้กำลังใจกันคับคั่ง ทั้งนายกฯ หัวหน้า เลขาธิการพรรค แต่ไร้เงา “เจ๊หน่อย” เจ้าแม่ กทม. ด้วยข้ออ้างติดภารกิจบินไปต่างประเทศ
แค่เริ่มเปิดตัวก็ปรากฏว่าสนิมเนื้อในมันยังฝังลึก จนสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่านี่น่ะหรือตัวแทนของเพื่อคน กทม.ขนาดความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งในเดียวกันในพรรคยังหากันแทบไม่เจอ แย่งชิงดีชิงเด่น สมควร
แล้วหรือที่ คนกทม.จะฝากความหวังให้ดูแลชีวิตความเป็นอยู่ให้
แต่นาทีนี้ถือว่า พล.ต.อ.พงศพัศ คงจะเหมาะสมที่สุด ด้วยลักษณะความเป็นตัวนักสร้างภาพฉาบฉวยไม่มีใครเทียบ พูดจาเน้นหลักการดูดี มีวิธีการทำงานเสนอหน้า โชว์สื่อรายวัน ช่วยไหนท็อปฟอร์มดาราในจอทีวียังอาย ยุคหนึ่งเคยได้ฉายาว่า "ดาราสีกากี" มาแล้ว เรียกว่าเหมาะสมเป็นการเป็นงานในฐานะนักประชาสัมพันธ์ และที่สำคัญเป็นตำรวจเป็นสีเดียวกัน อย่างนี้แล้วจะไม่ให้ถูกใจ นช.ทักษิณ ชินวัตรได้อย่างไร ที่กล้าอาจหาญประกาศแบบไม่อายฟ้าอายดินว่าเสาไฟฟ้า ยี่ห้อดูไบ แบบพล.ต.อ.พงศพัศ จะชนะในการการเลือกตั้งผู้ว่ากทม. ซึ่งถือเป็นการตบหน้าคนกทม.เข้าฉาดใหญ่ เพราะแน่นอนว่าฉายาพรรคเผาไทย ที่เป็นวาทกรรมให้คนเมืองพูดถึงอยู่เสมอนั้น ไม่ได้ได้มาเพราะโชคช่วยแน่นอน
ดังนั้นแล้วคงต้องถามว่า เสาไฟฟ้าเมดอินดูไบ อย่างพล.ต.อ.พงศพัศ จะเอาชนะใจคนกรุงได้อย่างไร
แถมล่าสุดพรรคเพื่อไทยที่แอบไปสำรวจความคิดเห็นคนกรุงล่วงหน้าก็ปรากฏว่า คะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยยังเป็นรองพรรคประชาธิปัตย์ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ชั้นในที่เป็นฐานเสียง ปชป.อยู่แล้ว อาทิ พระนคร ป้อมปราบศัตรูพ่าย สัมพันธวงศ์ ดุสิต
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะต้องพูดถึงคงจะหนีไม่พ้นนโยบาย แคมเปญของผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. สำหรับ พล.ต.อ.พงศพัศ นั้นทางพรรคเพื่อไทยชูสโลแกนขอโอกาสในการบริหารงาน กทม.ควบคู่ไปกับการขายสาระนโยบาย รวมถึงความคล่องตัวในการบริหารหากรัฐบาล และ กทม.เป็นเนื้อเดียวกัน
และคงต้องบอกว่าช่างกล้าไม่น้อยที่เลือกชูนโยบายขอโอกาสในการบริหารงาน กทม.ควบคู่ไปกับการขายสาระนโยบายเป็นเนื้อเดียวกันกับรัฐบาล และคำถามที่สำคัญก็คือผลงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เตะตา โดนใจคนกรุงเสียนี้กระไรถึงกล้าประกาศนำนโยบายไปสานต่อกัน ยิ่งมองไปที่นโยบายของรัฐบาลด้วยแล้ว แค่นโยบายรถคันแรก ก็ตายสนิท เพราะไม่รู้ว่าเอาสมองส่วนไหนคิด ซึ่งนโยบายนี้กำลัง ทำให้กทม.เกิดปัญหารถติดมากขึ้นจากที่เป็นปัญหาอันดับ 1 ของเมืองหลวงอยู่แล้ว ให้ซ้ำหนักข้อขึ้นไปอีก
แทนที่จะไปแก้ปัญหาระบบขนส่งมวลชนอื่นๆให้ดีขึ้น ขณะที่คนกรุงต้องรอความสยองหากรถคันแรกจะออกมาเต็มจำนวนที่จองและมาเบียดเสียดยัดเยียดกันบนท้องถนน เรียกว่า นรกของคนกรุงแท้ๆ เลยทีเดียว เพราะเป็นที่รับรู้กันดีว่าปัญหาสำคัญของ กทม. คือการจราจรและการขนส่งมวลชน เป็นหน้าที่ผู้ว่าฯกทม.ต้องทำและสามารถลงมือได้เลย แต่นี่กลับสวนทางหน้ามือเป็นหลังมือ แล้วอย่างนี้จะเอาอะไรไปชนะใจคนกรุง นช.ทักษิณ คงบ้าหรือเพี้ยนที่ลืมไปว่า คนในประเทศนี้ไม่ได้นิยมบริโภคหญ้าเหมือนสาวกคนเสื้อแดง เสียทั้งหมด
ขณะเดียวกัน เอาแค่นโยบายรถคันแรกที่อาจหาญประกาศแคมเปญว่าจะนำไปทำงานควบคู่กับกทม.ก็ตายสนิทเข้าไปแล้ว และคงจะต้องถามอีกว่า นโยบายอื่นๆของรัฐบาลมีอะไรเห็นเป็นรูปธรรมบ้าง กางดูแต่ละนโยบายแล้วก็ถลุงเงินในคงคลังซะเกือบเหี้ยนในแต่ละโครงการ ขณะที่ความเป็นจริงคือรัฐบาลเป็นผู้กำหนดนโยบายแล้วนโยบายที่กทม.หากไปเดินหน้ากับรัฐบาลแบบไร้รอยต่ออย่างที่ชูไว้อีกจะไม่พากันตกคลองลงเหวกันไปกันใหญ่อีกหรือ
ส่วนที่หลายฝ่ายมองกันว่า ข้อได้เปรียบของ จูดี้ มีเรื่องความสดใหม่เป็นอีกจุดขาย ใหม่ท้าทายให้ลอง ทั้งไม่เคยบริหารมหานครแห่งนี้มาก่อน และผู้สมัครเป็นคนหน้าใหม่ ไม่เคยช้ำมาก่อนในแวดวงการเมือง ก็คงจะต้องคิดใหม่เสียแล้ว แน่นอนเป็นสิ่งที่ พล.ต.อ.พงศพัศ คงต้องทำใจมาก่อนแล้ว เมื่อลงสนามการเมืองเต็มตัว ต้องเจอกับขวากหนาม ชนักปักหลังที่เคยปักคาเอาไว้ก่อนหน้านี้ แม้พยายามเก็บเงียบเอาไว้ เนื่องจากเป็นตำรวจ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ก็นายใหญ่สั่งมา เนื่องจากขณะนี้กำลังถูกลากไส้ จากเรื่องราวในอดีตกรณีเคยถูกกล่าวหาว่าต้องคดีขโมยวิทยุ ที่สหรัฐอเมริกา และเอกสารเกี่ยวกับการได้รับพระราชทานยศ พล.ต.ต.รวมทั้งเอกสารการเปลี่ยนชื่อจาก “ไพรัช” เป็น “พงศพัศ” ในอีกมุมหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นว่าไม่ได้สดใหม่ ใสซิง อย่างที่โฆษณาไว้ซึ่งสำหรับเรื่องนี้คนกทม.คงจะต้องใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจด้วยเช่นกัน
“ถ้าไม่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็คงไม่มีชื่อของพล.ต.อ.พงศพัศ เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.ในวันนี้" พล.ต.อ.พงศพัศ กล่าว และอาจจะตายไปด้วยคำพูดนี้ไปด้วยเช่นกัน คงต้องถามว่ากล้าดีอย่างไรถึงกล้าเอาแคมเปญหาเสียงไปผูกติดกับรัฐบาลและน.ส.ยิ่งลักษณ์ คงคิดว่าคะแนนนิยมดีนักหนากระมัง คนกทม.ที่ไม่ได้บริโภคหญ้าเป็นอาหารคงจะตระหนักดี
ทั้งนี้ การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.เที่ยวนี้ ยังเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าคนกรุงคิดอย่างไรกับพรรคเพื่อไทย รัฐบาล ที่มียี่ห้อพรรคเผาเมือง และผู้สมัครที่มีพวกเผาเมือง และนักโทษหนีคุกทุจริตโกงบ้านโกงเมืองให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งน่าคิดเหมือนกันว่าถ้ายังให้การสนับสนุนพวกแก๊งนี้ ทั้งที่พวกเสื้อแดงยกกองกำลังมาปิดเมืองนานนับเดือน เผาราชประสงค์ จนวายวอด เป็นการวัดใจคนกทม.ได้เช่นกัน ในการตัดสินใจเลือกคนเข้าไปบริหารเมืองหลวงในคราวนี้
แว่วว่า ล่าสุดได้มีการทาบทามทีมงานรองผู้ว่าฯ เอาไว้เรียบร้อย 3 คนคือ ปวีณา หงสกุล นพ.พฤติชัย ดำรงรัตน์และนายเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
คุณชายหมู 4 ปี ผลงานไม่ปรากฏ แผลเหวอะเต็มตัว
ข้ามไปดูทางฝั่งแชมป์เก่า คือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จากพรรคประชาธิปัตย์ หัวใจหลักของแคมเปญในช่วงโค้งแรก ก็คือสโลแกน "รักกรุงเทพฯ ร่วมสร้างกรุงเทพฯ" พร้อมคำอธิบายสั้น ๆ ว่า "มั่นใจร่วมกันพากรุงเทพฯก้าวหน้า โดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ด้วยนโยบายของคนรักกรุงเทพฯ ร่วมสร้างกรุงเทพฯ ให้เป็นมหานครของทุกคน"
ทั้งหมดเป็นแผนการสื่อสารเพื่ออุดรูโหว่ของช่องว่าง ระหว่างผู้ว่าฯ-ประชาชน ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ "สุขุมพันธุ์" ที่เกิดขึ้นตลอด 4 ปีที่ผ่านมา
และจากนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ทำคลอด 7 นโยบายครอบคลุมความต้องการของคน กทม. 7 ด้าน ซึ่งประกอบด้วย
1.มหานครแห่งความปลอดภัย ติดกล้อง CCTV เพิ่มอีก 200,000 ตัว พร้อม ระบบเชื่อมโยงเครือข่ายเอกชน ติดตั้ง ระบบป้องกันพร้อมแจ้งเตือนอัคคีภัย อุทกภัย แผ่นดินไหว และมีอาสาสมัครเฝ้าระวังภัยทุกชุมชน
2.มหานครแห่งความสุข สร้างโรงพยาบาลให้ครบ 4 มุมเมือง ขยายการมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพ ดูแลผู้สูงอายุครบวงจร สร้างระบบขนส่งมวลชน เชื่อมต่อทุกประเภท และสร้างอุโมงค์ลอดใต้ทางรถไฟ และปรับปรุงถนน ตรอก ซอย ทางลัด 100 สาย
3.มหานครสีเขียวและสะอาด เพิ่มพื้นที่สีเขียวเน้นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ปรับภูมิทัศน์ถนนสายหลัก เพิ่มประสิทธิภาพการบำบัดน้ำเสีย และระบบจัดการขยะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
4.มหานครแห่งการเรียนรู้ ขยายการดูแลนักเรียนเสริมความแข็งแกร่งด้านภาษา ต้อนรับประชาคมอาเซียน จัดตั้งห้องสมุดแห่งการเรียนรู้ ขยายโอกาสการเข้าถึงการสื่อสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
5.มหานครแห่งโอกาส ตลาดสำหรับคนรุ่นใหม่ เพิ่มการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งกลางวัน-กลางคืน ประชาชนทุกคน ทั้งพนักงานเอกชน ราชการ ต้องมีรายได้เพิ่มความมั่นคงของชีวิต อีกทั้งเพิ่มจุดบริการพิเศษงานทะเบียนราษฎร์ในห้างสรรพสินค้า ขยายเวลาบริการถึง 22.00 น.
6.มหานครของทุกคน อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้สูงอายุ ผู้พิการ สร้างการมีส่วนร่วมภาคประชาชนผ่านระบบ i-Bangkok ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีบทบาทในการพัฒนาเยาวชน และส่งเสริมนโยบายชุมชนพัฒนาตัวเอง
7.มหานครแห่งอาเซียน กทม.ต้องเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของอาเซียนและโลก เป็นศูนย์กลางการบริการด้านการแพทย์ การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ ศูนย์กลางธุรกิจ การค้า การลงทุนในกลุ่ม SMEs และเป็นศูนย์การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอาเซียน
นอกจากนั้น แผนสื่อสารยังรุกหนัก เจาะกลุ่มคนเมือง คนรุ่นใหม่ เปิดช่องทางหาเสียงผ่านโลกออนไลน์ ระบบสื่อสารโซเชียลมีเดีย ทั้งเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ยูทูบ และแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน
แถมนอกจากรายละเอียดเรื่องแนวคิดนโยบายที่จะเดินหน้าต่อในปีนี้ ภายในเว็บไซต์ยังมีข้อมูลประมวลผลงานตลอด 4 ปี และที่ถือเป็น หมัดเด็ด ที่สุด หนีไม่พ้นคำชี้แจง-ข้อโต้แย้งในทุกกรณีที่ สุขุมพันธุ์ ถูกโจมตีทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา
แน่นอนนี่เป็นวิธีที่บรรดาคนในพรรคเก่าแก่ย่อมถนัดเป็นอย่างดีแบบไม่มีใครปฏิเสธได้และเป็นที่รับรู้กันอย่างดี
ทว่า แม้จะมีนโยบายสวยหรูสักเพียงใด หากได้พิจารณาตามโปรไฟล์อย่างที่เห็นกันอยู่มา 4 ปี ก็ต้องบอกว่าสำหรับคุณชายหมูไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เพิ่งจะมีนโยบายออกมาตอนหาเสียงเลือกตั้งใหม่เท่านั้นด้วยซ้ำ ตั้งนมนานกลับไม่ทำ ถนัดแต่งานรูทีนเพียงเท่านั้น
และความจริงที่คนกทม.ยังประสบพบเจอก็คือโครงการของพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นแผลเหวอะหวะมากมาย อาทิ รถดับเพลิง ป้ายรถเมล์อัจฉริยะ ป้ายแท็กซี่อัจฉริยะ ถนนคนตาบอด เลนจักรยาน ก็ดูจะไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร หรือจะเป็นประเด็นสกายวอร์ค ที่ถูกแฉว่าใช้งบก่อสร้างสูง 300 ล้านต่อกิโลเมตร แพงกว่าปกติ 5 เท่า ไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย เพราะปัญหาที่ยังคาราคาซังก็คือ ปล่อยให้แม่ค้ายึดฟุตปาธ จนคนเมืองไม่มีที่จะเดินกันอย่างสะดวก
ส่วนผลงานที่ล้มเหลวคาตาคน กทม.เห็นจะไม่พ้น โครงการก่อสร้างสนามกีฬาบางกอกฟุตซอลอารีนาที่แม้จะเร่งก่อสร้างจนแล้วเสร็จ แต่สุดท้ายฟีฟ่าก็ไม่ประกาศรับรองให้ใช้เป็นสนามแข่ง ทำเอาอายกันไปทั้งประเทศ อีกทั้งยังมีประเด็นเรื่องการก่อสร้างที่พรรคเพื่อไทยชงเรื่องให้ดีเอสไอสืบสวนสอบสวนว่า อาจเข้าข่ายทำผิด พ.ร.บ.ฮั้ว หรือไม่ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องอุโมงค์ยักษ์ 7 แห่ง ของ กทม.และงบลอกท่อระบายน้ำของ กทม. ที่เห็นชัดว่าไม่ได้มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
ถามว่าแก้ปัญหาอันใดหรือสร้างสรรค์สิ่งใดให้ดีขึ้นได้บ้างหรือยัง ?!
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ผลงานไม่เป็นที่เชิงประจักษ์ตลอดเวลา 4 ปีที่ผ่านมาแล้ว การลงสนามเป็นผู้สมัคร ผู้ว่ากทม.รอบนี้ของ คุณชายหมู ยังต้องแบกรับแผลเต็มตัวมาไม่น้อยเช่นกันอีกด้วย อาทิ กรณีต้องหอบคณะผู้บริหาร กทม. อีก 9 คน ไปรับทราบข้อกล่าวหาต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในข้อหาร่วมกันประกอบกิจการรถราง โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือได้รับสัมปทานจาก รมว.มหาดไทย ตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 จากกรณีที่ต่อสัญญาขยายระยะเวลาสัมปทานรถไฟฟ้าบีทีเอสออกไปอีก 13 ปี จากระยะเวลาสัมปทานที่เหลืออยู่ 17 ปี รวม 30 ปี
และถ้าว่าไปตามเนื้อผ้า สิ่งที่เกิดขึ้น การต่อสัญญารถไฟฟ้าก็ดูเหมือนหมกเม็ด ไม่เคลียร์ เพราะถ้าว่ากันตามความเป็นจริงแล้วสัญญายังเหลืออีกนับ 10 ปี แต่แอบไปซิกแซ็กต่อกันก่อน ทำนิติกรรมอำพราง เร่งรีบกันอย่างมีพิรุธ จึงไม่พ้นถูกตั้งคำถามจากสังคมว่ามีนอกมีในอะไรหรือไม่อย่างไร
ไม่หมดแค่นั้น ล่าสุดจากดีเอสไอเจ้าเดิม ที่คุณชายหมูต้องมีชื่อในคดีที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์บริจาคเงินเข้าพรรค 2 หมื่นบาทขึ้นไปด้วยการหักบัญชีเงินเดือน เบื้องต้นตรวจสอบพบมี 47 รายชื่อ ซึ่งดีเอสไอจะเดินหน้าตรวจสอบเพิ่มเติม โดยก่อนหน้านี้ได้แจ้งข้อกล่าวหากับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ฐานกระทำผิดตามพ.ร.บ.พรรคการเมือง มาตรา 57 ซึ่งกำหนดให้การบริจาคเงินเกิน 2 หมื่นบาท ต้องทำเป็นเช็คขีดคร่อม
ล่าสุดดีเอสไอ ได้ทำหนังสือแจ้งให้ส.ส.ที่หักเงินเดือนเข้าบัญชีพรรคทั้งหมดรวม 44 คน ให้ทยอยเข้ามาชี้แจงและให้ปากคำเพื่อยืนยันว่าได้หักบัญชีเงินเดือนไปจริงหรือไม่ โดยยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาเนื่องจากยังอยู่ในช่วงเปิดสมัยประชุมสภา ผู้แทนราษฎร ซึ่งส.ส.ได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองไม่ให้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาหรือดำเนินคดี จากการตรวจสอบรายชื่อ ผู้ที่หักเงินเดือนเข้าพรรคประชาธิปัตย์ พบชื่อของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ อดีตผู้ว่าฯกทม.ด้วย
ด้วยฐานต้นทุนส่วนตัวของคุณชายสุขุมพันธุ์ไม่ได้เหนือกว่าคู่แข่งแต่อย่างใด แต่อาศัยคะแนนนิยมของคนกรุงเทพฯ โดยเฉพาะเขตชั้นในที่ปักใจอยู่กับยี่ห้อประชาธิปัตย์ ที่วิสัยคนกรุงยังไงก็ไม่เอาแก๊งเผาเมือง ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ส่งใครก็เป็นต่ออยู่วันยังค่ำ ไม่ได้ต่างจากการบีบคอคนกรุง เลยด้วยซ้ำ
คล้ายคลึงกับช่วงเลือกตั้งใหญ่ที่ผ่านมาไม่มีผิด ที่พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้มีนโยบายอะไรใหม่มาเสนอประชาชน นโยบายใหม่ที่ออกมาก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นนโยบายที่ดีแต่พูดหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ จนต้องไปขุดวิชาก้นกุฏิ หากินกับผีทักษิณ ประหนึ่งว่า ถ้าไม่เลือกเราเขามาแน่ ซึ่งเชื่อได้แน่ว่าหากหมดมุขหาเสียงเมื่อไหร่ พรรคประชาธิปัตย์มีอันต้องขุดผีทักษิณขึ้นมาหากินเหมือนเดิมอย่างแน่นอน ดังนั้นแล้วจะเลือกใคร เป็นผู้ว่า กทม.คนต่อไป ต้องคิดพิจารณาถี่ถ้วนให้จงดี แต่เท่าที่ดูตามเนื้อผ้าหากจะฝากฝีฝากไข้ไว้กับสองพรรคใหญ่ที่มีแต่เสาไฟฟ้ากับแมลงสาบ
เห็นแล้วปวดหัว ปวดใจ ไร้ความหวังเสียเหลือเกิน สำหรับชาวกทม.
**เสรีพิศุทธิ์ ตัวเลือกที่อาจสอดแทรก
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจาก 2 ตัวเต็งจาก 2 พรรคใหญ่แล้ว ผู้สมัครรายอื่นๆ ที่ประกาศตัวชัดเจนแล้วว่า จะลงชิงชัยในศึกครั้งนี้ประกอบด้วย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียาเวช สุหฤท สยามวาลา รวมทั้งวรัญชัย โชคชนะที่ลงสมัครเป็นสีสันแทบจะทุกครั้ง
ทั้งนี้ ในบรรดาผู้สมัครอิสระทั้งหมด พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ดูเหมือนว่าอาจเป็น “ตัวสอดแทรก” ขึ้นมาได้
และถ้าจะว่าไปแล้ว พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์เป็นอีกหนึ่งผู้สมัครที่น่าสนใจ โดยคะแนนเสียงที่อดีตวีรบุรุษนาแกผู้นี้จะได้ น่าจะจัดอยู่ในกลุ่มที่ไม่เอาเพื่อไทย รัฐบาลยิ่งลักษณ์และคนเสื้อแดง ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็อยู่ในกลุ่มเดียวกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์
ดีไม่ดีถ้า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ออกแคมเปญดีๆ และโดนใจ อาจทำให้กลุ่มพลังเงียบที่มีอยู่ไม่น้อย รวมถึงกลุ่มที่เคยปักใจอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์หันกลับมาเทคะแนนให้อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติรายนี้ก็เป็นได้
ลงเลือกตั้งเที่ยวนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ใช้สโลแกนหาเสียงว่า “เกิด เรียน โต ทำงาน อยู่ รู้ปัญหา” ส่วนสโลแกนประจำตัวในรอบนี้คือ “มือปราบตงฉิน ก้าวใหม่เพื่อรับใช้ประชาชน” พร้อมชูวิสัยทัศน์ "ปัญหาของกรุงเทพที่ตอนนี้จะมีผู้อาสาบริหารจัดการด้วยระบบใหม่ เงินทองไม่รั่วไหล โปร่งใสตรวจสอบได้"
สำหรับสาเหตุที่ตัดสินใจเลือกตั้งในนามอิสระ เจ้าตัวให้เหตุผลว่าเนื่องจากอยากให้เป็นตัวเลือกของชาวกรุงเทพมหานคร นอกจาก 2 พรรคการเมืองใหญ่ ที่ยังคงมีปัญหากัน ส่วนสิ่งที่จะทำทันทีเป็นอันดับแรกหากได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ กล่าวว่า คือเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน กทม. เพราะมั่นใจ เนื่องจากเคยเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของตำรวจมาก่อน สามารถประสานงานได้ดีอย่างแน่นอน ทั้งยังมีความสนิทสนมกับ ผบ.ตร.คนปัจจุบัน ทำให้เชื่อว่าจะสามารถทำงานได้เป็นอย่างดี อย่างที่สองที่จะดำเนินการในความคิดคือ จะมีการประสานกับวัดทั่ว กทม. ในการเปิดโรงทานเพื่อดูแลประชาชน เพราะเรื่องปากท้องสำคัญ
ดีเจ สุหฤท ขวัญใจคนรุ่นใหม่ ร่วมสร้างเซอร์ไพส์ให้กทม.
สำหรับอีกคนหนึ่งที่ถือว่าสร้างกระแสฮือฮาด้วยการประกาศจะลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. เรียกคะแนนจากวัยรุ่ยในโซเซียลมีเดียและได้รับเสียงการตอบรับเป็นอย่างดีก็คือ นายสุหฤท สยามวาลา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีเอชเอ สยามวาลา จำกัด ผู้นำในธุรกิจเครื่องเขียน เครื่องใช้สำนักงาน ชื่อดัง และในอีกบทบาทการเป็นนักร้อง ดีเจ นักแต่งเพลง ขวัญใจเด็กแนว เจ้าของฉายา "พ่อมดอิเล็กทรอนิกส์" ผู้แนวคิด การแต่งกาย และสไตล์การแต่งตัวที่แตกต่างไปจาก ชายที่มีอายุมากกว่า 40 ปี ที่ได้ประกาศพร้อมส่งคุณสมบัติหาเสียง เพื่อลง สมัครเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผ่านทางทวิตเตอร์และเฟซบุ๊ก ส่วนตัวมานานพอสมควร โดยใช้สโลแกน "กรุงเทพฯสุดฤิทธิ์ สุหฤทสร้างเซอร์ไพรส์" เป็นจุดขาย
ทั้งนี้ ภายหลังข้อความดังกล่าวถูกโพสต์ออกไปได้มีบรรดาแฟนเพจ เข้ามาแสดงความเห็นโดย ระบุความต้องการที่ประชาชนชาวกรุงเทพฯอยากให้มีการบริหารจัดการจำนวนมาก อาทิ ปัญหา ระบบสาธารณูปโภค ปัญหาการจราจร ปัญหารถสาธารณะ ปัญหามลพิษ ปัญหาในเรื่องของความสะอาด การจัดระเบียบสังคม ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่ สังเกตได้ว่าผู้ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น ค่อนข้างจะเป็นบุคคลรุ่นใหม่
แต่จะอย่างไรก็ดี ถ้าหากโต้-สหฤทยังไม่มีทีเด็ดทีขาดมากกว่าที่เป็นอยู่ขณะนี้ สุดท้ายแม้จะโกยคะแนนไปได้ไม่น้อย แต่ก็คงไม่สามารถก้าวถึงฝั่งฝันได้