เห็นยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของนายทหารชั้นประทวนยกพลมาชุมนุมสำแดงพลังบนถนนพระอาทิตย์กระหนาบโดยสำนักงานเครือ ASTV ผู้จัดการ 2 วันซ้อน เปิดศึกคารมทวงคำขอโทษอ้างว่าสื่อ ASTV ผู้จัดการได้ดูหมิ่นศักดิ์ศรีผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้อยากมีภาพลักษณ์เป็นทหารห้าว นักคำราม ล้งเล้งกับสื่อไร้พลัง
วันแรก มีทหารชั้นประทวนประมาณ 50 นาย นำโดยพันตรีนนท์ จุลานนท์ บุตรชายอดีตแม่ทัพบก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด นายกรัฐมนตรี และองคมนตรีสมัยที่ 2 แต่ฉายาที่ชาวบ้านจำได้ดีที่สุดคือ “ขิงแก่” ผู้ “เสียของ” เมื่อดำรงตำแหน่งนายกฯ 1 ปี
มาวันศุกร์ ทหารชั้นประทวนก็ถูกบรรดาแม่ยกสูงอายุป้อนคำถามทดสอบไอคิวอย่างเข้มข้นจนบางช่วงออกอาการเหวอ ไปไม่เป็น ต้องยิ้มปูเลี่ยนๆ อ้อมแอ้มๆ ตอบ เพราะไปเริ่มต้นแบบก้าวผิดทิศ เป็นนักรบทำศึกโดยไม่อ่านตำราสงครามมวลชนเมือง
เมื่อบอกว่า “พล.อ.ประยุทธ์ เป็นพ่อคนที่ 2” ย่อมถูกถามว่า “แล้วพ่อคนแรกเป็นใคร” คำตอบง่ายๆ คือ “พ่อผู้ให้กำเนิด ผัวของแม่” นั่นเอง! เมื่อโดนย้อนว่า แล้ว “พ่อของแผ่นดิน จอมทัพไทย” สำคัญน้อยกว่าพ่อคนที่ 2 เช่นนั้นหรือ? ก็โดนใบ้แด๊กส์
นึกว่ากลับไปแบบหมดสภาพหลังจากเผชิญหน้าวันแรก ทั้งโดนตอกหน้าจะทำให้เข็ดหลาบดันยกพวกมาอีก 100 คนเช้าวันเสาร์ แกนนำถือโทรโข่งมาร้องเอะอะมะเทิ่ง เหมือนจำอวดเรียกแขกกลางตลาดสด ยิ่งทำให้สภาพของข้อเรียกร้องดูน่าเวทนายิ่งนัก
มองภาพง่ายๆ ย่อมทำให้เกิดคำถาม “เฮ้ย! กองทัพมีกำลังพลเป็นแสนๆ แต่มีนายทหารชั้นประทวนรวมกันไม่ถึง 200 คนเท่านั้นเรอะ ที่รักนับถือ พ่อคนที่ 2? แล้วอีกหลายหมื่นคน ระดับนายพัน นายพล ไม่ใส่ใจศักดิ์ศรี เกียรติภูมิของแม่ทัพบกเรอะ”
เสียท่าอย่างแรง เมื่อเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปจาก ASTV ผู้จัดการ อย่างชัดเจนว่า เรื่องทั้งหมดไม่เกี่ยวกับกองทัพ แต่เน้นๆ เฉพาะปัญหาวิวาทะกับ “บิ๊กตู่เขียว” เท่านั้น!
น่าสงสัยว่าการมาประท้วง ASTV ผู้จัดการนั้นมีการศึกษา วางแผนรอบคอบโดยใครหรือไม่ หรือมีหัวหน้ากลุ่มชักชวนพรรคพวกและลูกน้องให้มาเพื่อเอาใจนาย! ถ้าพันตรีนนท์ นายทหารทำงานด้านจิตวิทยามวลชน หรือ ปจว. เป็นผู้ดำเนินแผนแต่ทำตัวกระมิดกระเมี้ยนหลบห่างๆ มีฝีมือเพียงแค่นี้ ถือว่าเอาตัวมารับบทเรียนความล้มเหลว
แม่ทัพภาค 1 พล.ท.ไพบูลย์ คุ้มฉายา บอกว่าตัวเองเป็นผู้อนุมัติให้มาโชว์พลัง และมี “ผู้การแดง” ลูกชายบิ๊กจ๊อด ผู้วายชนม์ ถูกมองว่าเป็นโต้โผระดับรอง ทำนองชายชาติทหาร กล้าทำ กล้ารับ! เมื่อเป็นเช่นนี้ขีดความสามารถของกองทัพน่าห่วง ในเรื่องการรับมือมวลชนผสมอันธพาล กุ๊ย ดังเช่นศึกกลางเมืองกับเสื้อแดงในปี 2552-2553
ถ้าสังเกตให้ดี ทหารชั้นประทวนหลายนายแสดงท่าทีอึดอัด ไม่เต็มใจมีส่วนร่วมในการแสดงพลัง เมื่อไม่คุ้นกับเรื่องรูปแบบ สมรภูมิกับมวลชน ความทันสมัยในการรับความคิดของมวลชน สื่อ ซึ่งสามารถเรียกร้องให้สาธารณชนให้ประเมินใครผิด ใครถูก
ยิ่งพล.อ.ประยุทธ์และลูกน้องพูดแบบเหวอ เหมือนติดเชื้อโรคเหวง 2 มาตรฐาน เช่นคำรามฮึ่มๆ ห้ามทหารนอกเครื่องแบบร่วมชุมนุมกับม็อบเสธ.อ้าย ร่วมแสดงออกถึงความรักชาติกับมวลชนประท้วงกัมพูชา จะลงโทษทางวินัยเด็ดขาด! แต่เมื่อทหารชั้นประทวนแต่งกายชุดลายพรางมาประท้วงหน้า ASTV ผู้จัดการ ดันบอกว่าไม่เป็นไร
อ้างว่าประท้วงเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของกองทัพ! นี่เป็นการพูดแบบไม่รู้ฟังซ้ำซาก!
เมื่อข่าวออกมาเชิงลบอย่างหนักผ่านโซเชียลมีเดียและสื่อหลัก แถมสมาคมผู้สื่อข่าว และกลุ่มการเมืองออกแถลงการณ์ตอกหน้าพฤติกรรมข่มขู่คุกคามสื่อ พวกนายทหารชั้นประทวนซึ่งอ้างว่าจะมาชุมนุมทุกวัน ต้องรับบท “ไอ้เสือเขียวถอยโว้ย” โดยมีกระบอกเสียงกองทัพแถลงข่าวแบบไม่เต็มคำ พูดเหมือนกลืนทรายลงลำคอ
“บิ๊กตู่” แทบไม่เหลือภาพลักษณ์ด้านบวก หลังจากทำตัวเป็นผู้ติดตามแม่นางโพยปูโพรกเน่าใน เดินตามก้นบานต้อยๆ กระหนุงกระหนิงกันแบบสนิทชิดเชื้อช่วงการลอกคูคลอง ส่อให้เห็นจุดยืนและพฤติกรรม “เปลี๋ยนไป๋” ในสายตาชาวบ้าน กลายเป็นนักคำรามล้งเล้งเม้งแตกใส่ผู้สื่อข่าว เป็นไม้เบื่อไม้เมากับ ASTV ผู้จัดการแบบเรื้อรัง
บุคลากรในกองทัพ โดยเฉพาะหน่วยรบ ถูกมองว่าขาดความทันสมัย ชีวิตส่วนใหญ่ถูกจำกัดอยู่ในค่ายทหารต่างจังหวัด! ก๊วน “บิ๊กตู่เขียว” เป็นทหารภูธร “บูรพาพยัคฆ์” ไม่คุ้นกับสังคมใหม่ ห้างหรู โรงแรม 5 ดาว กลางเมือง! สงสัยว่าจะกล้าเดินโชว์มาดห้าวเดี่ยวๆ กลางห้างพารากอน หรือเซ็นทรัลเวิลด์ ให้ชาวบ้านกรี๊ดปรี๊ดปร๊าดหรือไม่
จะอ้างว่าตลอดเวลาทำหน้าที่ “นักรบ” ผู้เสียสละ ไม่คุ้นกับความไร้สาระบันเทิงกับชีวิตในเมือง ก็ไม่น่าจะมีเหตุผลเต็มบ้อง เมื่อศึกสงครามมีเพียงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคไต้ ยิ่งรบ ก็ยิ่งเละ จำนวนคนบาดเจ็บล้มตายยอดรวมมากกว่า 5 พันคน ไร้ทางชนะ
“บิ๊กตู่เขียว” น่าจะมีความสับสนในชีวิต การนำกองทัพถูกมองว่าสะเปะสะปะ ไร้การปกป้องสถาบันกษัตริย์ แถมยังดูดายไม่ดูแลต่อสู้เพื่อลูกน้องที่บาดเจ็บล้มตายในศึกกับกองกำลังติดอาวุธชุดดำเสื้อแดง 10 เมษายน 2553 กลางถนนราชดำเนิน และยังส่งตัวพลซุ่มยิงผู้คุมกำลังไปให้ตำรวจ ดีเอสไอ ไล่บี้หาหลักฐาน ดำเนินคดีอย่างไร้บารมี
สรุปผลแล้ว ดร.กฤษติกา คงสมพงษ์ หวานใจของ “ผู้การแดง” น่าจะจัดรายการพิเศษภายในกองทัพ ระดมผู้เกี่ยวกับงานเผชิญหน้ากับสื่อทั้ง 2 วันมาประเมิน! เดาไม่ยากว่า “ดร.อ้อ” ต้องชี้เป็นรายตัว กระชากเสียงเข้ม “พวกคุณคือจุดอ่อน” ของกองทัพ
ถ้ารบแบบซึ่งหน้า ไม่ลอบกัด “ซุนวู” ฟังธง “รบ 100 ครั้ง แพ้ 200 ครั้งแน่ๆ” ฮ่า!
วันแรก มีทหารชั้นประทวนประมาณ 50 นาย นำโดยพันตรีนนท์ จุลานนท์ บุตรชายอดีตแม่ทัพบก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด นายกรัฐมนตรี และองคมนตรีสมัยที่ 2 แต่ฉายาที่ชาวบ้านจำได้ดีที่สุดคือ “ขิงแก่” ผู้ “เสียของ” เมื่อดำรงตำแหน่งนายกฯ 1 ปี
มาวันศุกร์ ทหารชั้นประทวนก็ถูกบรรดาแม่ยกสูงอายุป้อนคำถามทดสอบไอคิวอย่างเข้มข้นจนบางช่วงออกอาการเหวอ ไปไม่เป็น ต้องยิ้มปูเลี่ยนๆ อ้อมแอ้มๆ ตอบ เพราะไปเริ่มต้นแบบก้าวผิดทิศ เป็นนักรบทำศึกโดยไม่อ่านตำราสงครามมวลชนเมือง
เมื่อบอกว่า “พล.อ.ประยุทธ์ เป็นพ่อคนที่ 2” ย่อมถูกถามว่า “แล้วพ่อคนแรกเป็นใคร” คำตอบง่ายๆ คือ “พ่อผู้ให้กำเนิด ผัวของแม่” นั่นเอง! เมื่อโดนย้อนว่า แล้ว “พ่อของแผ่นดิน จอมทัพไทย” สำคัญน้อยกว่าพ่อคนที่ 2 เช่นนั้นหรือ? ก็โดนใบ้แด๊กส์
นึกว่ากลับไปแบบหมดสภาพหลังจากเผชิญหน้าวันแรก ทั้งโดนตอกหน้าจะทำให้เข็ดหลาบดันยกพวกมาอีก 100 คนเช้าวันเสาร์ แกนนำถือโทรโข่งมาร้องเอะอะมะเทิ่ง เหมือนจำอวดเรียกแขกกลางตลาดสด ยิ่งทำให้สภาพของข้อเรียกร้องดูน่าเวทนายิ่งนัก
มองภาพง่ายๆ ย่อมทำให้เกิดคำถาม “เฮ้ย! กองทัพมีกำลังพลเป็นแสนๆ แต่มีนายทหารชั้นประทวนรวมกันไม่ถึง 200 คนเท่านั้นเรอะ ที่รักนับถือ พ่อคนที่ 2? แล้วอีกหลายหมื่นคน ระดับนายพัน นายพล ไม่ใส่ใจศักดิ์ศรี เกียรติภูมิของแม่ทัพบกเรอะ”
เสียท่าอย่างแรง เมื่อเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปจาก ASTV ผู้จัดการ อย่างชัดเจนว่า เรื่องทั้งหมดไม่เกี่ยวกับกองทัพ แต่เน้นๆ เฉพาะปัญหาวิวาทะกับ “บิ๊กตู่เขียว” เท่านั้น!
น่าสงสัยว่าการมาประท้วง ASTV ผู้จัดการนั้นมีการศึกษา วางแผนรอบคอบโดยใครหรือไม่ หรือมีหัวหน้ากลุ่มชักชวนพรรคพวกและลูกน้องให้มาเพื่อเอาใจนาย! ถ้าพันตรีนนท์ นายทหารทำงานด้านจิตวิทยามวลชน หรือ ปจว. เป็นผู้ดำเนินแผนแต่ทำตัวกระมิดกระเมี้ยนหลบห่างๆ มีฝีมือเพียงแค่นี้ ถือว่าเอาตัวมารับบทเรียนความล้มเหลว
แม่ทัพภาค 1 พล.ท.ไพบูลย์ คุ้มฉายา บอกว่าตัวเองเป็นผู้อนุมัติให้มาโชว์พลัง และมี “ผู้การแดง” ลูกชายบิ๊กจ๊อด ผู้วายชนม์ ถูกมองว่าเป็นโต้โผระดับรอง ทำนองชายชาติทหาร กล้าทำ กล้ารับ! เมื่อเป็นเช่นนี้ขีดความสามารถของกองทัพน่าห่วง ในเรื่องการรับมือมวลชนผสมอันธพาล กุ๊ย ดังเช่นศึกกลางเมืองกับเสื้อแดงในปี 2552-2553
ถ้าสังเกตให้ดี ทหารชั้นประทวนหลายนายแสดงท่าทีอึดอัด ไม่เต็มใจมีส่วนร่วมในการแสดงพลัง เมื่อไม่คุ้นกับเรื่องรูปแบบ สมรภูมิกับมวลชน ความทันสมัยในการรับความคิดของมวลชน สื่อ ซึ่งสามารถเรียกร้องให้สาธารณชนให้ประเมินใครผิด ใครถูก
ยิ่งพล.อ.ประยุทธ์และลูกน้องพูดแบบเหวอ เหมือนติดเชื้อโรคเหวง 2 มาตรฐาน เช่นคำรามฮึ่มๆ ห้ามทหารนอกเครื่องแบบร่วมชุมนุมกับม็อบเสธ.อ้าย ร่วมแสดงออกถึงความรักชาติกับมวลชนประท้วงกัมพูชา จะลงโทษทางวินัยเด็ดขาด! แต่เมื่อทหารชั้นประทวนแต่งกายชุดลายพรางมาประท้วงหน้า ASTV ผู้จัดการ ดันบอกว่าไม่เป็นไร
อ้างว่าประท้วงเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของกองทัพ! นี่เป็นการพูดแบบไม่รู้ฟังซ้ำซาก!
เมื่อข่าวออกมาเชิงลบอย่างหนักผ่านโซเชียลมีเดียและสื่อหลัก แถมสมาคมผู้สื่อข่าว และกลุ่มการเมืองออกแถลงการณ์ตอกหน้าพฤติกรรมข่มขู่คุกคามสื่อ พวกนายทหารชั้นประทวนซึ่งอ้างว่าจะมาชุมนุมทุกวัน ต้องรับบท “ไอ้เสือเขียวถอยโว้ย” โดยมีกระบอกเสียงกองทัพแถลงข่าวแบบไม่เต็มคำ พูดเหมือนกลืนทรายลงลำคอ
“บิ๊กตู่” แทบไม่เหลือภาพลักษณ์ด้านบวก หลังจากทำตัวเป็นผู้ติดตามแม่นางโพยปูโพรกเน่าใน เดินตามก้นบานต้อยๆ กระหนุงกระหนิงกันแบบสนิทชิดเชื้อช่วงการลอกคูคลอง ส่อให้เห็นจุดยืนและพฤติกรรม “เปลี๋ยนไป๋” ในสายตาชาวบ้าน กลายเป็นนักคำรามล้งเล้งเม้งแตกใส่ผู้สื่อข่าว เป็นไม้เบื่อไม้เมากับ ASTV ผู้จัดการแบบเรื้อรัง
บุคลากรในกองทัพ โดยเฉพาะหน่วยรบ ถูกมองว่าขาดความทันสมัย ชีวิตส่วนใหญ่ถูกจำกัดอยู่ในค่ายทหารต่างจังหวัด! ก๊วน “บิ๊กตู่เขียว” เป็นทหารภูธร “บูรพาพยัคฆ์” ไม่คุ้นกับสังคมใหม่ ห้างหรู โรงแรม 5 ดาว กลางเมือง! สงสัยว่าจะกล้าเดินโชว์มาดห้าวเดี่ยวๆ กลางห้างพารากอน หรือเซ็นทรัลเวิลด์ ให้ชาวบ้านกรี๊ดปรี๊ดปร๊าดหรือไม่
จะอ้างว่าตลอดเวลาทำหน้าที่ “นักรบ” ผู้เสียสละ ไม่คุ้นกับความไร้สาระบันเทิงกับชีวิตในเมือง ก็ไม่น่าจะมีเหตุผลเต็มบ้อง เมื่อศึกสงครามมีเพียงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคไต้ ยิ่งรบ ก็ยิ่งเละ จำนวนคนบาดเจ็บล้มตายยอดรวมมากกว่า 5 พันคน ไร้ทางชนะ
“บิ๊กตู่เขียว” น่าจะมีความสับสนในชีวิต การนำกองทัพถูกมองว่าสะเปะสะปะ ไร้การปกป้องสถาบันกษัตริย์ แถมยังดูดายไม่ดูแลต่อสู้เพื่อลูกน้องที่บาดเจ็บล้มตายในศึกกับกองกำลังติดอาวุธชุดดำเสื้อแดง 10 เมษายน 2553 กลางถนนราชดำเนิน และยังส่งตัวพลซุ่มยิงผู้คุมกำลังไปให้ตำรวจ ดีเอสไอ ไล่บี้หาหลักฐาน ดำเนินคดีอย่างไร้บารมี
สรุปผลแล้ว ดร.กฤษติกา คงสมพงษ์ หวานใจของ “ผู้การแดง” น่าจะจัดรายการพิเศษภายในกองทัพ ระดมผู้เกี่ยวกับงานเผชิญหน้ากับสื่อทั้ง 2 วันมาประเมิน! เดาไม่ยากว่า “ดร.อ้อ” ต้องชี้เป็นรายตัว กระชากเสียงเข้ม “พวกคุณคือจุดอ่อน” ของกองทัพ
ถ้ารบแบบซึ่งหน้า ไม่ลอบกัด “ซุนวู” ฟังธง “รบ 100 ครั้ง แพ้ 200 ครั้งแน่ๆ” ฮ่า!